“พวกแกได้ยินกันแล้วหรือยัง ตระกูลกู่ส่งคนไปหาเื่กัวไฮว่ ผอ. คลินิกไม่สุดท้ายก็ถูกกัวไฮว่นั่นฆ่าตาย” ณคลับอวิ๋นซานแห่งเมืองหลวง สถานที่ที่รวมผู้คนร้อยพ่อพันแม่ทั้งเศรษฐีรุ่นสองรุ่นสามที่มาจีบดาราสาวชั้นนำ ทั้งหัวกะทิในแวดวงการค้าทั้งพวกหน้าใหม่ในแวดวงทหาร ได้มีเื่พูดคุยวิพากษ์วิจารณ์กันมาั้แ่เช้า
“หม่าคุน อย่าพูดมั่วซั่วสิ เื่เมื่อวานฉันเองก็ได้ยินมาบ้างเหมือนกันแต่เกิดเื่อะไรจริงๆ ก็ไม่มีใครบอกได้” ชายวัยกลางคนที่อยู่ข้างชายหนุ่มพูดยิ้มๆ
“พี่หลิน ที่คลับอวิ๋นซานนี่ไม่มีอะไรที่พูดไม่ได้ ก็พิสูจน์กันแล้วนี่ว่าพวกตระกูลกู่ไม่ได้กลับมากันทั้งคืนต้องมีเื่แน่เลย” หม่าคุนพูดขึ้นด้วยเสียงดัง หลายๆคนก็ยิ่งเข้ามาล้อม
“หม่าคุน ดูทรงแล้วนายรู้มาไม่น้อยนะเนี่ยหรือว่านายจะเห็นคนตระกูลกู่ของพวกเราถูกกำจัดกับตาตัวเอง” ในตอนที่หม่าคุนพูดเสร็จ ชายหน้าตาเหมือนกับปีศาจผู้หนึ่งก็หรี่ตาพูด
“กู่ซาง!” ภายห้องโถงคลับอวิ๋นซานเงียบลงสักครู่หนึ่งเขาคือน้องชายของกู่เลี่ย ผู้สืบทอดคนที่สองของตระกูลกู่ เป็ตัวตลกของเมืองหลวงทว่าไม่มีใครกล้าหัวเราะออกมา
เมื่อยี่สิบปีก่อนทุกคนในเมืองหลวงต่างก็ทราบกันว่าเกิดเื่ใหญ่ขึ้นกับตระกูลกู่มีหญิงโสเภณีตกระกำลำบากคนหนึ่งพาลูกมาคุกเข่าอยู่หน้าประตูบ้านตระกูลกู่วันนั้นฟ้าฝนคะนอง ทว่าตระกูลกู่ก็ไม่ได้พาหญิงสาวและเด็กเข้าไปในวันที่หญิงสาวเสียชีวิตอยู่หน้าบ้านตระกูลกู่ ตระกูลกู่ก็นำเด็กเข้าตระกู่ไปเด็กชายที่ผู้คนในตระกูลกู่ให้เป็ลูกนอกสมรสในตอนนั้นก็คือกู่ซาง
“กู่เจิ้นเหลย ฉันฆ่าลูกแกแล้วล่ะ” ตอนกู่ซางอายุสิบแปดปีก็ได้ฆ่าพ่อที่นับว่าหลายปีมานี้ดีกับตนจนตายในหมัดเดียวเขาแบกศพไปโยนอยู่ตรงหน้ากู่เจิ้นเหลยเพียงคนเดียว จากนั้นคนในตระกูลกู่ก็ไม่กล้าพูดคำว่าลูกนอกสมรสอีกเลยในฐานะที่เขาเป็ผู้มีพลังวิเศษคนหนึ่ง กู่เจิ้นเหลยก็ยิ่งดูแลเขามากเป็พิเศษแม้จะเป็ผู้สืบทอดรุ่นที่สอง ทว่ากู่เลี่ยก็หวาดกลัวน้องชายคนนี้สุดหัวใจ
“พี่ซาง พี่อยู่นี่นี่เอง ผมไม่ได้เห็นกับตาหรอกเมื่อกี้ก็แค่พูดไปเรื่อยเปื่อยน่ะ” หม่าคุนพูดเบาๆพูดเสร็จก็เตรียมจะออกไปจากคลับอวิ๋นซาน
“ในเมื่อไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง งั้นแกมีตาสองดวงนี่ไว้ทำไมกัน” น้ำเสียงไร้ความรู้สึกของกู่ซางลอยเข้าไปในหูของหม่าคุนจากนั้นก็ตามด้วยเสียงกรีดร้องและเสียงอาเจียนของผู้หญิงเสียงหอบหายใจผู้ชายดังลอยไปทั่วโถงคลับอวิ๋นซานดวงตาทั้งสองของหม่าคุนหลุดออกมาจากเบ้าอย่างน่าประหลาดหม่าคุนกรีดร้องด้วยเสียงดังลั่น ลูกกะตาหล่นลงบนพื้น ทำให้หลายคนรู้สึกปั่นป่วนในท้องเป็ระลอกๆ
“ฮ่าๆ แม้การหายตัวไปของคนตระกูลกู่จะเป็ข่าวที่ไม่เลวสำหรับฉันแต่แกจะมาแพร่ข่าวที่ยังไม่ได้ตรวจสอบว่าจริงหรือเปล่าในนี้ไม่ได้นะเดี๋ยวฉันจะดีใจฟรีเอา ส่วนนี่เป็บทลงโทษของแก ฮ่าๆ แน่นอนฉันไม่ได้เป็คนทำลูกกะตาแก ฮ่าๆ” กู่ซางพูดยิ้มๆในมือของเขาดันถือองุ่นไว้สองลูกลูกองุ่นที่ดูคล้ายดวงตาที่อยู่กับพื้นทำให้หลายคนอาเจียนออกมา
แน่นอนว่าเื่ทั้งหมดนี้ไม่เกี่ยวอะไรกันกับหนิวเหมิ่งและกัวไฮว่ที่นั่งอยู่บนรถกัวไฮว่กำลังฮัมเพลงอยู่บนรถที่มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่ไกลลิบตาแห่งหนึ่งในเมืองหลวง
“ไอ้น้อง ถึงปู่พวกเราจะส่งจดหมายแนะนำไปปู่ซยงเฟิงยังให้ป้ายห้อยเอวเอาไว้อีกแผ่นหนึ่งด้วยแค่พอถึงข้างในนายก็อ่อนน้อมสักหน่อยนะ กลุ่มเป้าหลงไม่เื่เยอะหรอกอีกอย่างก็คือถ้านายจัดการาาัของพวกเขาได้นายก็จัดการซะถ้าจัดการไม่ได้พวกเราก็กลับไป” หนิวเหมิ่งพูดคำพูดพวกนี้ไปหลายรอบแล้วทว่าเมื่อมองกัวไฮว่ผ่านทางกระจกหลัง หนิวเหมิ่งก็ลอบถอนหายใจนั่นเท่ากับว่าที่พูดมานั้นเสียเปล่า ดูเหมือนว่ากัวไฮว่จะข่มตาหลับไปแล้ว
ไม่รู้ว่าผ่านไปกี่ด่านและไม่รู้ว่าผ่านการตรวจสอบไปกี่ครั้งในที่สุดรถก็หยุดลง ที่นี่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหลงหากแต่เป็ที่พักของกองทัพห้าสามหนึ่ง หนิวเหมิ่งเพิ่งจะลงจากรถก็มีคนมาล้อมเอาไว้
“พี่เหมิ่งจื่อ คราวนี้ทำผิดอะไรอีกล่ะปู่เจิ้นซานถึงส่งพี่มาที่ห้าสามหนึ่งอีกแล้วเนี่ย ฮ่าๆ” ชายรูปร่างใหญ่คนหนึ่งพูดยิ้มๆ “ผ่านการแข่งขันกองทัพไปหลายวันแล้วแกยังจะขี้โม้อีกนะฮ่าๆ”
“จู้จื่อ ดูทรง่นี้แกจะฝึกซ้อมมาไม่เลวเลยนะ เรามาประลองกันหน่อยสิ” หนิวเหมิ่งพูดยิ้มๆ แล้วต่อยไปยังบริเวณอกของคนที่ชื่อว่าจู่จื่อหนึ่งหมัด
“เฮอะๆ ประลองน่ะได้ แต่ต้องพวกเราสามคนประลองกับพี่คนเดียว ไม่งั้นจะเป็การดูถูกพี่เหมิ่งจื่อไปหน่อยล่ะมั้ง” ต้าจู้พูดยิ้มๆ จากนั้นชายตัวใหญ่ที่รูปร่างพอๆกับจู้จื่อสองคนเดินเข้ามาล้อม
“เฮอะๆ จู้จื่อ ต้าเถี่ย เฮยซาน พวกแกรุมด้วยกันเลยเถอะตอนนี้ฉันวอร์มร่างกายกับพวกแกก่อน ไม่งั้นเดี๋ยวไปกลุ่มเป้าหลงไม่มีกระสอบทรายดีๆแบบนี้แน่” หนิวเหมิ่งพูดด้วยใบหน้ายิ้มร้าย
“ต้าเถี่ย เฮยซาน ไม่ต้องเกรงใจพี่เหมิ่งจื่อหรอกนะในเมื่อเขาเองก็แกร่งอยู่ เรารุมด้วยกันเลยเถอะ” ในขณะที่พูดชายร่างใหญ่ทั้งสี่ก็ต่อยกัน ทว่าครั้งนี้ไม่เหมือนกันกับครั้งก่อนๆเพียงแค่ผ่านไปไม่ถึงหนึ่งนาที หนิวเหมิ่งก็กดชายร่างใหญ่ทั้งสามเอาไว้บนพื้น
“พี่เหมิ่งจื่อ ปล่อยมือ เจ็บ ยอมแล้ว ครั้งนี้ยอมแล้ว พวกเรายอมแพ้แล้ว” ต้าจู้พูดขึ้นด้วยเสียงดังส่วนชายร่างใหญ่ที่เหลือทั้งสองก็พูดคล้อยตามด้วยเสียงดัง
“เฮอะๆ รู้สึกไม่เลวเลยใช่ไหม เที่ยงนี้จะกินข้าวที่ห้าสามหนึ่งตอนบ่ายพี่จะไปที่กลุ่มเป้าหลง” หนิวเหมิ่งพูดยิ้มๆ “จริงสิ ลืมแนะนำให้พวกแกไปเลย นี่น้องฉัน กัวไฮว่พวกแกอยู่ที่กองทัพอาจจะไม่รู้นะว่าตอนนี้น้องเขาเป็บุคคลสำคัญผู้โด่งดังในเมืองหลวง หานต้าจู้ เว่ยเถี่ย หลิวเฮยซานพวกเราเป็พี่น้องในเขตทหารที่เล่นด้วยกันมาั้แ่เด็กจนโตสามคนนี้เป็ไพ่คิงแห่งกองทัพห้าสามหนึ่ง แต่ตอนนี้ห่างจากฉันไปไกลหน่อยนะ ฮ่าๆ”
“เฮอะๆ ในเมื่อเป็น้องของพี่เหมิ่งจื่อ งั้นต่อไปก็เป็น้องของเราด้วยเมื่อกี้ขายหน้าน้องชายแล้วล่ะ” จู้จื่อพูดยิ้มๆ “พี่เหมิ่งจื่อ เมื่อกี้ััได้ว่าพี่บรรลุเขตแดนโฮ่วเทียนไปแล้วเป็เขตแดนเซียนเทียนแล้วใช่ไหม”
“ฮ่าๆ นับว่านายรู้มาเยอะเหมือนกันนะเนี่ยตอนนี้พี่เป็ยอดฝีมือเซียนเทียนจริงๆ จังๆ แล้ว ฮ่าๆ” หนิวเหมิ่งหัวเราะเสียงดังลั่นชายร่างใหญ่ทั้งสามก็เบิกตาโพล่งขึ้นมา
“แม่มันเถอะ คนแบบพวกกลุ่มเป้าหลงอีกแล้ว” หลิวเฮยซานพูดพึมพำเบาๆ
“พี่ๆ สามคนครับ ผมเห็นว่าพวกพี่ก็เขตแดนโฮ่วเทียนกันแล้ววันนี้อากาศไม่เลวเลย กินข้าวเที่ยงด้วยกันเสร็จมาทะลุโฮ่วเทียนกัน่นี้พี่เหมิ่งอารมณ์ดี คนเป็น้องก็ไม่สบายใจ ผมอยากจะรู้นักว่าถ้าเป็เขตแดนเซียนเทียนกันหมดพี่เหมิ่งจะยังเก่งแบบนี้หรือเปล่า” กัวไฮว่พูดยิ้มๆ
“เฮอะๆ ถ้าเป็เซียนเทียนกันหมด ไว้ถึงตอนนั้นก็ไม่ต้องสามต่อหนึ่งยังไงพี่ก็ทำอะไรพวกเราสามคนไม่ได้หรอก ว่าแต่ไอ้น้องเขตแดนเซียนเทียนไม่เหมือนกับที่นายคิดนะ ที่พูดแล้วจะบรรลุเลยน่ะจากความสามารถของพวกเราในตอนนี้แล้วเนี่ยต้องดูโชคด้วยนะ” เว่ยเถี่ยพูดยิ้มๆ
“น้องกัวไฮว่บอกแล้วยังไม่รีบไปขอบคุณอีก ไอ้พวกโง่นี่” หนิวเหมิ่งพูดเสียงดัง ชายร่างใหญ่ทั้งสามถึงกับเบิกตาโพล่งเขาก็แค่พูดไปอย่างนั้น หรือว่าเื่ที่พูดไปอย่างนั้นจะเป็เื่จริง