แสงตะวันอันอ่อนโยนยามรุ่งอรุณส่องทะทุผ่านกระจกใส เปลี่ยนห้องที่มืดมิดให้ดูสว่าง
ตอนที่แสงแดดในห้องเริ่มจะร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ คิ้วหนาของไป๋ซีซานที่นอนไม่ได้สติก็เริ่มกระตุกเล็กน้อย ดวงตาที่เคยปิดสนิทก็ค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นในที่สุด
“ท่านปูฟื้นแล้ว ในที่สุดท่านก็ฟื้นสักที”
เมื่อเห็นว่าไป๋ซีซานที่หมดสติไปสิบกว่าวันฟื้นคืนสติขึ้นมาอีกครั้ง ไป๋ซีหย่าที่คอยเฝ้าดูอยู่ข้างๆ ก็พลันน้ำตาไหลอย่างไม่อาจควบคุม นางโผไปที่ข้างเตียง กล่าวเรียกอีกฝ่ายด้วยความตื้นตันใจ
“ซีหย่า ใครช่วยข้าไว้หรือ”
หลังจากสติสัมปชัญญะค่อยๆ หวนคืนมา ไป๋ซีซานจึงเอ่ยถามไป๋ซีหย่าที่ยืนร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ข้างเตียง
“ท่านหมอเฉินเป็คนช่วยท่านปู่เอาไว้” ไป๋ซีหย่ากล่าว พร้อมทั้งยกมือขึ้นปาดน้ำตา
“ท่านหมอเฉิน? เมืองหลวงมีหมอหลวงแซ่เฉินด้วยเรอะ?” ไป๋ซีซานเอ่ยถามด้วยความสงสัย
ในความคิดเขา คนที่ช่วยตัวเองออกจากประตูปรโลกได้ต้องเป็หมอหลวงในเมืองแน่นอน
“ท่านพ่อ คนที่ช่วยท่านเอาไว้ไม่ใช่หมอหลวงแต่เป็เด็กหนุ่มแปลกหน้าผู้หนึ่ง” ไป๋เจียงสุ่ยเล่าต่อ
“ว่าไงนะ เด็กหนุ่ม? เขาอายุเท่าไหร่กัน?” ไป๋ซีซานเลิกคิ้วสูง มวลความประหลาดใจเริ่มก่อตัวขึ้น
“เอ่อ ท่านหมอเฉินผู้นั้นน่าจะอายุประมาณยี่สิบปีเห็นจะได้ แต่ทักษะการแพทย์ของเขาล้ำเลิศกว่าทุกคนที่ข้าเคยพบมา เขาใช้เวลาเพียงแค่ชั่วโมงกว่าๆ ก็สามารถช่วยท่านพ่อออกมาจากประตูปรโลกได้แล้ว” เนื่องจากเยี่ยเฉินเฟิงสวมหน้ากากหนังมนุษย์ปิดบังหน้าตาที่แท้จริงไว้ ไป๋เจียงสุ่ยจึงทำได้เพียงคาดเดาคร่าวๆ เท่านั้น ขนาดตัวเขาเองพูดจบแล้วยังรู้สึกตะขิดตะขวงในใจว่าต้องมีบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง
“อายุแค่ยี่สิบปี แต่กลับมีทักษะการแพทย์ที่เหนือชั้นกว่าหมอหลวง หรือเขาจะเป็คนของนิกายลี้ลับเ่าั้” คิ้วของไป๋ซีซานขยุกขยิกไปมา พลางบ่นพึมพำกับตัวเอง
นิกายเป็ตัวตนที่อยู่เหนืออำนาจของจักรพรรดิในดินแดนนี้ บรรดานิกายระดับสูงที่ตั้งอยู่ในทวีปโต้วหุนล้วนมีอำนาจมากพอที่จะชี้ชะตาว่าแคว้นจะรุ่งเรืองหรือล่มสลาย
“นิกาย! จริงสิ คงมีแค่ยอดอัจฉริยะจากนิกายเท่านั้นแหละ ถึงจะมีทักษะการแพทย์ที่เลิศล้ำเช่นนั้นได้” ไป๋เจียงสุ่ยกล่าวสมทบด้วยดวงตาเปล่งประกาย
“เจียงสุ่ย หมอเทวดาผู้นั้นยังอยู่ในคฤหาสน์หรือไม่?” ไป๋ซีซานเอ่ยถาม ขณะลุกขึ้นนั่งโดยมีไป๋ซีหย่าช่วยประคอง
“หลังจากรับค่าตอบแทนก็จากไปั้แ่เมื่อคืนแล้ว พวกเราไม่อาจรั้งเขาไว้ได้” ไป๋เจียงสุ่ยตัดพ้อด้วยความเสียดาย “ยังดีที่ข้าเพิ่มเงินรางวัลให้เป็สองเท่า มากน้อยก็ถือว่าได้สานสัมพันธ์อันดีกับเขาไว้แล้ว”
หากเด็กหนุ่มคนนั้นมาจากนิกายจริงๆ ต่อให้ตระกูลไป๋ต้องเทจนหมดหน้าตักเพื่อผูกไมตรีกับอีกฝ่ายก็ยังนับว่าคุ้มค่า
“ผูกสัมพันธ์เอาไว้ได้ก็นับว่าดีแล้ว” ไป๋ซีซานพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “เจียงสุ่ย ซีหย่า หากไม่มีธุระอะไรก็ลองไปเดินสำรวจในเมืองดู คราวนี้ถ้าเจอกับท่านหมอเทวดาท่านนั้นอีกจะต้องเชิญกลับมาให้ได้ล่ะ”
“ขอรับ!” สองพ่อลูกพยักหน้ารับคำ
ในขณะที่สองพ่อลูกตระกูลไป๋้าตามหาเบาะแสของเยี่ยเฉินเฟิงด้วยใจที่เปี่ยมความหวัง เหลียนซานจวินที่ต้องอับอายขายขี้หน้าก็กำลังตามหาเบาะแสของเยี่ยเฉินเฟิงอยู่เช่นกัน
ต่างกันที่สองพ่อลูกตระกูลไป๋ตามหาอีกฝ่ายเพื่อตอบแทนบุญคุณ ส่วนเหลียนซานจวินตามหาอีกฝ่ายเพื่อแก้แค้น
ป่าเขาลำเนาไพร สระมรกตน้ำลึก เงานกกระเรียน ใน่ปลายคิมหันตฤดู...
เช้าวันถัดมา เยี่ยเฉินเฟิงที่ฟื้นคืนสภาพ เขาจ่ายเงินเกือบหนึ่งแสนแปดหมื่นตำลึง ซื้อผลึกิญญาระดับต่ำหกก้อน กลับเข้าไปบ่มเพาะพลังในหุบเขาไป๋อวิ๋น
ส่วนลึกของหุบเขาไป๋อวิ๋น ณ บริเวณข้างสระมรกตอันเงียบสงบ เยี่ยเฉินเฟิงกุมผลึกิญญาระดับต่ำสีขาวขุ่นสองก้อนไว้ในมือ เขาดูดกลืนพลังิญญาจากผลึกเพื่อบ่มเพาะทักษะกลืนิญญาด้วยความรวดเร็ว
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน ทันใดนั้นผลึกทั้งสองก็แผดเสียงลั่นและแตกสลาย เยี่ยเฉินเฟิงเหลือบมองผลึกที่สิ้นประกายแสงและแหลกเป็ผุยผง ร่วงหล่นผ่านร่องนิ้วลงสู่พื้นดิน
“เขตแดนผู้ใช้อสูริญญาระดับหนึ่งขั้นสูงสุด พลังกายเพิ่มสูงขึ้นอีกหนึ่งเท่า” หลังจากพบความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย เยี่ยเฉินเฟิงระบายยิ้มบางๆ กับตัวเอง หยิบผลึกิญญาระดับต่ำสุดแสนแพงออกมาอีกสองก้อน และใช้ทักษะกลืนิญญาบ่มเพาะพลังต่อ
พลังิญญาบริสุทธิ์ไหลเวียนเข้าสู่ร่างกายของเขาราวกับเขื่อนแตก ก่อนจะถูกไข่โลหิตในห้วงจิติญญาดูดซับจนหมดสิ้น
ไข่โลหิตดูดซับพลังิญญาเข้าไปมากขึ้นเรื่อยๆ บนผิวเปลือกไข่ก็ปรากฏรอยแตกร้าวขึ้นมาจุดหนึ่ง ในขณะที่รอยแตกร้าวชัดเจนมากยิ่งขึ้น พลังิญญาเข้มข้นกระแสหนึ่งก็พรั่งพรูออกมาจากตัวไข่ เจาะทะลุ่คอขวดที่อุดตัน ฝ่าข้ามขั้นไปที่เขตแดนผู้ใช้อสูริญญาระดับสองได้สำเร็จ
ในเสี้ยววินาทีที่บรรลุสู่อีกหนึ่งระดับขั้น ดวงตาที่ปิดสนิทของเยี่ยเฉินเฟิงก็พลันเบิกกว้าง ลำแสงหลายสายสาดประกายออกมา
เมื่ออยู่ในเขตแดนผู้ใช้อสูริญญาระดับสองแล้ว พลังิญญาของเยี่ยเฉินเฟิงก็เพิ่มขึ้นถึงสองเท่าตัว พลังกายเพิ่มสูงถึงหนึ่งพันห้าร้อยจิน
การที่เขาทะลวงสู่เขตแดนผู้ใช้อสูริญญาระดับสองได้ไวขนาดนี้ ต้องยกความดีความชอบทั้งหมดให้กับพลังดูดกลืนอันแข็งแกร่งเกินจิตนาการของทักษะกลืนิญญา
“เฮ้อ ถ้าข้ามีผลึกิญญาให้ใช้แบบไม่มีวันหมดก็คงจะดี”
เมื่อระดับพลังเพิ่มสูงขึ้น การดูดซับพลังิญญาจากผลึกก็ยิ่งเพิ่มสูงขึ้น หากเขา้าเพิ่มระดับพลังในระยะเวลาอันสั้น ต้องหาทางสร้างเม็ดเงินเพื่อซื้อผลึกิญญามาใช้หรือกลืนจิตอสูรของผู้ที่เป็ศตรู
ในขณะที่เขาพยายามทำให้เขตแดนพลังมั่นคง ทันใดนั้น เสียงกรีดร้องอย่างหวาดกลัวของเด็กสาวคนหนึ่งก็ดังลั่นทั่วผืนป่าอันเงียบสงบ ก่อเกิดความรำคาญใจให้แก่เขา
“เสียงคุ้นหูชะมัด ใครกันนะ?”
เยี่ยเฉินเฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะเหลือบมองทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เกิดอาการลังเลอยู่ชั่วครู่ แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะมุ่งหน้าไปดูเหตุการณ์
“คนสวย ข้าว่าเ้าอย่าขัดขืนอีกเลยเพราะมันไร้ประโยชน์สิ้นดี ที่นี่ไม่มีใครช่วยเ้าได้หรอก ถึงเ้าจะแหกปากจนคอแตกก็ไม่มีอะไรดีขึ้น”
ชายวัยกลางคนสวมชุดคลุมยาวสีดำ รูปร่างธรรมดาสามัญ มีรอยแผลเป็บริเวณหางตากล่าวขึ้นอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง แลบลิ้นเลียริมฝีปากสีแดงฉาน
เบื้องหน้าของเขาคือเด็กสาวในชุดฝึกยุทธ์สีดำสนิท รูปร่างโค้งเว้าเย้ายวนใจ รูปโฉมงดงามหยาดเยิ้ม มุมปากมีรอยเืซึม
หากเยี่ยเฉินเฟิงอยู่แถวนี้ เขาคงมองออกในทันทีว่าเด็กสาวผู้งดงามตรงหน้านี้ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็เฉียวจิ้งยวน คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลเฉียวที่เคยสนิทสนมกับเขาอยู่่หนึ่ง แต่ปัจจุบันกลายเป็เพียงคนแปลกหน้าต่อกัน
“เ้า เ้าอย่าเข้ามานะ ถ้าเ้ากล้าแตะต้องข้าแม้แต่น้อย รับรองว่าตระกูลเฉียวจะไม่ปล่อยเ้าไปแน่” เฉียวจิ้งยวนที่าเ็หนัก พูดข่มขู่อีกฝ่ายพร้อมถอยหนีด้วยความหวาดหวั่น
ยามนี้นางรู้สึกคิดผิดยิ่งนักที่หนีมาบ่มเพาะพลังในเทือกเขา ไป๋อวิ๋นเพียงลำพัง หากนางไม่ตัดสินใจอย่างบุ่มบ่าม ก็คงไม่ต้องมาเผชิญอันตรายกับพวกโจรเด็ดบุบผาเช่นนี้หรอก
“อย่ากลัวไปเลยคนสวย ข้าสัญญาว่าจะอ่อนโยนกับเ้า” เมื่อเห็นรูปโฉมอันงดงามของเฉียวจิ้งยวน ชายชุดดำก็ยิ่งรู้สึกฮึกเหิม
“จิตอสูร วิหคปีกทอง”
เมื่ออันตรายย่างกรายมาถึง เฉียวจิ้งยวนที่าเ็หนักก็ไม่คิดจะนั่งรอความตาย นางกัดฟันดึงพลังิญญาในห้วงสมอง อัญเชิญจิตอสูรวิหคปีกทองที่ถูกชายชุดดำทำลายไปเมื่อครู่ออกมาอีกครั้ง เพื่อทำการต่อสู้เป็ครั้งสุดท้าย
เฉียวจิ้งยวนเป็เพียงผู้ใช้อสูริญญาระดับสอง แต่ชายชุดดำเป็ถึงผู้ใช้อสูริญญาระดับสี่ จิตอสูรนกปีกทองที่นางหลอมรวมขึ้นมาไม่ได้สร้างความหวาดหวั่นแก่ชายชุดดำเลยแม้แต่น้อย
เมื่อชายชุดดำผสานจิตอสูรหมีดำของเขาเข้ากับกระบองยาวสีดำ ก็พลันเกิดแสงสว่างสีขาวขึ้นที่ตัวกระบองยาว พลังโจมตีของอาวุธเพิ่มขึ้นสูงเป็เท่าตัว
ปรากฏเสียง “เพล้ง!” ขึ้น
กระบองของชายชุดดำผ่าขวางลงมา ทุบทำลายจิตอสูรวิหคปีกทองของเฉียวจิ้งยวนจนแตกสลาย พลังสะท้อนกลับมหาศาลพุ่งเข้าไปในห้วงสมองของนางและสร้างาแฉกรรจ์ต่อจิติญญา เืจำนวนมากไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด[1]
หลังถูกพลังิญญาสะท้อนกลับอย่างต่อเนื่อง เฉียวจิ้งยวนที่าเ็สาหัสเป็ทุนเดิมจึงอ่อนแออย่างถึงที่สุด สองขาอ่อนแรงทรุดร่างลงไปกับพื้น
ยามนี้เฉียวจิ้งยวนรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาแล้วจริงๆ นางไม่อยากคิดเลยว่าต่อจากนี้จะต้องเจอกับอะไร น้ำตาร้อนผ่าวไหลกลิ้งลงมาจากดวงตาอย่างควบคุมไม่ได้ ใบหน้างดงามเปียกชุ่มไปด้วยหยาดน้ำตา
“อะไรกัน ไม่ขัดขืนแล้วเรอะ?” ชายชุดดำมองเฉียวจิ้งยวนที่ตกอยู่ในสภาพสิ้นหวัง มุมปากพลันแสยะยิ้มขณะก้าวเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย ก่อนจะล้วงซองกระดาษสีเหลืองออกมาจากอกเสื้อพร้อมกล่าว “มานี่สิคนสวย ทำตัวเป็เด็กดีแล้วกลืนมันลงไปซะ แล้วข้าจะรักใคร่ทะนุถนอมเ้าอย่างดี”
กล่าวจบ ชายชุดดำก็ไม่ปล่อยให้เฉียวจิ้งยวนได้ขัดขืน บังคับจับกรอกผงขาวจากซองกระดาษสีเหลืองเข้าปากของอีกฝ่ายไปทั้งอย่างนั้น
“เ้า เ้ามันเดรัจฉาน เ้าไม่ได้ตายดีแน่นอน” เฉียวจิ้งยวนเดาได้ว่าชายชุดดำกรอกยาอะไรให้นางกิน จึงด่ากราดอีกฝ่ายด้วยความสิ้นหวัง
“ฮ่าๆ คนสวย รอให้ยาออกฤทธิ์เดี๋ยวเ้าก็รู้สึกดีเองแหละน่า” ถ้อยคำก่นด่าของเฉียวจิ้งยวนไม่ทำให้ชายชุดดำยอมรามือ ซ้ำยังทำให้อีกฝ่ายตื่นเต้นมากกว่าเดิม
มองชายชุดดำที่กำลังย่างกรายเข้าใกล้มาเรื่อยๆ ความสิ้นหวังและความเศร้าสลดเผยชัดบนใบหน้าของเฉียวจิ้งยวน
ตอนที่นางคิดจะกัดลิ้นฆ่าตัวตายท่ามกลางสติอันเรือนลางเต็มทน ก็พลันปรากฏเงาสลัวของใครบางคนที่ด้านหลังชายชุดดำ และเขาคนนั้นก็กำลังปล่อยหมัดหนักแน่นทรงพลังแหวกผ่านชั้นอากาศเข้าโจมตีชายชุดดำด้วย
------------------------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] ทวารทั้งเจ็ดในที่นี้ประกอบไปด้วย หูสองข้าง ตาสองข้าง รูจมูกสองข้างและปาก
