ั้แ่ที่ออกมาพ้นเขตประตูเมือง หวานหว่านก็ตื่นเต้นเหลือเกิน นางแย้มยิ้มขณะซบอยู่ในอ้อมอกของจวินเหยียน ก่อนจะเอ่ยถามขึ้น “เสด็จพ่อ ที่เมืองอู้สนุกไหมเพคะ? ”
เมื่อจวินเหยียนได้ยินก็หัวเราะแล้วกล่าวตอบ “เมืองอู้หรือ ไม่นับว่าเป็สถานที่ที่น่าสนุกนักหรอก เพราะครั้งนี้พ่อเองก็มีเหตุจำเป็ให้ต้องไปเมืองอู้ ส่วนเ้าต้องติดตามมารดาไปดูชีวิตความเป็อยู่ต่างๆ ของผู้คนในเมืองอู้ เข้าใจหรือไม่? ”
“เพคะ” หวานหว่านพยักหน้ารับอย่างเชื่องเชื่อ ก่อนออกจากจวนมา แม่นมได้บอกแก่นางว่า พระบิดาต้องมาทำงาน ดังนั้น นางจะทำให้พระองค์ต้องเสียเวลาเสียการงานไม่ได้โดยเด็ดขาด มิเช่นนั้นในวันหน้าหากคนทั้งสองจำต้องออกมาด้านนอกอีกย่อมไม่ยอมพานางมาด้วยอีกแล้วเป็แน่
อวิ๋นซีมองสองพ่อลูกที่สนิทชิดเชื้อกันถึงเพียงนี้ นางก็อดกวักมือไปทางหวานหว่านไม่ได้ด้วยอยากจะให้อีกฝ่ายเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนตนบ้าง ในตอนนั้นจวินเหยียนกลับส่ายศีรษะปฏิเสธ “อย่าได้มองว่าตัวนางยังเล็กเชียว เพราะยามนี้นางตัวหนักทีเดียว ยิ่งกว่านั้น ระยะทางที่ไปนี้ก็ขรุขระยิ่ง ให้ข้าอุ้มแทนจะดีกว่า”
เขาจะให้เด็กน้อยคนนี้ไปทำให้อวิ๋นซีเหนื่อยไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่านางยังต้องช่วยตนทำงานอีกด้วย เพียงเท่านี้เขาเองก็ยากจะตัดใจที่จะปล่อยให้นางต้องลำบากไม่ได้แล้ว
อวิ๋นซีกลอกตาใส่เขา หวานหว่านเป็บุตรสาวนาง แต่กลับอุ้มไม่ได้ นี่มันเหตุผลอะไรกัน “ไม่เป็ไร ให้ข้าได้อุ้มนางสักครู่หนึ่งเถิด”
“จะให้ท่านแม่อุ้ม” หวานหว่านยื่นมือออกไปด้านหน้า เพราะก่อนหน้านี้กอดบิดามานานแล้ว ยามนี้จึงอยากกอดมารดาบ้าง
จวินเหยียนมองสองแม่ลูกจอมดื้อดึง สุดท้ายก็ทำได้เพียงต้องยอมรับในชะตากรรม ส่งเด็กน้อยให้อวิ๋นซี “เ้าเองก็ระวังหน่อย อย่าได้ขยับไปมามากนัก หากทำมารดาเ้าเหนื่อย ครั้งหน้าพ่อจะไม่ให้เ้าตามติดนางแล้ว แต่จะให้เ้าไปอยู่ในรถม้าคันหลังกับแม่นม”
เพื่อให้ลูกได้มีเวลาอยู่กับมารดาบ้าง ภายในรถม้าทั้งสองคันที่ใช้สำหรับการเดินทางในครั้งนี้จึงถูกจัดแจงไว้ไม่ต่างกันนัก เด็กน้อยจะได้นั่งได้อย่างสบาย อีกทั้ง อวิ๋นซีเองยังได้ให้คนตระเตรียมผ้าห่มชุดหนึ่งไว้ในรถม้าด้วย หากว่าเด็กน้อยเหนื่อยจนผล็อยหลับไป นางจะได้ช่วยห่มคลุมผ้าให้
นอกจากนี้ อาหารการกินอื่นๆ ก็ยังได้จัดเตรียมไว้บนรถม้าด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด หากหิวก็สามารถกินได้ในทันที
“หวานหว่าน ฟังข้านะ เหตุที่เราไปเมืองอู้กันในครั้งนี้ก็เพราะต้องไปทำงาน ทว่าในหมู่บ้านนั้นยังมีเด็กที่อายุเท่าๆ กันกับเ้าอยู่ เ้าสามารถไปเล่นกับพวกเขาได้ เพียงแต่ ห้ามงอแง และเอาแต่ใจ ต้องเป็มิตรต่อเหล่าสหายทั้งหลายของเ้านะ รู้หรือไม่? ” ครั้งนี้พวกเขากำลังมุ่งหน้าไปยังสวนของตระกูลฉินที่ตั้งอยู่ในเมืองอู้ เพราะสวนนั่นเป็สถานที่ที่จวินเหยียนใช้สำหรับทดลองเพาะพันธุ์มันเทศ
สวนของตระกูลฉินที่เมืองอู้นั้นมีที่ดินทำกินสามร้อยกว่ามู่ ซึ่งจัดสรรไว้ให้ประชาชนในพื้นที่เช่าไปทำการเกษตรทั้งหมด หากพวกเขาสามารถเพาะพันธุ์มันเทศได้สำเร็จเมื่อไร ก็จะสามารถขยายการเพาะพันธุ์นี้ออกไปเป็วงกว้างได้
นางคิดไว้แล้วว่า ไม่ว่าจะฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง หรือฤดูหนาว ทั้งสี่ฤดูในหานโจวนี้ นางล้วนไม่อยากพลาดเลยสักฤดูเดียว โดยใน่ฤดูหนาว นางสามารถถ่ายทอดความรู้เื่การเพาะปลูกในเรือนกระจกให้กับประชาชนได้ และแน่นอนว่า เื่เหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อการทดลองนี้สำเร็จแล้ว และมีผลลัพธ์ที่ประจักษ์ชัดออกมาให้ทุกผู้คนได้เห็นก่อนถึงจะนับว่าใช้ได้ ดังนั้น แิเื่การเพาะปลูกในเรือนกระจกนั้น นางยังไม่ได้บอกใครแม้แต่กับจวินเหยียน เพราะนางจำเป็ต้องคิดคำนวณให้ละเอียดรอบคอบเสียก่อนแล้วค่อยบอกเขา
ในดินแดนตะวันตกเฉียงเหนือนี้ ไม่ว่าจะเป็หานโจวหรือว่าที่อื่น พืชผักล้วนมีปริมาณน้อย แม้แต่ตระกูลมั่งมีหากอยากจะกินพืชผักที่สดใหม่ก็ยังถือเป็เื่ยาก ดังนั้น นี่จึงนับเป็หนทางทำเงินที่ดี ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหน นางจักต้องคิดหาวิธีบุกเบิกออกมาให้ได้
“เ้าจะให้นางไปเล่นสนุกกับพวกลูกหลานของชาวบ้านในสวนนั่นหรือ? ” จวินเหยียนเลิกคิ้วถาม คนเป็ถึงไข่มุกบนฝ่ามือเขาเชียวนะ จะให้ไปเล่นกับเด็กชาวบ้านธรรมดาๆ เ่าั้จนสกปรกมอมแมมได้หรือ?
“ท่านดูถูกที่พวกเขาเป็คนยากคนจนใช่หรือไม่? ” อวิ๋นซีมองเขาด้วยความไม่พอใจ แล้วจึงถามเสียงขรึมออกไป
จวินเหยียนเห็นสีหน้านางไม่ดีนัก ก็ส่ายศีรษะอย่างปลงๆ “เปิ่นหวางดูถูกพวกเขาที่ไหนกัน เมื่อก่อนตอนที่เพิ่งมาถึงหานโจวใหม่ๆ เปิ่นหวางเองก็เคยไปเรียนวิธีทำนาเพาะปลูกด้วยตนเองมาแล้ว เพื่อเป็การหาประสบการณ์ชีวิต ดังนั้น หากหวานหว่านเป็บุตรชายก็ย่อมไม่เป็ไร แต่นี่นางเป็สตรีนะ”
ในสายตาของเขา หากว่าเป็ลูกชายเนื้อหนังหนาด้าน หรือต่อให้จะล้มลุกคลุกคลาน ชนนิดชนหน่อยก็หาใช่ปัญหาสักนิด แต่เด็กผู้หญิงนั้นไม่เหมือนกัน ร่างกายพวกนางล้วนบอบบางและควรให้ค่าไว้สูงส่งยิ่ง เขาจึงตัดใจให้หวานหว่านต้องได้รับความน้อยเนื้อต่ำใจ หรือความยากลำบากแม้เพียงเล็กน้อยไม่ได้
“ท่านกำลังจะบอกข้าว่า ท่านไม่เห็นสตรีอยู่ในสายตา? หรือกำลังคิดว่าสตรีเหมาะที่จะเป็นกในกรง ให้บุรุษเช่นพวกท่านกักขังไว้ ตอนที่ชอบใจก็ค่อยมาดูมาชื่นชม เมื่อไม่ชอบใจแล้วก็แค่ลืมๆ มันไปเสียก็หาได้เป็อะไรไม่? ข้าจะบอกท่านให้นะจวินเหยียน บุตรสาวของข้าไม่เพียงแต่ต้องเก่งกาจในการคบค้าสมาคมกับคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์ แต่ต้องติดดิน สามารถเที่ยวเล่นสนุกกับประชาชนทั่วไปได้ และข้าจะเป็ผู้ถ่ายทอดความรู้วิชาแพทย์และวิชาพิษทั้งหมดที่ข้ามีให้นาง เผื่อวันหน้านางจะได้ไม่ต้องถูกคนรังแก”
อวิ๋นซีไม่ชอบท่าทีของจวินเหยียนที่มองว่าคนเป็ลูกสาวก็ต้องถูกอบรมสั่งสอนให้อยู่แต่ในกรอบ เพราะนางผ่านประสบการณ์การแต่งงานที่ล้มเหลวมาแล้วครั้งหนึ่ง ทั้งยังต้องสูญเสียทุกคนในตระกูลไปในคราวเดียว อวิ๋นซีจึงมีมุมมองที่ชัดเจนว่า ไม่ว่าจะเกิดเป็บุรุษหรือสตรีก็ล้วนต้องมีความสามารถที่เพียงพอ จึงจะปกป้องตนเองได้
จวินเหยียนไม่เคยรู้มาก่อนว่านางมีความคิดที่จะถ่ายทอดวิชาแพทย์และวิชาพิษให้บุตรสาวด้วย อวิ๋นซีที่เห็นเขามีสีหน้าเหมือนจะไม่ยินดี ก็ได้แต่แค่นเสียงเ็า “ทำไมหรือ? ท่านอ๋อง ดูเหมือนว่าท่านจะไม่ยินดีกับความคิดนี้เป็อย่างยิ่ง”
“ไม่ใช่ สามีเองก็อยากจะให้วันหน้าบุตรสาวเรามีความสามารถติดตัว และปกป้องตัวเองได้จะตายไป” เขากำลังคิดว่าหากภรรยาสอนวิชาแพทย์ให้ลูกได้ เช่นนั้นตนก็สามารถสอนวรยุทธ์ให้นางได้ด้วยใช่หรือไม่ เพราะเขาเองก็มีความรู้สึกหนึ่งผุดขึ้นมาในใจ...เห็นทีการที่เขาอยากจะให้หวานหว่านกลายเป็สตรีงามเพียบพร้อมผู้แสนจะเรียบร้อยคงจะมีความเป็ไปได้ต่ำแล้ว
จะทำอย่างไรได้ พระชายาที่ตนแต่งเข้ามาก็หาใช่สตรีงามเพียบพร้อมผู้แสนจะเรียบร้อย ลูกเองก็ชื่นชอบที่จะอยู่กับอวิ๋นซี ด้วยเหตุนี้ เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า บุตรสาวของเขาก็คงได้กลายเป็อวิ๋นซีคนที่สองแน่
คนทั้งขบวนใช้เวลาเดินทางอยู่หนึ่งวัน เมื่อตกค่ำจึงได้หาโรงเตี๊ยมที่ตั้งอยู่ในอำเภอหนึ่งเพื่อแวะพักผ่อน ทว่า ในวันเดียวกันนั้นที่โรงเตี๊ยมก็มีคนอีกขบวนหนึ่งเข้ามา ตอนแรกที่อวิ๋นซีเห็นคนกลุ่มนี้ นางก็รู้สึกประหลาดมากด้วยเพราะชายที่เดินนำอยู่นั้นมีรูปลักษณ์เหมือนฉินเหยียนทุกประการ
นางเสมองบุรุษข้างกายไปทีหนึ่ง จากนั้นจึงจูงมือบุตรสาวเข้าไปในห้อง
“คนเ่าั้ล้วนเป็คนของท่าน? ” นางไม่เชื่อหรอกว่าบนโลกใบนี้จะมีเื่ที่บังเอิญเพียงนี้อยู่ด้วย
เขาพยักหน้า “อืม วันพรุ่งพวกเราจะแปลงโฉมเป็พ่อแม่ลูกตระกูลฉิน ส่วนพวกเขาจะปลอมตัวเป็พวกเราและพักอยู่ในอำเภอนี้” เื่เพาะปลูกมันเทศจะยังให้คนภายนอกรู้ไม่ได้ เขาไม่อยากให้สุดท้ายแล้วทุกอย่างจะกลายเป็แค่ฟองอากาศ
คนที่ไม่อยากให้เขากลับไปยังเมืองหลวงนั้นมีมากมาย ไม่ว่าเขาจะทำเื่ใดล้วนต้องไม่ทำตัวเป็จุดสนใจ
อวิ๋นซีพยักหน้า ไม่อาจไม่กล่าวได้ว่า นี่ถือเป็ความคิดที่ไม่เลวเลยทีเดียว นางนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มพูดว่า “คงไม่ใช่ว่า คนผู้นั้นก็คือตัวแทนที่ท่านเป็ผู้ฝึกฝนด้วยตัวเองหรอกนะ? ” เมื่อครู่นางมองอยู่ครู่หนึ่ง คนผู้นั้นปลอมตัวเป็ฉินเหยียนได้เหมือนยิ่ง
เขาหัวเราะก่อนจะเขยิบเข้าไปใกล้หูนางแล้วพูดเสียงเบา “เขามีนามว่าเว่ยจง เป็น้องชายของเว่ยหลง หัวหน้าหน่วยองครักษ์ัโลหิต พวกเขาสองพี่น้องเติบโตมาด้วยกันกับข้าั้แ่ยังเล็ก ทั้งยังเป็คนที่อาจารย์ของข้าทิ้งไว้ให้ข้า พวกเขาเป็คนที่เชื่อถือได้นะ ยิ่งกว่านั้น เว่ยจงเองก็มีความสามารถในการแปลงโฉมและปลอมตัว ในบางครั้งหากข้าไม่อยู่ในจวน เว่ยจงก็จะเปลี่ยนเป็ข้า และรั้งอยู่ที่จวนแทน”
เมื่ออวิ๋นซีได้ยินแล้วก็เม้มริมฝีปาก ก่อนจะถามกลับเสียงเบา “เื่เหล่านี้ล้วนเป็ความลับของท่าน หากมาบอกข้าเช่นนี้ ท่านไม่กลัวหรือว่าข้าจะแพร่งพรายมันออกไป? ” ยามนี้นางได้รู้เื่ราวเกี่ยวกับตัวเขามากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว จนทำให้นางค้นพบว่า ระหว่างคนทั้งสองเริ่มจะมีความเกี่ยวข้องกันมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างแยกไม่ออก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้