หลังจากเกิดเื่ที่สนามบาสเกตบอลครั้งก่อน ทั้งสองพ่อลูกก็ไม่ได้เจอหน้ากันอีกเลย ถึงแม้ว่าเวินลี่จะบอกว่าได้อธิบายไปให้แล้ว แต่ชวีเสี่ยวปอกลับยังคงรู้สึกว่ามีอะไรค้างคาใจอยู่ดี
ถึงอย่างไรสิ่งที่ค้างคาใจอยู่นี้ก็ไม่ใช่ว่าจะเกิดขึ้นมาภายในวันเดียว ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อนึกถึงประโยคนั้นที่ชวีอี้เจี๋ยพูดว่า “ไม่เป็โล้เป็พาย” ชวีเสี่ยวปอจึงไม่อยากที่จะคุยกับพ่อของเขาขึ้นไปใหญ่
แต่พออยู่ต่อหน้าเวินลี่ ชวีเสี่ยวปอกลับไม่อยากจะก่อเื่ที่ทำให้เธอไม่สบายใจขึ้นมา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่เขาทั้งสองคนเดินเข้าบ้านมา ความประหลาดใจบนใบหน้าของเวินลี่ก็ปรากฏขึ้นมาอย่างไม่ต้องสงสัย ชวีเสี่ยวปอมองแม่ของเขาอยู่หลายครั้งและรู้สึกตลอดว่าวินาทีถัดมาเธอคงจะอดไม่ได้ที่จะปรบมือพร้อมทั้งพูดว่า “ยินดีต้อนรับ ยินดีต้อนรับ ยินดีต้อนรับอย่างอบอุ่น”
ส่วนชวีอี้เจี๋ยก็น่าสนใจไม่แพ้กัน อาจจะเป็เพราะความรู้สึกเช่นนี้มันแพร่ติดต่อกันได้ เพราะในขณะที่เดินเข้าบ้านมาเขาก็ตบหลังของชวีเสี่ยวปอเบาๆ ทั้งยังพูดออกมาอย่างสนิทสนมว่า : “ผมบังเอิญเจอลูกชายที่หน้าประตูพอดี”
ช่างแปลกใหม่เสียจริง !
ชวีเสี่ยวปออยากจะกลอกตาเป็ที่สุด ในขณะนั้นเขารู้สึกอึดอัดขึ้นมาในตำแหน่งที่พ่อของเขาััไปเมื่อครู่นี้
“ทั้งสองคนนานๆ จะกลับมาพร้อมกันสักที” เวินลี่ทำท่าสูดจมูก แล้วจู่ๆ ก็หันไปจ้องชวีอี้เจี๋ย : “คุณดื่มมาเหรอคะ? ”
“กลางวันแสกๆ ผมจะดื่มทำไม...” ชวีอี้เจี๋ยหยุดพูดลงอย่างกะทันหัน จากนั้นจึงหันไปมองชวีเสี่ยวปอ
“ผมเองครับ” ชวีเสี่ยวปอยกมือขึ้น รู้สึกอายขึ้นมานิดหน่อย “ผมดื่มเองครับ ดื่มไปเมื่อวานตอนกลางคืน”
“ดื่มไปเท่าไหร่ฮะ ตอนนี้กลิ่นยังติดอยู่เลย !” เวินลี่พูดออกมาติดบ่นด้วยเล็กน้อย “เป็เด็กเป็เล็กดื่มเหล้าได้ยังไงฮะ !”
“ตอนผมอายุเท่านี้ผมก็แอบดื่มเหมือนกันละน่า” ชวีอี้เจี๋ยกลับไม่ได้รู้สึกสนใจอะไร “ตอนกลางวันก็ดื่มเป็เพื่อนพ่อสักสองแก้วนะ”
“ได้ครับ” ชวีเสี่ยวปอกัดฟันพูดออกไป ถือว่าเป็การตอบรับ
แล้วก็เป็เช่นนั้นจริงๆ ในตอนกลางวันชวีอี้เจี๋ยหยิบเหล้าออกมาจากในตู้ขวดหนึ่ง เดิมทีเขาก็ชอบดื่มเหล้าที่ดีกรีสูงๆ อยู่แล้ว ชวีเสี่ยวปอไม่รู้ว่าที่ตัวเองเป็เช่นนี้เพราะได้พ่อมาหรือเปล่า แต่เมื่อเวินลี่เห็นเข้าก็เอาแต่ส่ายหัวแล้วพูดออกไปว่า “แก้วเดียวก็พอ อย่ามากไปกว่านี้เด็ดขาด มีไวน์ผลไม้อยู่ไม่ใช่เหรอ? ฉันว่าดื่มอันนั้นดีกว่านะคะ”
“ถ้าดื่มอันนั้นไม่สู้ดื่มน้ำอัดลมไปเลยล่ะ !” ชวีอี้เจี๋ยหัวเราะ หยิบแก้วมาสองใบแล้วเทเหล้าลงไปจนเต็ม “เปิดขวดนั้นด้วยเลย คุณก็มาดื่มกับพวกเราสักแก้วสองแก้วนะ”
ชวีอี้เจี๋ยพูดออกมาพลางดันแก้วอีกใบไปตรงหน้าของชวีเสี่ยวปอ : “เท่านี้ได้ใช่ไหม? ”
สิ่งที่อยู่ในใจของชวีเสี่ยวปอคือถ้าผมบอกว่าไม่ได้จะมีประโยชน์อะไรไหมละครับ? เขาสงสัยขึ้นมาแล้วว่าชวีอี้เจี๋ยใช้การดื่มเหล้าเพื่อมาสั่งสอนเขาหรือเปล่า แต่ชวีอี้เจี๋ยกลับทั้งยิ้มทั้งหัวเราะอยู่ตลอด ไม่ได้มีช่องโหว่หลุดออกมาให้เห็นเลยสักนิด
เมื่อเทียบกับการดื่มกับซือจวิ้นและเซี่ยเจิงเมื่อวานนี้แล้ว ครั้งนี้ชวีเสี่ยวปอรู้สึกอึดอัดเอามากๆ อันที่จริงเื่แบบนี้ควรจะต้องเป็เื่ที่มีความสุข ไม่ใช่เพราะว่าเหล้าที่ดื่มทั้งดีและมีราคาสูง แต่มันกลับเป็เพราะบรรยากาศล้วนๆ
ถ้าบรรยากาศได้ที่ ต่อให้ดื่มน้ำเปล่าก็มีความสุขสนุกสนานขึ้นมาได้
“ผมจะพยายามครับ” ชวีเสี่ยวปอกัดฟันพูด
“โง่หรือเปล่า” เวินลี่ผลักด้านหลังศีรษะของลูกชายไปครั้งหนึ่ง “พ่อของลูกให้ดื่มเยอะขนาดนั้นที่ไหนกันเล่า? ” หลังจากพูดจบก็หันไปจ้องชวีอี้เจี๋ยพลางบ่นออกมา : “พอเลยนะ”
เมื่อแม่เขาพูดแบบนี้ออกมา ชวีเสี่ยวปอจึงรู้สึกวางใจขึ้นมาก
ชวีอี้เจี๋ยเริ่มบทสนทนาด้วยชุดคำถามเดิมที่ปกติเขาเคยใช้ แบบที่ว่าอยู่โรงเรียนเป็ยังไงบ้าง มีเื่ทะเลาะชกต่อยกันหรือเปล่า อย่าก่อเื่อีกล่ะ อะไรประมาณนี้ ซึ่งไม่ต้องรอให้ชวีเสี่ยวปอพูดอะไรออกมา เวินลี่ก็ช่วยตอบคำถามไปจนหมด ตราบใดที่คุณครูไม่ได้โทรศัพท์มาที่บ้าน เวินลี่ก็ทำเหมือนว่าเขาเป็ลูกชายที่เชื่อฟังที่สุดในโลก
“ถ้างั้นก็ดีแล้วละ” ชวีอี้เจี๋ยวางตะเกียบลง พยักหน้า แล้วจู่ๆ ก็ถามขึ้นมาว่า : “ชวีจิ่งมีแฟนแล้วใช่ไหม? ”
“คำถามนี้” ชวีเสี่ยวปอยังไม่ทันได้ตอบออกไป เวินลี่ก็ทนไม่ได้เอ่ยขึ้นมาก่อนแล้ว “เสียวจิ่งจะมีแฟนหรือไม่มีแฟน ลูกจะไปรู้ได้ยังไงคะ? ”
ชวีอี้เจี๋ยไม่ได้พูดต่อ แต่กลับมองชวีเสี่ยวปอด้วยสายตาที่แฝงไปด้วยความหมายอะไรสักอย่าง
คงจะเป็เพราะพนักงานที่อยู่ในสนามบาสเกตบอลวันนั้นเมาส์กันให้แซด จนไปเข้าหูของชวีอี้เจี๋ยเข้า
แต่ชวีเสี่ยวปอกลับไม่ได้อยากพูดถึงมัน
เขาไม่ได้จะช่วยชวีจิ่งปิดบังอะไร ก็แค่มีแฟนเองไม่ใช่หรือไง? ก่อนหน้านี้ชวีอี้เจี๋ยอาจจะถามชวีจิ่งมาแล้ว แต่ไม่ได้คำตอบเลยหวังที่จะมาล้วงเอาคำตอบจากเขาแทน
เหตุผลที่ชวีเสี่ยวปอไม่อยากพูดคือ เขาไม่อยากหักหลังชวีจิ่ง
ถ้าพูดให้ถูกก็คือ เขาไม่อยาก “หักหลัง” ใครเลยสักคน ต่อให้เป็ชวีจิ่งเขาก็ไม่อยากทำ อีกอย่างถ้าชวีเสี่ยวปอรู้สึกเห็นแก่ตัวขึ้นมาเพียงนิด เขาไม่รู้เลยว่าเื่นี้ชวีจิ่งจะรู้เข้าหรือเปล่า ถ้าหากชวีจิ่งรู้เข้า เื่เดือดร้อนคงจะไม่ได้เกิดกับเขาแค่คนเดียว แต่ยังรวมถึงเวินลี่ด้วย
“ผมไม่รู้ครับ” ชวีเสี่ยวปอเขี่ยข้าวในชามไปมา จากซ้ายไปขวา จากขวามาซ้าย คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพูดออกไปว่า : “เราสองคนพอเจอหน้ากันก็ทะเลาะกันเลย แล้วผมจะไปรู้เื่ของเขาได้ยังไงครับ แล้วอีกอย่างเื่ที่เขามีแฟนเขาจะบอกใครยังไงแต่ก็คงจะไม่บอกผมหรอกครับ? ทำไมถึงได้เอาเื่แบบนี้ถามผม? แปลกจริงๆ ”
“ไม่รู้ก็ช่างมันเถอะ” ชวีอี้เจี๋ยผงะไป น่าจะคิดไม่ถึงว่าชวีเสี่ยวปอจะย้อนถามเขากลับ สุดท้ายจึงพยักหน้าอย่างไม่ค่อยเป็ตัวเองสักเท่าไหร่ “ถึงยังไงพวกลูกอยู่วัยเดียวกันก็คงจะคุยกันไม่ใช่เหรอ”
ชวีเสี่ยวปอหัวเราะกับตัวเองขึ้นมาในใจ แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรขึ้นมาอีก
หลังจากทานข้าวเสร็จชวีอี้เจี๋ยก็ขึ้นไปนอนกลางวัน้า ชวีเสี่ยวปอก็กำลังจะขึ้นไปงีบสักพักเหมือนกัน แต่เมื่อกลับเข้ามาในห้องยังไม่ทันที่จะได้นั่งลงไปบนเตียง เวินลี่ก็ผลักประตูเดินเข้ามาซะก่อน
“มีอะไรเหรอครับ? ” ชวีเสี่ยวปอมองท่าทางอ้ำๆ อึ้งๆ ของแม่เขา
“อืม” เวินลี่หันหลังไปปิดประตู ท่าทางดูลับๆ ล่อๆ
“พูดมาเถอะครับ ไม่มีใครได้ยินหรอก” ชวีเสี่ยวปอทนไม่ได้จึงเอ่ยขึ้นมา เขาเดาออกเป็ที่เรียบร้อยแล้วว่าแม่ของเขาจะถามอะไร
“ชวีจิ่งมีแฟนแล้ว? ” เวินลี่เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา พร้อมทั้งยกมือขึ้นมาเท้าเอว
“น่าจะใช่มั้งครับ” ชวีเสี่ยวปอถอนหายใจออกมา “วันนั้นตอนที่อยู่ในสนามบาสผมไปเห็นเข้า เขาพาผู้หญิงมาด้วย สวยอยู่เหมือนกันนะครับ”
“แม่ไม่ได้ถามถึงเื่นี้” เวินลี่เบิกตากว้าง “เมื่อกี้ลูกโกหก? ทำไมถึงไม่บอกพ่อของลูกไปล่ะ? ”
“บอกเขาทำไมครับ? ” ชวีเสี่ยวปอเบิกตากว้างขึ้นมาเช่นกัน “ถ้าเขากลับไปถามชวีจิ่ง แล้วชวีจิ่งรู้ว่าผมเป็คนบอก แม่ลองเดาดูสิครับว่าจะเกิดอะไรขึ้น? ”
“...” เวินลี่พยักหน้า แล้วนั่งลงข้างๆ ชวีเสี่ยวปอพลางพูดบ่นออกมา “นั่นมันก็จริง พ่อของลูกจะเอาเื่นี้มาถามลูกทำไมกัน? ชวีจิ่งเด็กคนนี้ก่อเื่เก่งจริงๆ ไปมีแฟนได้ยังไง”
“มีแฟนแล้วมันทำไมครับ? ” ชวีเสี่ยวปอล้มตัวนอนพร้อมทั้งพูดโพล่งออกมาอย่างไม่ทันได้คิด
“ลูกว่าไงนะ? ” เวินลี่ตีไปบนต้นขาของเขาอย่างแรงหนึ่งที “ลูกพูดว่าทำไมงั้นเหรอ? ลูกคงจะไม่ได้...”
“พอๆ พอเลยครับ” ชวีเสี่ยวปอรีบพูดแทรก “ผมว่าพ่อน่าจะลองถามดูเฉยๆ แม่คิดมากเกินไปแล้วครับ”
“ไอ้ลูกคนนี้ ลูกห้ามทำเื่พวกนี้เด็ดขาด !” เวินลี่ตีเพิ่มไปอีกสองครั้ง จากนั้นจึงลุกขึ้นแล้วเดินออกไป แต่ท้ายที่สุดตอนเดินไปถึงหน้าประตูก็หันหลังกลับมาอีกครั้ง “จริงสิ ลูกใส่เสื้อของใครน่ะ เมื่อกี้จะถามอยู่พอดี แล้วเสื้อของลูกล่ะ? ”
“ของเพื่อนครับ” จู่ๆ ชวีเสี่ยวปอก็หัวใจเต้นแรงขึ้นมาเป็สองเท่า แล้วจึงอธิบายออกไปอย่างลุกลี้ลุกลนว่า “เมื่อวานตอนดื่มเหล้าทำเสื้อเลอะ ก็เลยเปลี่ยนน่ะครับ”
“ทำให้แม่เป็ห่วงจริงๆ เลย” เวินลี่ถอนหายใจออกมา และเดินออกไปในที่สุด
ชวีเสี่ยวปอนอนลงบนเตียง ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกคันยิบๆ ในหัวใจขึ้นมา
เขาเริ่มจะอิจฉาชวีจิ่งขึ้นมาแล้ว
ถึงแม้ว่าในตอนที่ความคิดเช่นนี้ปรากฏขึ้นมาให้หัว เขาเองจะรู้สึกคาดไม่ถึงอยู่มาก แต่ในความจริงแล้วขณะที่ชวีอี้เจี๋ยถามคำถามนี้กับเขา เขาก็รู้สึกเหมือนว่าความอิจฉาได้ปะทะเข้ามาในหัวของเขา ทั้งยังรู้สึกหงุดหงิดเอามากๆ
ชวีอี้เจี๋ยไม่เคยใส่ใจเป็ห่วงเขาแบบนี้เลยแม้แต่ครั้งเดียว