ถนนหลีฮวาแสนจะกว้างขวาง สองข้างทางเต็มไปด้วยดอกสาลี่ที่กำลังโรยรา
ต้นสาลี่ที่นี่ไม่เคยออกผล
ต้นสาลี่ที่เรียงรายอยู่ข้างทางเพียงแต่ผลิดอก ทว่าไม่ออกผล
ยามถึงฤดูใบไม้ผลิ ดอกสาลี่ก็พากันเบ่งบาน ทำให้ถนนเส้นนี้งดงามเกินบรรยาย
ดูราวกับหิมะที่กำลังโปรยปราย
สีขาวบริสุทธิ์ของมันส่งกลิ่นหอม
ที่แห่งนี้เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความรุ่งเรืองของเมืองหลวง
บ้านเรือนบนถนนหลีฮวาล้วนแต่หลังใหญ่โต แน่นอนว่าเรือนเหล่านี้ไม่ได้มาปลูกกันที่นี่เพราะดอกสาลี่งดงาม แต่เป็เพราะถนนเส้นนี้อยู่ไม่ไกลจากวังหลวง
แม้ว่าจะอยู่ห่างกับกำแพงด้านหลังของวังไม่ไกล แต่ก็นับว่าไม่เลว
เหล่าขุนนางที่จะต้องเข้าประชุมเช้าเมื่อลองคิดว่าทุกวันจะต้องตื่นเช้ามาแต่งองค์ทรงเครื่องเพื่อไปเข้าประชุม หากว่าพวกเขาอาศัยอยู่ไกล เื่การเดินทางไกลก็เื่หนึ่ง แต่เมื่อมาถึงสถานที่ เครื่องประทินโฉมที่แต่งแต้มไว้ก็คงจะเลือนหายหมดแล้ว
ยิ่งหากว่าต้องรีบเดินทางก็อาจจะเกิดเื่ได้
ไหนยังจะมีเื่การเดินทางติดขัดอีก หากว่าเกิดเจออะไรขวางทางเข้าจนไปสาย เช่นนั้นก็ต้องแย่แน่
ทว่าหากอาศัยอยู่ด้านหน้าวังหลวงเช่นนี้ย่อมไม่มีปัญหา
ยิ่งตำแหน่งสูงเท่าใด การจัดสรรพื้นที่ก็จะยิ่งได้อยู่ใกล้วังหลวงมากเท่านั้น
ยามที่เข้าร่วมยามเช้าก็สามารถกล่าวขึ้นอย่างถ่อมตนได้ว่าคนผู้นั้นเดินเท้ามาเข้าประชุม
ถนนหลีฮวาอยู่ไม่ไกลจากวังหลวงนัก เดินเท้าเพียงไม่นานก็ถึงแล้ว
ดังนั้นคนที่อาศัยอยู่บนถนนเส้นนี้เป็คนประเภทใด ก็ไม่จำเป็ต้องถามให้มากความ โดยรวมก็พอจะรู้กันอยู่แล้ว
บนถนนเส้นนี้อยู่ดีๆ ก็มีจวนหลัวสองหลัง
เหล่าคนที่รอชมความสนุก ยามนี้จึงมีความสนุกมาให้ร่วมรับชมแล้ว
ทว่ากลับเห็นว่าเ้าของจวนตระกูลหลัว หลัวไป่ซิ่นถึงขั้นจูงภรรยาหลิวจื่อไปเยี่ยมเยียนจวนตระกูลหลัวแห่งใหม่ด้วยตัวเอง
จวนหลัวแห่งใหม่นี้ผู้คนก็พอจะได้ข่าวคราวกันมาบ้างว่า พวกเขามาจากทุ่งหญ้ารกร้างห่างไกล ยามนี้เ้าของคือผู้เป็เ้าของโรงทอผ้า
ทุ่งหญ้ารกร้างห่างไกลเพิ่งจะผ่านาใหญ่มา ราคาของผ้าทอขนสัตว์เ่าั้จึงพุ่งขึ้นสูงอย่างบ้าคลั่ง
เพราะก่อนที่ทหารแคว้นจิงจะโจมตีทุ่งหญ้าห่างไกล ผ้าทอขนสัตว์เป็ที่โปรดปรานขององค์หญิง ทั้งเหล่าบัณฑิตก็นิยมกันไม่น้อย หากมีเงินล้วนแต่ยอมลงทุนตัดชุดจากผ้าขนสัตว์สักชุด เช่นนั้นราคาของผ้าทอขนสัตว์จึงค่อยๆ พุ่งทะยานขึ้นเรื่อยๆ
ผลลัพธ์คือยามที่เกิดา เหล่าผู้คนบนทุ่งหญ้าล้วนแต่วุ่นวายในการทำา ใครจะมีเวลาไปทอผ้า ดังนั้นผ้าทอจึงมีไม่พอต่อความ้า ครานี้ราคาจึงยิ่งกว่าพุ่งทะยานขึ้นสรวง์
เหล่าราชวงศ์และตระกูลผู้ดีไม่อาจขึ้นปีใหม่ทั้งที่ยังใส่ชุดของปีที่แล้วได้ ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ต้องใส่ชุดใหม่ให้ได้
ผ้าทอขนสัตว์มีจำนวนน้อย แต่ความ้ากลับสูงเหลือเกิน ผู้ที่สามารถหามาได้ก็ล้วนแต่ต้องอาศัยความสามารถของตัวเอง
มีอยู่่หนึ่งที่ราคาของผ้าทอขนสัตว์ผืนเล็กๆ มีค่าเท่ากับราคาเสื้อผ้าของครอบครัวชาวนาตลอดปี
ยามนี้ที่เ้าของโรงทอผ้าสามารถมาซื้อบ้านบนถนนหลีฮวาเช่นนี้จึงไม่นับว่าเป็เื่ผิดปกติอะไร
เพียงแต่หากมีแค่เงิน ทว่าไม่มีเื้ัอะไรแล้วมาปักหลักอยู่ในเมืองหลวงเช่นนี้นับว่าไม่ง่ายดายนัก ช้าเร็วย่อมต้องเกิดเื่เป็แน่
ได้ยินมาว่าเ้าของเรือนเป็เพียงแค่สตรีนางหนึ่ง ทว่าสตรีนางนี้ก็ยังไม่มีใครทราบว่าเื้ัของนางคือใคร
ในระหว่างที่ทุกคนกำลังเดาไปต่างๆ นานา ก็เห็นว่าใต้เท้าหลัวถึงขั้นจูงมือฮูหยินของตนมาเยี่ยมเยียนเรือนหลังนี้ด้วยตนเอง
ต้องรู้ก่อนว่าตระกูลหลัวเคยมี่เวลาที่รุ่งโรจน์อยู่พักหนึ่ง ด้วยพระสนมหรงได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้
เพียงแต่บัดนี้พระสนมหรงได้สูญเสียความโปรดปรานไปแล้ว ตระกูลหลัวจึงจำเป็ต้องปรับตัว
เมื่อหลัวไป่ซิ่นรู้ว่าลูกสาวกลับมาแล้ว ก็ไม่มัวรอส่งเทียบเชิญอะไรอีก รีบเดินทางมาทันที
กระทั่งท่านผู้าุโยังไม่เอ่ยปากห้าม ก็เท่ากับยอมรับโดยดุษณี
หลิวจื่อก็เป็สตรีที่ดีคนหนึ่ง แม้นางจะไม่ใช่มารดาแท้ๆ ถึงอย่างไรก็ยังเป็น้าแท้ๆ แน่นอนว่าจะต้องติดตามมาด้วย ทั้งยังเตรียมว่าเมื่อถึงเวลานั้นก็จะร้องไห้คร่ำครวญกับบุตรสาวอันเป็ที่รักสักคราหนึ่ง ยามนี้กระทั่งขิงแผ่นนางก็เตรียมมาเรียบร้อยแล้ว เผื่อว่าหากนางร้องไห้ไม่ออกก็จะได้หยิบมันมาช่วย
ด้วยเพราะเพิ่งจะมาถึงเมืองหลวง นายท่านสามจึงยุ่งวุ่นวายเหลือเกิน
อาลู่ก็เร่งสร้างหน่วยลาดตระเวนหน่วยใหม่อยู่ เสี่ยวอู่จึงต้องติดสอยห้อยตามไปช่วยเหลืออาลู่
อาสวินหมกตัวอยู่แต่ในห้องหนังสือ บนเส้นทางนี้พบเื่มากมายเหลือเกิน เขาจึงอยากศึกษาเรียบเรียงสักหน่อย
นายท่านสามวุ่นวายกับเื่การค้าอยู่ อู๋เลี่ยงไม่สะดวกจะออกหน้า ดังนั้นเื่ที่พวกเขาหารือกันจึงล้วนแต่ให้นายท่านสามเป็คนลงมือ
เฉินโย่วถูกลงโทษให้คัดตำราอยู่ เ้าเด็กอ้วนจึงนั่งคัดเป็เพื่อน
โดยมีราชครูคอยควบคุมดูแลอยู่
ยามนี้ทั้งจวนจึงสงบเงียบอย่างยิ่ง
แม้ว่าขันทีชราจะจัดการเื่ราวยามอยู่เจียงหูได้ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก แต่ความสามารถในการจัดการดูแลเรือนนับว่าเป็เลิศ ด้วยเพราะก่อนหน้านี้ก็เป็เขาที่คอยจัดการเื่ราวในราชวงศ์แคว้นซี
หลัวอู๋เลี่ยงนับว่าเป็สตรีใจกล้านางหนึ่ง
ครั้งแรกที่เจอท่านราชครูก็ไม่ลังเลที่จะให้ชายชรามาเป็ท่านอาจารย์บนูเาทันที
ยามนี้ได้เจอกับบ่าวรับใช้ชรา นางก็เอ่ยชวนให้เขามาเป็พ่อบ้านคอยดูแลเรือนหลังนี้พอดี
หลัวไป่ซิ่นที่กำลังจูงภรรยาเดินทางไปเยี่ยมเยียน ในใจสุมไปด้วยความร้อนใจ
ทว่ายามที่เดินมาถึงประตูแล้วเห็นคำว่า ‘จวนหลัว’ สองตัวอักษรนี้ ในใจก็พลันรู้สึกไม่สบายเท่าใดนัก
โดยเฉพาะยามที่กำลังเดินอยู่แล้วได้ยินหลิวจื่อถามขึ้นอย่างร้อนรนว่า “ชิงเฉิงกลับมาแล้วก็ยังไม่ยอมมาหาพวกเรา หรือว่านางจะยังแค้นเคืองพวกเราอยู่ ข้าแค่กลัวว่า…”
หลัวไป่ซิ่นเชื่อว่าบุตรสาวของเขาไม่ใช่คนเช่นนั้น ทว่ายามที่เขามาเห็นตัวอักษรป้าจวนที่เขียนว่า ‘จวนหลัว’ อย่างโอ่อ่าเช่นนี้ เขาก็ชักไม่แน่ใจแล้ว
ยังดีที่เมื่อพวกเขามาถึงแล้วก็ไม่มีใครปฏิเสธไม่ให้เข้าไป
ก็ย่อมแน่นอนว่าหากไม่ใช่คู่อาฆาต ก็ย่อมไม่มีใครกล้าปฏิเสธคนที่มาเยี่ยมเยียน
เมื่อมาถึงบ่าวรับใช้ก็นำทางหลัวไป่ซิ่น และหลิวจื่อเข้าไปในเรือนหลังใหม่แห่งนี้
หลิวจื่อเดิมทีคิดว่าภายในเรือนหลังนี้คงจะวุ่นวายเละเทะอย่างพวกเศรษฐีใหม่ ทว่าความจริงแล้วกลับไม่เป็เช่นนั้น ด้านในช่างเป็ระเบียบเรียบร้อย ดูอย่างไรก็ไม่คล้ายกับเรือนของพ่อค้า
ถึงขั้นกล่าวได้ว่าความเรียบร้อยพอๆ กับจวนหลัวเสียด้วยซ้ำ
บ่าวในเรือนก็ไม่ได้มีท่าทีมุทะลุเลินเล่อ
ในเมื่อที่นี่คือจวนหลังใหม่ ว่ากันแล้วคนที่เพิ่งจะย้ายเข้ามาใหม่ย่อมมีหลายเื่ที่ดูไม่ค่อยจะเหมาะสม
ทว่าตลอดทางที่เดินมา กระทั่งมุมบันไดก็ยังไม่มีหญ้าสักต้นให้เห็น หรือจะเป็รั้วก็ยังไม่มีแม้แต่ฝุ่นผง สะอาดสะอ้านนัก
ราวกับว่าเรือนหลังนี้เป็เรือนของผู้มีอันจะกินจริงๆ
แม้บนใบหน้าของหลิวจื่อจะไม่แสดงอะไร แต่ในใจกลับตื่นในัก นางหญิงชั่วนี่พบเจออะไรมา แค่แม่ค้านางหนึ่งไฉนจึงสร้างจวนเช่นนี้ได้
เมื่อเทียบกันแล้ว หลัวไป่ซิ่นนับว่าเลินเล่อกว่ามาก ด้วยเพราะเขาอยู่ในอารมณ์ร้อนใจ จึงไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านี้
ทั้งสองถูกเชิญมายังโถงแห่งหนึ่ง จากนั้นจึงมีบ่าวรับใช้ยกของว่างและน้ำชามาให้
โถงแห่งนี้ตกแต่งได้ประณีตยิ่ง
ทั้งสองด้านมีหน้าต่างบานกลมๆ หากมองจากทิวไม้ทางด้านซ้ายก็จะเห็นทิวเขาที่ทอดยาวอยู่ ดูแล้วราวกับกำลังมองภาพในบทกวีภาพหนึ่งอยู่
หากมองไปที่หน้าต่างด้านขวาก็จะเห็นสายน้ำไหลที่ส่งเสียงดังตึงตังๆ ดูแล้วเพลินตานัก
เมื่อมองไปยังประตูใหญ่ก็เห็นว่ามีฉากกันลมขนาดใหญ่ที่มีบทกวีเขียนไว้ บนฉากมีภาพท้องทุ่งหญ้าที่มีแสงเงินยวงอาบไล้ มีูเาหิมะ มีนกกำลังร่อนถลา ดูแล้วยิ่งใหญ่อย่างยิ่ง ทั้งต้นหญ้าในภาพแต่ละต้นก็วาดได้อย่างชัดเจนนัก
หลิวจื่อไม่ได้ชิมขนมที่บ่าวรับใช้ยกมาให้ มิใช่เพราะนางระแวดระวังกลัวคนจะไม่ประสงค์ดี ทว่าเพราะในใจกำลังตื่นใอยู่ เด็กนั่นเพิ่งจะมาถึง กระทั่งพ่อครัวทำขนมก็เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ทั้งขนมเหล่านี้ยังดูไม่เหมือนว่าจะเร่งรีบทำขึ้นมา เกรงว่าคงจะเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว
หลัวไป่ซิ่นเริ่มจะนั่งไม่ติดเก้าอี้ ดังนั้นจึงได้เสียมารยาท ลุกขึ้นมาเดินแกร่วอยู่หน้าฉากกันลม
เขามองภาพทุ่งหญ้าสุดลูกหูลูกตาบนฉากกันลม คิดย้อนกลับไปยามที่ตนออกไปรับตำแหน่งต่างเมืองอยู่ระยะหนึ่ง ทว่าครานั้นกลับทำให้เขาต้องเสียบุตรสาวไป จึงได้รีบระหกระเหินกลับมาเมืองหลวง
ความรู้สึกระหว่างเขาและทุ่งหญ้าจึงย่ำแย่นัก มันหนาวเหน็บ สับสน ทั้งคนที่นั่นก็ยังไร้การศึกษา
ชาตินี้เพียงแค่คิดเขายังไม่คิดจะกลับไปยังทุ่งหญ้าแห่งนั้นอีก
ไม่คาดคิดว่าเขาจะได้มาเห็นภาพวาดทุ่งหญ้าที่แสนกว้างใหญ่อยู่ตรงหน้าเช่นนี้ เขารังเกียจทุ่งหญ้า ทว่าเขาก็เป็คนที่มีทั้งชื่อเสียงและความสามารถคนหนึ่ง สุนทรียภาพในการชื่นชมสิ่งต่างๆ ก็ยังนับว่ามีอยู่
ภาพวาดบรรยากาศทุ่งหญ้าภาพนี้ช่างดูอบอุ่นนัก
ดวงอาทิตย์สีส้มราวกับแผ่รังสีความอบอุ่นออกมา ต้นหญ้าต้นน้อยก็ทำให้ดูแล้วอุ่นใจ กระทั่งท้องฟ้าสีครามก็พลอยอบอุ่นไปด้วย หรือจะเป็ฝูงนกที่บินถลาอยู่ก็ดูแล้วอ่อนนุ่มไม่เบา
ฉากกันลมที่แสนวิจิตรนี้ คนที่วาดมันขึ้นมาย่อมจะต้องเป็คนที่อบอุ่นคนหนึ่งเป็แน่
หลัวไป่ซิ่นที่กำลังตั้งอกตั้งใจอยู่นั้น ทันใดก็เห็นว่าหลังภาพทุ่งหญ้ามีคนกำลังเดินออกมา
หลัวอู๋เลี่ยงเดินออกมาจากหลังฉากกันลม
วันนี้นางตั้งใจแต่งกายให้ดูหรูหราเป็พิเศษ
ยามนางไม่แต่งกาย ก็งามเสียจนทำให้ผู้คนเหม่อลอย
ยามที่ตั้งใจแต่งกายขึ้นมา ก็ยิ่งทำให้นางงดงามเสียจนคนมองแทบจะหยุดหายใจ
แม้สตรีตรงหน้าจะเป็บุตรสาวของตน แต่หลัวไป่ซิ่นก็อดจะตกตะลึงไม่ได้เช่นกัน
เขาวาดรูปนางจากความทรงจำของเขาให้งดงามหาใครเปรียบ
ทว่าหญิงสาวตรงหน้ากลับงามเสียยิ่งกว่าภาพวาดของเขาไม่รู้กี่เท่า
นางยังคงยืนอยู่ตรงนั้นพร้อมรอยยิ้มจางๆ ก่อนจะคารวะลงอย่างแช่มช้อย
หลัวไป่ซิ่นพลันถอยหลังไปหลายก้าว ในใจไม่อยากจะเชื่อภาพที่เห็นตรงหน้า “ชิงเฉิงหรือ”
แม่นางหลัวส่ายหน้าเบาๆ “ใต้เท้าหลัวเกรงว่าจะจำผิดคนแล้ว ข้าคือหลัวอู๋เลี่ยง”
