หลังจากสมองผุดความคิดเสียสติเช่นนี้ขึ้น หนิงโม่ถึงกับตะลึง
นี่มันไร้เหตุผลนัก
ในเมืองหลวง สตรีสูงส่งมากมายต่อแถวอยากแต่งงานกับเขา เหตุใดในสถานที่กันดารอันไกลโพ้นเช่นนี้ เขาถึงได้เกิดความคิดอยากแต่งงานกับหญิงสาวตรงหน้า?
อยากเห็นรอยยิ้มของนาง อยากอยู่กับนางตามลำพัง กระทั่งเมื่อรู้ว่านางมีเื่กังวลใจ เขาก็รีบคิดหาวิธีช่วยแก้ปัญหา
นี่คือความรักหรือ?
“หนิงโม่? เ้าเสียสติไปแล้วหรือ? อะไรกัน เ้าคงไม่ได้คิดไม่ซื่อกับข้าจริงๆ หรอกนะ? แม้ว่าเ้าจะหน้าตาใช้ได้ รูปร่างตอนนี้ก็ถือว่าเยี่ยม แต่เราสองคนตอนนี้คือญาติกัน เ้าอย่าได้มีความคิดอื่นใดกับข้าเชียวนะ”
คำพูดหลงตัวเองของใครบางคนดึงสติของเขากลับมา
“เสิ่นม่านเหนียง เ้าช่วยเก็บความคิดเพ้อเจ้อของตนสักทีได้ไหม? คนเดินไปเดินมา เ้าไม่กลัวใครเข้าใจผิดหรือ?”
หนิงโม่เบนหน้าหนี กลัวว่าอีกฝ่ายจะอ่านความคิดเล็กๆ ในใจของเขาออก จากนั้นฝังหน้ากับถ้วยข้าว
เสิ่นม่านทำหน้าไม่แยแส “กลัวอะไร? ที่นี่ไม่มีใครรู้จักเรา ให้ข้าทำตัวรุ่มร่ามสักหน่อยไม่ได้เชียวหรือ?”
ดังคำกล่าวที่ว่า ‘กลัวสิ่งใดได้สิ่งนั้น’ พอสิ้นเสียงของนาง ข้างกายก็มีคนส่งเสียงเรียกปนใเล็กน้อย
“อาจารย์หนิง?”
รอยยิ้มเริงร่าของเสิ่นม่านแข็งทื่อทันใด พอหันกลับไป ก็พบชายหนุ่มในชุดดำกำลังเข้ามาจากประตู
บังเอิญยิ่งนัก นี่มันคนคุ้นเคย! โจวฉี่เซียน!
ไฉนจึงมาที่ตำบลข้างๆ ได้?
เสิ่นม่านมองเขาด้วยความมึนงง คนผู้นั้นเผยรอยยิ้มบางเบาดั่งเมฆาที่เคลื่อนคล้อยไปกับสายลม
“แม่ครัวน้อยก็อยู่หรือ”
เสิ่นม่าน “ขอบใจ ข้าแซ่เสิ่น”
โจวฉี่เซียนยิ้มระรื่น จากนั้นนั่งลงข้างทั้งสองอย่างไม่เกรงใจ ทั้งยังให้เสี่ยวเอ้อร์นำตะเกียบกับถ้วยมาให้อย่างเป็กันเอง
“หลายวันมานี้ได้ยินว่าเถ้าแก่หวังในตำบลผูกขาดการซื้อขายถั่วเหลือง เห็นทีจะเป็เื่จริงกระมัง? มิเช่นนั้นเ้าจะปรากฏตัวอยู่ตำบลข้างๆ ได้อย่างไร?”
เสิ่นม่านรู้สึกว่า คนผู้นี้มีความแปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก เหตุใดถึงปรากฏตัวทุกที่?
นางดื่มน้ำและเอ่ยถาม “อาจารย์โจวมาทำอะไรที่ตำบลเหมยฮัวหรือ?”
“ได้ยินว่ามีผู้ลี้ภัยมาทางนี้ ข้าจึงมาดู บังเอิญพบกับพวกเ้า พอดีเลย อีกเดี๋ยวข้าขอนั่งเกวียนของพวกเ้ากลับไปด้วย”
เสิ่นม่านถึงกับหมดคำจะเอ่ย เห็นทีคงอยากมาอาศัยเกวียนสินะ?
แต่อย่างน้อยก็ได้โฉนดที่ดินจากอีกฝ่าย การจะให้อาศัยเกวียนก็ไม่ได้มากเกินไป เสิ่นม่านจึงไม่ได้พูดอะไร
อาหารมาแล้ว โจวฉี่เซียนชิมอาหารบนโต๊ะ หลังจากกินไปหนึ่งถ้วย เขาลูบท้องพลางวิจารณ์
“อืม ไฟยังแรงไม่พอ เทียบกับเต้าฮวยที่เ้าทำแล้ว มิอาจเทียบได้”
เสิ่นม่านเชิดคาง นี่เท่ากับพูดไร้สาระไม่ใช่หรือ?
โจวฉี่เซียนกล่าวอีก “จะว่าไป แม่ครัวน้อย ข้าเองก็อยากไปลองชิมอาหารบ้านเ้า เอาเป็คืนนี้ดีหรือไม่?”
เสิ่นม่าน “…”
นางทาบมือข้างหนึ่งตรงริมฝีปากและแสร้งกระแอม “ท่านเรียกข้าว่า หญิงงาม แล้วข้าจะพิจารณาดู”
โจวฉี่เซียนนิ่งเงียบไปสองวินาทีและลุกขึ้น จากนั้นสำรวจมองนางอยู่หลายหน แล้วหรี่ตาก่อนจะถาม “เ้าไปเอาความมั่นใจมาจากไหน?”
เสิ่นม่าน: มารดาสิ ภายในสามวันข้าจะฆาตกรรมเ้า ไม่ให้เหลือแม้แต่เถ้ากระดูก
แม้ว่าจะเกิดเื่ที่ทำให้ไม่สุขใจนัก แต่ท้ายที่สุดทั้งสามก็นั่งเกวียนคันเดียวกันเพื่อกลับหมู่บ้าน
ระหว่างทางเจอกับผู้ลี้ภัยไม่น้อย บนห่อผ้าบนหลังของโจวฉี่เซียนพอมีอาหารแห้งอยู่บ้าง จึงแจกจ่ายไประหว่างทาง
ดีที่ผู้ลี้ภัยไม่ได้เกิดความคิดวู่วามและปล้นพวกเขา นับว่าสามารถเอาตัวรอดกลับมาอย่างปลอดภัยได้ ภายใต้การส่งสัญญาณลับๆ อย่างบ้าคลั่งของโจวฉี่เซียน เสิ่นม่านจึงเข้าครัวและทำอาหารเลิศรสเต็มโต๊ะ
มีซี่โครงเปรี้ยวหวาน ปลากระรอกทอดราดซอสเปรี้ยวหวาน หมูน้ำแดง ไก่เหลืองอบสมุนไพร แล้วก็กุ้งฤดูหนาวที่เด็กๆ ไปเล่นไถน้ำแข็งข้างแม่น้ำและจับกลับมา เสิ่นม่านนำกุ้งมาทำเป็กุ้งผัดพริกหอม ทำเอาทุกคนตื่นเต้นตระการตาและมีความสุข
พอกินเรียบร้อย โจวฉี่เซียนก็เอนตัวพิงเก้าอี้อย่างพึงพอใจและเรอออกมาอย่างไม่กั๊กไว้ จากนั้นด้วยสุราที่กำลังออกฤทธิ์ เขาเรียกเด็กทั้งสามคนมาทดสอบความรู้
เสี่ยวตงที่มีมาดของพี่ชายคนโตมาโดยตลอดยอมรับการทดสอบอย่างสุขุมเป็คนแรก เขาตอบคำถามของอาจารย์อย่างไม่รีบร้อน แล้วยังแฝงด้วยความคิดเห็นส่วนตัวของตนเล็กน้อย
โจวฉี่เซียนเผยสีหน้าประหลาดใจและถามเขา “เช่นนั้นเ้าบอกข้าหน่อยว่า เหตุใดเ้าจึงเล่าเรียน? หากได้เป็ขุนนาง เ้าจะทำอย่างไร?”
เสี่ยวตงนิ่งเงียบครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นตอบอย่างฉะฉาน “ท่านอาบอกว่า การเรียนเพื่อก้าวออกจากประตูแห่งชาวนา ไม่ต้องเหนื่อยยากเช่นตอนนี้ ต่อไปหากข้าได้เป็ขุนนาง จะต้องเป็ขุนนางดีที่จงรักภักดีต่อผืนแผ่นดิน รักษารากฐานของราชสำนัก ปกป้องครอบครัวให้สงบสุข คุ้มครองไพร่ฟ้าให้อยู่เย็นเป็สุข นี่คือความฝันของข้า”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา โจวฉี่เซียนเผยสีหน้าชื่นชม ด้วยความคึกจากสุรา เขาเอ่ยถามต้าเป่าอีก “เ้าล่ะ หนุ่มน้อย? เ้าเรียนเพราะอะไร?”
ต้าเป่าอายุยังไม่ถึงห้าขวบ เขาคิดด้วยท่าทีจริงจังและเอ่ย
“ข้าไม่ได้มีความคิดยิ่งใหญ่เช่นพี่เสี่ยวตง ท่านแม่บอกว่าให้ข้าเล่าเรียนให้มาก ข้าจึงเล่าเรียนให้มาก ต่อไปจะได้ช่วยท่านแม่ดูแลบัญชี ตอนนี้ข้ายังเด็ก สิ่งที่ทำได้มีเพียงการเรียน หากวันใดสามารถเป็ขุนนาง ก็จะปกป้องท่านแม่ไม่ให้นางถูกผู้อื่นรังแก”
เด็กสกุลเสิ่นแต่ละคน ต่างก็ปกป้องผู้หญิงคนนี้ โจวฉี่เซียนรู้สึกว่าน่าสนใจ จากนั้นเลื่อนสายตาไปที่เสี่ยวหลานที่ยืนอยู่ท้ายสุด เขายิ้มตาพริ้มและถาม
“เ้าล่ะ? เหตุใดจึงอยากเรียน?”
เสี่ยวหลานยังคงมีท่าทางขัดเขิน ใบหน้าเล็กแดงระเรื่อ แต่ก็ยืดอกหลังตรงและตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“อยากเรียนก็เพราะอยากเรียน ไยต้องมีเหตุผลด้วย?”
“เอ๋?” โจวฉี่เซียนเลิกคิ้ว “น่าสนใจดีนี่ เพียงแต่เ้าเคยได้ยินคำกล่าวโบราณหรือไม่ว่า สตรีไร้ความรู้นับว่าสง่างาม?”
เสี่ยวหลานถามกลับอย่างไม่หวาดกลัว “เหตุใดสตรีไร้ความรู้ถึงนับว่าสง่างาม? หรือเพราะบุรุษกลัวว่าความสามารถของพวกข้าจะเหนือกว่า?”
คำพูดนี้ทำให้โจวฉี่เซียนตะลึงไป ฉับพลันนั้นก็หัวเราะลั่น “ดี! ดูไม่ออกจริงๆ ว่าแม่ครัวน้อยอย่างเ้าจะเลี้ยงดูเด็กทั้งสามให้โดดเด่นได้เช่นนี้!”
เสิ่นม่านเผยรอยยิ้มของผู้เป็มารดา เด็กน้อยทั้งสามของนาง แม้จะเห็นเป็เด็กน้อย อันที่จริงเป็เด็กรู้ความ พอได้เห็นเช่นนี้ ไม่เสียแรงที่นางบ่มเพาะความคิดของพวกเขาอย่างใส่ใจ
เมื่อสุรากำลังออกฤทธิ์ โจวฉี่เซียนตบโต๊ะและลุกขึ้น
“เอาอย่างนี้ คืนนี้พวกเ้าคำนับข้าเป็อาจารย์ รอเปิดเรียนฤดูใบไม้ผลิ พวกเ้าไม่ต้องนำค่าเล่าเรียนมา ให้มาเรียนที่สำนึกศึกษาของข้า เป็เช่นไร?”
เด็กน้อยทั้งสาม “!”
เสี่ยวตงมองไปทางเสิ่นม่าน แววตาเผยความงุนงง ราวกับกำลังคาดเดาว่า คนผู้นี้ดื่มมากเกินไปจนพูดจาไร้สาระหรือไม่?
เสิ่นม่านเองก็มองไปทางหนิงโม่อย่างสับสน จากนั้นส่งสายตาให้เขา
เสิ่นม่าน: เป็อย่างไร? คนผู้นี้พึ่งพาได้หรือไม่?
หนิงโม่พยักหน้าเบาๆ: เชื่อถือได้
เสิ่นม่าน: เช่นนั้นก็เยี่ยมยอด
เสิ่นม่านดึงเด็กทั้งสามมาและยืนเรียงกันตรงหน้าโจวฉี่เซียน
“มา! เด็กๆ คำนับอาจารย์เร็ว!” มิฉะนั้น รอเขาสร่างเมาต้องเปลี่ยนใจแน่!
ทว่าเด็กๆ ยังไม่ทันได้คำนับอาจารย์ โจวฉี่เซียนก็เอ่ยคำพูดเสริม
“เดี๋ยวก่อน ข้ายังมีเงื่อนไขอีกหนึ่งข้อ”
จึ๊ รู้อยู่แล้วเชียวว่าโลกนี้ไม่มีสิ่งใดได้มาโดยเปล่า!
-----
