“...อุ๊บ...อุ๊บอึก....”
ท่ามกลางค่ำคืนอันเงียบสงัดไร้สิ่งใดเปรียบ ภายในห้องขังใต้ดินของโบสถ์แห่งหนึ่งมีเสียงลมหายใจเจือความเ็ปดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า
นาฬิกาแขวนภายในโถงประชุมใหญ่ชี้ไปยังเลขสอง ในเวลาเช่นนี้ อัศวินและเหล่าพระสังฆราชล้วนจมสู่ห่วงนิทราอันสุขสงบ ไม่อาจรับรู้ถึงการมีอยู่ของเงาร่างสูงใหญ่ทั้งสองร่างในห้องขังแต่อย่างใด
อ้อ ไม่สิ ถึงแม้จะมีคนเฝ้าอยู่ด้านนอก แต่ก็ไม่อาจรับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นได้ เพราะภายในห้องเก็บเสียงได้ดีเสียจนน่าเหลือเชื่อ จึงไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาจากข้างในได้แม้แต่นิดเดียว
“พวกเราไม่มีทางปล่อยให้เสียงของปีศาจร้ายไปมอมเมาผู้ใดอีกแล้ว” พระสันตะปาปาผู้น่าเกรงขามกล่าวออกมาเช่นนี้
ภายในห้องขัง ร่างสูงที่ท่อนบนเปล่าเปลือยเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อกำลังสั่นเทาไม่หยุด เสียงครวญด้วยความเ็ปดังลอดไรฟันที่ขบแน่น มือทั้งสองข้างถูกกุญแจเหล็กและโซ่เหล็กเส้นหนาตรึงแขวนไว้ด้านข้าง เท้าเปล่าเปลือยทั้งสองก็ถูกโซ่ตรวนตรึงไว้บนพื้นอย่างแ่าไม่ต่างกัน เช่นนี้แม้จะมีร่างกายที่แข็งแรงกำยำ แต่ก็ยังคงไร้หนทางหลุดพ้นจากพันธนาการของเครื่องทรมาน
“จิ๊ เืของเผ่าปีศาจยังคงมีกลิ่นน่าสะอิดสะเอียนเหมือนเดิม”
ผู้ที่อยู่ด้านหลังดมนิ้วมือเปียกชื้นของตนเองก่อนจะเช็ดมันลงบนชุดหรูหราปักดิ้นทอง
“อื้อ อึก อึก อึก...”
ก้อนผ้าสกปรกถูกยัดเข้าไปในปากของบุรุษร่างสูงใหญ่ ชายหนุ่มไม่อาจเอ่ยคำใด ทำได้เพียงเค้นเสียงครวญด้วยความเ็ปอยู่ในลำคอ แสงเทียนมืดสลัวทอแสงคลุมเครือโบกพลิ้วไหวเป็ครั้งคราว อ่อนแสงราวกับสามารถมอดดับลงได้ภายในชั่วเสี้ยววินาที
เหนือหน้าผากของบุรุษร่างสูงใหญ่มีเขาขนาดใหญ่งอกออกมา ดวงตาทั้งสองข้างปิดปรือด้วยความทรมานและความเหนื่อยล้า ดวงตาสีแดงฉานส่องประกายสิ้นหวังระคนไม่ยินยอม ผิวกายสีเข้ม ทั้งร่างกายที่แข็งแรงกำยำ บ่งบอกว่าบุรุษผู้นี้คือ เผ่าปีศาจที่คนทั่วไปต่างหวาดกลัว
ส่วนบุรุษวัยกลางคนที่อยู่ด้านหลังสวมชุดคลุมตัวยาวสีขาวปักขอบสีทอง บนชายแขนเสื้อและคอเสื้อปักด้วยด้ายห้าสีเป็ลวดลายงดงามตระการตา ผ้าคลุมไหล่ปักแถบสีทองพาดอยู่บนบ่า ลายนกพิราบและกิ่งใบสมออันเป็ตัวแทนของสันติภาพและความรักใคร่ฉันมิตรช่วยขับให้ร่างทั้งร่างแลดูศักดิ์สิทธิ์ไร้สิ่งใดเทียบเทียม อีกทั้งเหล่าผู้คนเมื่อได้เห็นเพียงรอยยิ้มอันเป็มิตรของเขาก็ล้วนแล้วแต่พากันเคารพเลื่อมใสเ้าหน้าที่ฝ่ายกิจการของศาสนาโรมันคาทอลิกท่านนี้
ทว่าในยามนี้ใบหน้าของเขาเจือความหยามเหยียดพลางกดสายตาต่ำมองปีศาจเบื้องหน้า บนกายสั่นเทาของปีศาจเต็มไปด้วยร่องรอยของแส้และมีดทั้งเก่าและใหม่ ข้างกายยังมีอุปกรณ์ทารุณรูปร่างประหลาดจัดวางเรียงราย บางชิ้นถึงขั้นยังมีเืสดไหลหยดลงมา
“ไม่ได้กินอะไรมาสิบกว่าวันแล้วสินะ...คิดไม่ถึงว่าปณิธานของเ้าจะแน่วแน่มากถึงเพียงนี้ แต่ถึงอย่างไรพวกเราก็ไม่มีทางยอมปล่อยให้เ้าตายไปทั้งเช่นนี้แน่”
บุรุษวัยกลางคนที่หน้าตาแลดูมีเมตตาอัธยาศัยดีมาแต่ไหนแต่ไร ในยามนี้กลับมีสีหน้าบิดเบี้ยวราวกับิญญาร้ายจากขุมนรก สีหน้าที่้าจะสังหารศัตรูที่เข่นฆ่าญาติมิตร
“าาเผ่าปีศาจผู้น่าเกรงขามกลับต้องมาขวัญหนีดีฝ่อเช่นนี้ เ้ารู้สึกเช่นไรบ้าง?”
เนื้อตัวของาาปีศาจถูกทรมานจนเต็มไปด้วยาแทุกหนแห่ง จิติญญาจวนจะแตกสลาย ภายในหัวเต็มไปด้วยความเ็ปรุนแรงจากทั้งทางกายและเวทมนตร์จนไม่อาจสนใจสิ่งอื่น บุรุษวัยกลางคนมองสภาพอ่อนแอของาาปีศาจแล้วยกยิ้มด้วยความพอใจ
เสียงแส้ชวนหวาดหวั่นดังขึ้นอีกครั้งก่อนฟาดลงบนร่างอ่อนแรงของาาปีศาจจนเกิดเป็ลายดอกโลหิตผลิบาน การทรมานอย่างไร้ปรานีกินเวลายาวนานกว่าสองชั่วโมง าาปีศาจผู้เ็ปทรมานทำได้เพียงส่งเสียงร่ำไห้แ่เบาแทบไม่ได้ยินเพียงเท่านั้น
“เกลียดชังหรือไม่? แต่เวลาที่เหลือให้เ้าได้รู้สึกเกลียดชังกลับมีไม่มากเสียแล้ว”
บุรุษวัยกลางคนสะบัดชายแขนเสื้อ เนื้อตัวาาปีศาจจากที่น้ำตาหลั่งรินเป็สายเืพลันแปรเปลี่ยนเป็สะอาดสะอ้าน รอยแผลน้อยใหญ่ชวนสะพรึงบนกายเลือนหายไปจนสิ้น นอกจากร่างกายที่แลดูอ่อนแรงกว่าเดิม ก็คล้ายกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน
“เหลือเวลาอีกแค่ไม่กี่วัน ข้าก็จะจัดพิธีส่งเ้าไปนรกแล้ว ขังเ้ามาร่วมเดือนกว่า เมื่อคิดว่าภายหน้าจะไม่ได้เห็นเ้าอีก ข้ารู้สึกหักใจไม่ได้อยู่บ้างจริงๆ”
ร่างสูงใหญ่ถูกนำไปตรึงกางเขนอีกครั้ง ดวงตาทั้งสองข้างของาาปีศาจไร้แสง ไม่อาจตอบสนองสิ่งใดได้อีกต่อไป
“เช่นนั้นก็ขอลาตลอดกาล ทาสปีศาจอันเป็ที่รัก”
บุรุษวัยกลางคนหันหลังเดินขึ้นบันได เขาผลักบานประตูสูงใหญ่ออกก่อนจะหันกลับมามองาาปีศาจหนึ่งปราด าาปีศาจที่โดนดูถูกเหยียดหยามบัดนี้สูญสิ้นพละกำลังไปจนหมด ลำคอห้อยตกราวกับไร้ซึ่งลมหายใจ ทั้งยังถูกโซ่ตรวนพันธนาการอย่างแ่า บุรุษวัยกลางคนเผยรอยยิ้มป่าเถื่อน จากนั้นโบกมือดับแสงเทียนพร้อมทั้งปิดบานประตูใหญ่อย่างแ่เบา
ในค่ำคืนอันเงียบสงบ ประชาชนที่ได้รับความคุ้มครองจากสันตะสำนัก [1] กำลังหลับสนิท ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ถึงความชั่วร้ายภายในห้องขังแม้แต่ผู้เดียว
าาปีศาจผู้อ่อนแรงฝืนประคองสติจากความเลือนราง ดวงตาพร่าเลือนที่ฉายแววทรมานระคนสิ้นหวังบังเกิดเศษเสี้ยวพลัง
ในที่สุด คล้ายกับาาปีศาจจะตัดสินใจอะไรบางอย่างได้แล้ว เขากัดฟันไอออกมาเป็เืสีสดหนึ่งคำ ตามด้วยเรียกวงเวทย์ขึ้นเหนือศีรษะ สายวงเวทย์ทั้งเลือนรางและเล็กแคบ แสดงให้เห็นว่าาาปีศาจอ่อนกำลังจนถึงขีดสุดแล้ว
ขณะมองวงเวทย์ที่ไม่มั่นคง าาปีศาจเผยยิ้มขมขื่นออกมา เขาใช้พลังเฮือกสุดท้ายย้ายวงแหวนเวทย์เข้ามาในศีรษะของตน หลังสิ้นแสงสว่างอันโชติ่ ศีรษะของาาปีศาจห้อยตกลงอีกครั้ง ลมหายใจค่อยๆ ขาดห้วงไปพร้อมกับสติสัมปชัญญะอันน้อยนิดนั้นอย่างสิ้นเชิง
......
ณ มณฑลหนึ่งในเมืองแห่งหนึ่ง ภายในตรอกแคบที่ไม่สะดุดตา
“ลูกพี่ได้โปรดปล่อยพวกเราไปเถอะครับ! พวกเรามีตาหามีแววไม่ ครั้งหน้าจะต้องหลบให้ห่างจากท่านแน่นอนครับ!”
บนใบหน้าของชายหนุ่มร่างเทอะทะฉายชัดถึงความหวาดกลัว เขาคุกเข่าอ้อนวอนอยู่บนพื้น รอบกายยังมีคนกลุ่มหนึ่งนอนระเนระนาด บ้างร้องโอดโอยด้วยความเ็ป บ้างสลบไสลไม่ได้สติ นอกจากนั้นยังมีมีดปังตอเงาวับเล่มใหญ่อีกหลายเล่มหล่นอยู่บนพื้น
“ห๋า? ยังจะมีครั้งต่อไป?” บนใบหน้าของชายหนุ่มผมสั้นที่ยังคงหยัดยืนอยู่เพียงผู้เดียวเผยสีหน้า ‘คนกลุ่มนี้ไร้หนทางเยียวยาแล้ว’ จากนั้นหันไปเอ่ยกับเด็กหนุ่มร่างผอมที่ขดตัวด้วยความขลาดกลัวว่า “แจ้งตำรวจแล้วหรือยัง?”
“…อืม อืม!” เด็กหนุ่มที่สติยังไม่อยู่กับเนื้อกับตัวพยักหน้าทันที หลังจากนั้นยังกล่าวขอบคุณก่อนจะวิ่งหนีไปราวกับสายลม
“ดูไม่ออกจริงๆ ว่าพี่จ้านจะมีฝีมือขนาดนี้ เมื่อก่อนไปทำอาชีพอะไรมาเหรอคะ?”
พนักงานบัญชีหญิงที่ยืนอยู่นอกตรอกเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดกับตา เธอคว้าแขนของชายหนุ่มเอาไว้พร้อมทั้งเผยสีหน้าตื่นเต้น
“...เลิกเรียกผมว่า ‘พี่จ้าน’ ได้ไหม ผมหงุดหงิด”
ชายหนุ่มแกะแขนของพนักงานบัญชีหญิงออกด้วยความเหนื่อยหน่าย จะว่าไปเธอคนนี้ก็จิตใจดี แต่ความสนใจใคร่รู้ดูจะมากเกินไปสักหน่อย ไม่ว่าอย่างไรก็จะซักไซ้ให้ถึงที่สุด
“เชอะ เดิมทีฉันก็อายุน้อยกว่า แค่ภายนอกดูเป็ผู้ใหญ่กว่านิดหน่อยเอง”
จะแค่ดูเป็ผู้ใหญ่กว่านิดหน่อยได้ยังไงกัน... ถ้าไม่บอกว่าเพิ่งจบปริญญาโทก็คงนึกว่าอายุสี่สิบไปแล้วด้วยซ้ำ พอถูกเรียกว่า ‘พี่’ คนอื่นจะไม่คิดว่าผมอายุห้าสิบไปแล้วงั้นเหรอ?
ชายหนุ่มหยิบใบรายการสินค้าค้างส่งที่อยู่บนโต๊ะด้านข้างขึ้นมาก่อนจะวิ่งหนีไปโดยไม่แม้แต่จะหันหลังกลับ พนักงานบัญชีหญิงหัวเราะเหอะๆ พร้อมกับะโไล่หลังเขาว่า ‘พี่จ้านๆ ’
พระอาทิตย์เพิ่งย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงไม่นับว่าโหดร้ายนัก แต่เมื่อสาดแสงด้วยความลิงโลดก็ยังคงทำให้คนทนไม่ไหวอยู่ดี ชายหนุ่มกับพนักงานบัญชีหญิงรออยู่ใต้ต้นไม้มาครึ่งค่อนวัน ในที่สุดก็รอจนได้พบกับเ้าหน้าที่ของคลังสินค้า หลังจากเปลืองน้ำลายต่อราคายกใหญ่ อีกฝ่ายรับใบสินค้าค้างส่งไปอย่างไม่เต็มใจนักก่อนจะจากไปอย่างวางก้าม
บนรถเมล์ ชายหนุ่มเอามือเท้าคาง สายตาทอดมองรถที่วิ่งผ่านด้านนอกหน้าต่าง พนักงานบัญชีหญิงมองชายหนุ่มแล้วถอนหายใจเสียงเบา
หลังทำงานร่วมกับชายหนุ่มมานานทำให้เธอรู้ว่าตอนนี้ชายหนุ่มเริ่มหมกมุ่นอีกครั้ง พี่จ้านคือรุ่นพี่ของเธอ เป็เพื่อนร่วมชั้นปีกับสามีเธอ พวกเขาไม่กี่คนสนิทกันมาก เมื่อตอนเรียนมหาวิทยาลัยพี่จ้านเป็คนขยันร่าเริงและมีความสามารถ คล้ายกับหลังจากไปทำธุรกิจที่ต่างประเทศแล้วล้มเหลว ตอนกลับมาก็มีท่าทางหดหู่เศร้าซึมจนเปลี่ยนเป็คนละคน อายุจวนจะสามสิบก็ยังไม่คิดจะหาแฟน
ตอนกินข้าวสามีบอกเื่พี่จ้านจะเปิดร้าน ดังนั้นเธอจึงขันอาสามาช่วยเหลือ หวังว่าความเอาใจใส่ของคนสนิทจะทำให้เขามีชีวิตชีวาขึ้นมา
ภายหลังถึงแม้พี่จ้านจะเริ่มพูดมากขึ้น หนำซ้ำยังพูดจาหยอกล้ออยู่บ่อยครั้ง แต่ก็ยังเอาแต่นั่งเหม่ออยู่คนเดียวเสมอ ท่าทางดูเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง ทุกครั้งที่ถึงเวลาแบบนี้ ความรู้สึกของเขาจะย่ำแย่มาก ชอบพูดอะไรที่ฟังดูหมดอาลัยตายอยากออกมา
เมื่อเห็นว่าพลังงานลบครั้งใหม่กำลังจะมาเยือน พนักงานบัญชีหญิงคลี่ยิ้มบอกว่าหิวแล้ว ประจวบเหมาะกับละแวกใกล้เคียงมีร้านแฮมเบอร์เกอร์ เธอบอกว่าตนจะเป็เ้ามือเอง ดังนั้นคนทั้งสองจึงพากันลงรถ พนักงานบัญชีหญิงเดินนำหน้ามาก่อนหนึ่งก้าว ทว่าชายหนุ่มกลับมัวแต่อ้อยอิ่งอยู่ด้านหลัง
เพราะถึงอย่างไรก็คือไฟเขียวหนึ่งนาทีครึ่ง จะรีบร้อนขนาดนั้นไปทำไมกัน
ชายหนุ่มรั้งอยู่ท้ายกลุ่มคน เขาทั้งเดินทั้งก้มหน้า ไม่ทันสังเกตเห็นรถสินค้าคันใหญ่ที่ฝ่าไฟแดงเข้ามาจากด้านข้างเลยแม้แต่น้อย
เชิงอรรถ
[1] สันตะสำนัก 教廷 สำนักงานบริหารศาสนจักรส่วนกลาง มีเขตอำนาจทั่วนครรัฐวาติกันและในบางอาสนวิหารนอกวาติกัน