ซื้อคน
หลี่ซานเห็นด้วยกับเื่ที่หลี่หรูอี้จะซื้อคนแล้ว
หลี่หรูอี้กลัวว่าหลี่ซานจะรู้สึกเสียใจภายหลัง จึงรีบเรียกให้หลี่สือขับเกวียนลาตรงไปยังอำเภอฉางผิงทันที
เหตุใดจึงไม่เรียกหลี่ซานไปด้วยกัน แต่กลับเรียกหลี่สือไปแทนน่ะหรือ นั่นเป็เพราะหลี่หรูอี้อยากซื้อคนคราวเดียวหลายคน หากให้หลี่ซานไปด้วยย่อมไม่เห็นด้วยเป็แน่ ส่วนหลี่สือนั้นล้วนฟังหลี่หรูอี้ทุกประการ ดังนั้นย่อมให้เขาไปเป็เพื่อน
สองอาหลานเข้าสู่ประตูเมืองอำเภอฉางผิง สอบถามชาวบ้านเกี่ยวกับสถานที่ขายคน จากนั้นจึงมุ่งตรงไปยังที่แห่งนั้น
ณ มุมทิศตะวันออกเฉียงเหนือของอำเภอ มีตลาดอยู่แห่งหนึ่ง ที่นี่มีขายทั้งคนและสัตว์ใหญ่ ตลาดแห่งนี้อยู่ไม่ไกลจากศาลาว่าการเพราะจะอย่างไรเมื่อซื้อขายคนกันแล้วก็ต้องไปทำเื่ลงทะเบียนที่ศาลาว่าการอยู่ดี
ตอนนี้เป็่ต้นฤดูหนาว แม้แสงอาทิตย์จะส่องสว่างและท้องฟ้าสดใส ทว่าอุณหภูมิยังคงต่ำเช่นเคย โดยเฉพาะตลาดที่อยู่ติดกับกำแพงเมืองช่างอับชื้นและไม่เห็นแสงตะวัน ทั้งมืดและหนาว
หลี่สือกล่าวขึ้นว่า “หรูอี้ ที่นี่หนาวกว่าที่บ้านเราเสียอีก”
หลี่หรูอี้กำลังรู้สึกดีใจจึงมองข้ามเื่อากาศหนาวไปจนสิ้น นางยืนอยู่รอบนอกของตลาด ทอดสายตามองไปในตลาดครู่หนึ่ง พบว่าผู้ที่มาขายคนและขายสัตว์ใหญ่ผสมปนเปอยู่ด้วยกัน เหล่าพ่อค้าะโเรียกลูกค้า เหล่าลูกค้าก็ต่อราคากับพ่อค้าจนหน้าดำคร่ำเครียด ดูครึกครื้นยิ่งนัก
มีชายชราผู้หนึ่งเดินไปพลางกล่าวกับญาติของตนไปพลางว่า “อำเภอฉางผิงของพวกเราอยู่ใกล้เมืองเยี่ยนมาก คนเมืองเยี่ยนหลายคนจึงมาซื้อของที่อำเภอฉางผิงเพื่อประหยัดเงิน ตอนนี้ดียิ่งนัก ราคาของในอำเภอฉางผิงของพวกเราแพงขึ้นแล้ว และไม่ว่าจะคนหรือสัตว์ก็ล้วนแพงทั้งสิ้น”
เมื่อได้ยินดังนั้นหลี่หรูอี้ก็คิดในใจว่า โชคดีที่ไม่ให้ท่านพ่อตามมาด้วย มิเช่นนั้นหากท่านพ่อได้ยินคำพูดเหล่านี้คงไม่ยอมให้นางมาซื้อคนที่อำเภอฉางผิงเป็แน่
นางบอกให้หลี่สือยืนเฝ้าเกวียนลาอยู่ที่ปากทางตลาด จากนั้นก็เดินเข้าไปสำรวจราคาตลาดเพียงลำพัง
หลี่หรูอี้เป็เด็กหญิงตัวน้อย ต่อให้มีรูปโฉมงดงามเพียงใดก็ไม่ดึงดูดความสนใจของผู้คน
“มาดูม้าตัวเมียของข้าเร็วเข้า ปีนี้มันอายุหกปี โตเต็มวัยพอดี จะนำไปขี่ก็ได้ จะนำไปลากเกวียนก็ได้ หรือจะนำไปเป็แม่พันธุ์ก็ได้ ราคาเริ่มต้นของข้าไม่นับว่าแพง สามสิบตำลึงเท่านั้น”
“ล่อจ้า ตัวผู้ เพิ่งคลอดปีที่แล้ว ที่บ้านรีบใช้เงิน ขายสี่ตําลึงเท่านั้น”
“ห่านขอรับ หนึ่งคู่หนักรวมยี่สิบสามชั่ง ห้าร้อยทองแดงเท่านั้นขอรับ”
พ่อค้าหลายคนพากันเรียกลูกค้าที่ดูมีกำลังซื้อ มองข้ามหลี่หรูอี้กันไปทั้งหมด
ตลาดรอบนอกล้วนเป็ร้านค้าสัตว์ใหญ่ ตรงกลางไปจนถึงท้ายตลาดจึงจะเป็ร้านขายคน
หลี่หรูอี้เดินตรงเข้าไปที่กลางตลาด ตลาดแห่งนี้เต็มไปด้วยกลิ่นของเสีย สภาพแวดล้อมย่ำแย่ คนที่ถูกขายมีทั้งบุรุษมีทั้งสตรี กระทั่งเด็กและคนชราก็มี พวกเขาล้วนสวมใส่เสื้อผ้าเก่าๆ ยืนอยู่บริเวณนั้นราวกับเป็สินค้าให้ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาได้ชมและเลือกซื้อ
“นายท่านข้าจะเดินทางลงใต้ พาคนไปได้ไม่หมด ต้องขายพวกเขาออกไปหลายคน”
“คุณชายบ้านข้าจะแต่งภรรยาเอก กลัวว่าภรรยาเอกจะไม่พอใจ ก่อนแต่งงานจึงนำสาวใช้ข้างห้องมาขายขอรับ”
“จวนของพวกเราซื้อสตรีนางนี้มาเมื่อหลายวันก่อน แต่นายท่านไม่ถูกใจจึงนำนางมาขายขอรับ”
“เดิมทีพวกเขาเป็บ่าวที่คอยปรนนิบัติรับใช้นายท่านของจวนพวกเรา ทว่านายท่านจากไปแล้ว จวนเราดูแลพวกเขาไม่ไหวจึงต้องนำพวกเขาออกมาขายทั้งหมด”
ผู้ที่นำคนมาขายจะต้องบอกเหตุผลที่นำมาขายได้ อีกทั้งเหตุผลเ่าั้ยังต้องอยู่ในขอบเขตที่ลูกค้ารับได้อีกด้วย
“สตรีนางนี้อายุเท่าใดแล้ว เคยหลับนอนกับบุรุษมาแล้วกี่คน เคยคลอดบุตรมาแล้วหรือไม่”
“นางกินเยอะหรือไม่ หนึ่งวันกินมากเท่าใด”
“อะไรกัน สตรีไม่บริสุทธิ์เพียงนางเดียวขายถึงสองตำลึงเชียวหรือ มิใช่สตรีบริสุทธิ์เสียหน่อย!”
“เ้า... อ้าปาก ดูซิว่าฟันร่วงหรือไม่”
“เ้า... หมุนตัว เดินมาข้างหน้าให้ดูหน่อย”
“เ้าดู นี่อะไร”
ลูกค้าที่มาซื้อคนมีทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็พ่อค้า ขุนนาง หรือคุณชายที่มีเงิน ทุกคนไม่ใช่คนโง่ ย่อมไม่มาซื้อคนโดยไม่ถามไถ่ให้ละเอียด และไม่ตรวจสอบสินค้าให้ถี่ถ้วนอย่างแน่นอน
หลี่หรูอี้ไม่ได้รู้สึกร้อนรนแต่อย่างใด นางยืนฟังอยู่ด้านหลังลูกค้าหลายคน ผ่านไปพักใหญ่จึงทราบราคาส่วนใหญ่ของตลาด
ชายฉกรรจ์ร่างกายแข็งแรงไม่รู้หนังสือ และสตรีร่างกายแข็งแรงมีราคาไม่แตกต่างกันมากนัก ราคาประมาณสองถึงสามตำลึง
ชายหนุ่มร่างกายแข็งแรง หรือเด็กหนุ่มร่างกายแข็งแรง ราคาหนึ่งตำลึงครึ่งถึงสองตำลึง
ชายชราและหญิงชราที่มีร่างกายแข็งแรง ราคาหนึ่งตำลึง
เด็กชาย ราคาสามตำลึง ทว่าเด็กหญิงกลับราคาถูกมาก ไม่กี่ร้อยทองแดงก็ซื้อได้แล้ว
ส่วนเด็กสาวราคาอ้างอิงตามรูปโฉม หากมีรูปโฉมงดงามราคาจะสูง หากไม่งามราคาจะต่ำ
หลี่หรูอี้คิดอย่างทอดถอนใจว่า ที่แคว้นต้าโจวมีความคิดแบบชายเป็ใหญ่ ราคาของเด็กหญิงถูกที่สุด ไม่กี่ร้อยทองแดงก็ซื้อได้คนหนึ่งแล้ว โชคดีที่ครอบครัวนางไม่เป็เช่นนั้น โชคดีที่บิดามารดารักใคร่นาง
ขณะนั้นเองนางได้ยินเสียงเด็กหญิงผู้หนึ่งร้องห่มร้องไห้ ท่าทางโศกเศร้าใจหาใดเปรียบ “ข้าไม่อยากไปหอนางโลม ขอร้องเถิด อย่าขายข้าไปที่หอนางโลมเลย ข้าจะยอมเป็วัวเป็ม้าเพื่อตอบแทนท่าน”
สตรีนางหนึ่งกล่าวด่าอย่างโหดร้าย “หึ... นังโสเภณี เพิ่งอยู่บ้านข้าไม่กี่วัน ก็รู้จักล่อลวงบุรุษของข้าแล้ว หากมิใช่เพราะข้ารู้ตัวเร็ว เ้าคงปีนเตียงบุรุษของข้าแล้วกระมัง โสเภณีเช่นเ้าก็ต้องขายไปหอนางโลมให้บุรุษนับหมื่นควบขี่!”
เด็กหญิงยังคงร้องห่มร้องไห้ต่อไป “ท่านปู่ของข้าคือ หวังไห่ หัวหน้าตระกูลหวัง ท่านนำข้าไปขายที่หมู่บ้านหลี่เถิด ท่านปู่จะต้องให้เงินท่านแน่นอน นำข้าไปขายให้ท่านปู่เถิด”
หลี่หรูอี้รู้สึกตื่นตะลึงยิ่งนัก รีบหันไปทางต้นเสียง เห็นเด็กหญิงสวมเสื้อผ้าเก่าขาดนางหนึ่งกำลังคุกเข่าอยู่ที่พื้น นางกอดขาสตรีวัยกลางคนที่สวมชุดผ้าไหมสีฟ้าพลางกล่าวขอร้องด้วยท่าทางน่าอนาถ
เด็กหญิงนางนี้ผมเผ้ายุ่งเหยิง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ ดวงตาแดงก่ำจากการร้องไห้อย่างหนัก นั่นไม่ใช่ใครอื่น นางก็คือหวังซานนิว ที่ถูกขับออกจากตระกูลหวังเมื่อหลายวันก่อนนั่นเอง
ส่วนสตรีวัยกลางคนนางนั้นอายุประมาณสามสิบต้นๆ มีรูปร่างหน้าตาธรรมดา เป็ประเภทที่ว่าหากจับโยนเข้าไปในกลุ่มคนก็คงหาไม่เจอ เพียงแต่นางมีแววตาคมกริบ ดูท่าทางร้ายกาจยิ่งนัก
ข้างกายสตรีวัยกลางคน มีหญิงชราแต่งตัวด้วยชุดผ้าฝ้ายคล้ายบ่าวไพร่ยืนอยู่นางหนึ่ง นางมีสีหน้าเรียบเฉยคล้ายกับเื่นี้ไม่เกี่ยวข้องกับตนเอง ดูแล้วคงเป็สาวใช้ของสตรีวัยกลางคนนั่นเอง
สตรีวัยกลางคนะโว่า “เ้าอย่านำคนตระกูลหวังมาข่มขู่ข้า ข้าให้นางโจวไปถามมาแล้ว เ้าถูกคนตระกูลหวังขับออกจากตระกูลแล้ว เ้าทำความผิดอันใดไว้ตนเองคงจำได้ดีกระมัง ต้องให้ข้าพูดให้เ้าฟังอีกหรือไม่”
นางโจวก็คือหญิงชรานางนั้น เมื่อได้ยินสตรีวัยกลางคนเรียกชื่อตนเองก็สั่นสะท้านไปทั้งตัว เพื่อจะประจบประแจงอีกฝ่าย จึงรีบร้อนกล่าวไปว่า “หวังซานนิว นางแพศยา ชื่อของเ้าเหม็นเน่าไปทั่วทั้งหมู่บ้านแล้ว หากมิใช่เพราะบ้านสามีเ้า ตระกูลหวังคงจับเ้าถ่วงน้ำไปนานแล้ว ส่วนบ้านสามีเ้าถึงจะช่วยชีวิตเ้าไว้ แต่ก็ไม่้าเ้า จึงได้นำเ้ามาขายเพื่อแต่งงานแก้เคล็ด คนที่เ้าต้องแต่งงานด้วยยังไม่ทันตายเ้าก็คิดหนีแล้ว พออีกฝ่ายป่วยตายเ้าก็ไม่มีประโยชน์อีก จึงถูกนำมาขาย… ฮูหยินของบ้านข้ามีจิตใจดีงามจึงซื้อเ้าไว้ ผู้ใดจะรู้ว่าเ้ากลับล่อลวงนายท่านของข้า จิตใจสกปรกโสมมจริงๆ”
สตรีวัยกลางคนถีบหวังซานนิวลงไปกองกับพื้น “นังโสเภณี เ้านิสัยเช่นนี้แล้วผู้ใดจะกล้าซื้อเ้าอีก เ้าไม่ไปอยู่หอนางโลมแล้วจะไปอยู่ที่ใดได้”
หลี่หรูอี้คิดในใจว่า ดูท่าทางหวังซานนิวต้องเปลี่ยนเ้านายอีกแล้ว คราวนี้นางแอบเล็งนายท่านของตน ทำให้นายผู้หญิงโกรธจัดจนจะขายนางไปที่หอนางโลม คนน่าสงสารย่อมต้องมีความเลวร้ายของตนเอง ที่หวังซานนิวต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ก็ล้วนเป็เพราะนางทำตนเองทั้งสิ้น
ชะตาชีวิตของหวังซานนิวจะเป็เช่นใดก็ไม่เกี่ยวอันใดกับหลี่หรูอี้ หลี่หรูอี้ทอดถอนใจครู่หนึ่ง แล้วหมุนตัวเดินจากไป
“ชีวิตข้าช่างลำบากจริงๆ ข้าไม่อยากไปหอนางโลม…” หวังซานนิวทิ้งตัวนั่งลงกับพื้นที่เต็มไปด้วยปัสสาวะสัตว์ ร้องห่มร้องไห้จนสะอึกสะอื้น ในดวงตาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
ตอนนี้เองนางคิดไปถึงหวังลี่ตงและชวีหงที่ทอดทิ้งนาง หากไม่ใช่เพราะหวังลี่ตงและชวีหงริบสินเดิมทั้งหมดของนางไว้ นางคงไม่ถูกบ้านสามีขายเช่นนี้…
ณ หมู่บ้านชวี ที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบลี้ ชวีหงที่ถูกหวังซานนิวก่นด่าอยู่ในใจกำลังเผชิญหน้ากับความวิบัติคับฟ้า
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้