"น้องสาว ข้าป้อนเ้า" รอยยิ้มของรัชทายาทน้อยเต็มไปด้วยความอ่อนโยน ตักขนมไข่ในชามป้อนให้เฉียวเยว่ เฉียวเยว่นอนอยู่บนเตียงเล็ก อ้าปากกินคำโตทีละคำอย่างเชื่อฟัง
ปรกติมักรู้สึกว่าขนมไข่รสชาติแสนจะธรรมดา แต่ได้เห็นนางกินอย่างมีความสุข ก็รู้สึกดีอย่างยิ่ง
เฉียวเยว่ฉีกยิ้มตาหยี อ้าปากกว้าง
ใช้เวลาไม่นานนัก รัชทายาทก็ป้อนขนมไข่ชามเล็กให้เฉียวเยว่หมด นางลูบพุงน้อยๆ ของตนเอง รู้สึกอิ่มมาก ตอนอยู่บ้านมารดาจะไม่ให้นางกินเยอะขนาดนี้ ด้วยเกรงว่านางจะท้องอืดอาหารไม่ย่อย ออกมาข้างนอกค่อยดีหน่อย
"ต๊า" นางเปล่งเสียงดึงดูดความสนใจของรัชทายาท หลังจากนั้นก็ตบมือยิ้มร่า ราวกับกำลังจะก่อเื่ซุกซน แต่ก็คล้ายว่ากำลังเล่นกับตัวเอง
รัชทายาทดึงผ้าห่มผืนน้อยให้นาง เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง "อิ่มแล้วหรือ จะเอาอีกไหม?"
เฉียวเยว่ยังคงยิ้ม
"รัชทายาท เฉียวเยว่ยังเล็ก นางกินมากเกินไปมิได้พ่ะย่ะค่ะ"
แม้ว่าจะนั่งสนทนาอยู่ไม่ไกลจากฮ่องเต้ แต่ซูหลานหลางกลับเอาใจใส่ทางนี้ตลอดเวลา
รัชทายาทพยักหน้า กล่าวด้วยน้ำเสียงใสกังวาน "ข้าทราบแล้วขอรับ อาจารย์"
เฉียวเยว่รู้สึกทอดถอนใจ เมื่อเทียบกับเ้าคนดื้อด้านไร้มารยาทรุ่ยเอ๋อร์ รัชทายาทพระองค์นี้สุขุม อ่อนน้อมและมีมารยาทกว่ามาก
เป็เด็กที่ใครเห็นแล้วต้องชอบ
นางลูบท้อง รู้สึกว่ากินอิ่มแล้วเริ่มจะง่วง นางบิดตัวสองสามครั้งหาตำแหน่งที่เหมาะสมที่สุด แล้วเฉียวเยว่ก็ค่อยๆ ผล็อยหลับไป
แสงแดดของวันนี้ช่างดีจริงๆ
แม่นางตัวน้อยนอนหลับน้ำลายยืด รัชทายาทอยู่ด้านข้างอย่างสงบเงียบ เช็ดน้ำลายที่ไหลย้อยบนมุมปากให้นาง พลางฮัมเพลงเด็กเบาๆ ขับกล่อม
ซูซานหลางมองรัชทายาทด้วยความชื่นชม แล้วเอ่ยว่า "รัชทายาททรงดีงามไปทุกเื่แท้ๆ"
ฮ่องเต้ตรัสอย่างภาคภูมิใจ "โอรสของเราย่อมดีอยู่แล้ว หากซานหลางอบรมสั่งสอนอย่างดี โอรสของเราก็จะยิ่งดีกว่านี้"
ซูซานหลางหัวเราะเบาๆ กล่าวตามตรง "เมื่อรับปากฝ่าาว่าจะเป็อาจารย์ให้รัชทายาท กระหม่อมย่อมจะทุ่มเทสุดกำลัง ปฏิบัติภารกิจให้แล้วเสร็จจนกว่าชีวิตจะหาไม่ ความรู้ทั้งหมดของกระหม่อมจะต้องถ่ายทอดให้กับลูกศิษย์ เกรงแต่ว่าระดับความรู้ของกระหม่อมผู้นี้ก็มีเพียงเท่านี้เอง"
คำกล่าวนี้ฮ่องเต้ไหนเลยจะเชื่อ ตอนนั้นในบรรดาลูกศิษย์ของอาจารย์ ซูซานหลางเป็คนฉลาดปราดเปรื่องที่สุดเหนือผู้ใด คนอื่นๆ แม้กระทั่งพระองค์เองก็ยังด้อยกว่าหลายส่วน
ในด้านความรู้ พวกเขาสู้ซูซานหลางไม่ได้
พระองค์มองไปทางรัชทายาทกับเฉียวเยว่ ทำท่าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม "เรากลับรู้สึกว่าแทนที่จะรับปากเสด็จป้า มิสู้เก็บเฉียวเยว่เอาไว้ให้บ้านของตนเองจะดีกว่า ดูท่าทางโอรสของเราจะชอบเฉียวเยว่มาก"
ดูเหมือนว่ารัชทายาทจะฟังฝ่าาตรัสอยู่ จึงเอี้ยวศีรษะหันมาตอบอย่างจริงจัง "ลูกขอเสด็จพ่ออย่าจับคู่ยวนยางส่งเดชดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ"
ท่าทางที่จริงจังของเด็กน้อยคนหนึ่งแต่กลับดูน่าสนใจอยู่หลายส่วน
ฮ่องเต้เลิกพระขนง ตรัสว่า "เด็กน้อยอย่างเ้าจะรู้อะไรเกี่ยวกับการจับคู่ยวนยาง"
แม้ว่าจะถามเช่นนี้ แต่ก็ปรารถนาจะฟังคำตอบจากเขา
ซูซานหลางเองใคร่รู้เป็อย่างยิ่งว่ารัชทายาทจะตอบเช่นไร
รัชทายาทนั่งตัวตรงอย่างเหมาะสม ดูราวกับสุภาพบุรุษน้อยผู้อ่อนน้อมถ่อมตน
"ประการแรก ท่านอาจารย์ยังมีความอาวรณ์อยู่ ประการที่สอง กูไหน่ไน [1] อาจเสียพระทัย ประการที่สาม น้องสาวเองก็มิได้รับปาก"
ซูซานหลางยิ้มออก นึกชื่นชมเป็อย่างยิ่ง "รัชทายาททรงเปรื่องปราดเหนือคนจริงๆ"
ฮ่องเต้ลำพองใจยิ่งกว่าเดิม "ไม่ดูเสียบ้างว่าบุตรใคร โอรสของเราจะไม่ดีได้อย่างไรกัน"
ทรงเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง ก่อนมองซูซานหลาง แล้วตรัสว่า "โอรสของเราดีเช่นนี้ เ้าอย่าสอนให้เสียคนเล่า"
ซูซานหลาง "หึๆ"
รัชทายาทได้ยินเสียงทารกน้อยพลิกตัวบนเตียง ก็ตบๆ นางอย่างแ่เบา เฉียงเยว่ละเมออ้อแอ้ออกมา ก่อนจะหลับต่อ
ซูซานหลางมองรัชทายาท หลังจากนั้นก็มองไปทางอื่นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แต่มุมปากกลับประดับไปด้วยรอยยิ้ม...
จนกระทั่งอยู่ระหว่างทางกลับจวน เขาก็ลูบพุงน้อยๆ ของบุตรสาว เอ่ยถามอย่างนุ่มนวล "เฉียวเยว่คิดว่ารัชทายาทเป็อย่างไร?"
เป็ดังคาด เฉียวเยว่น่าจะท้องอืด นางกิน... ขนมไข่หนึ่งถ้วย ผลไม้บดหนึ่งถ้วย นมอีกสามถ้วย ยังมีของอร่อยอีกไม่รู้เท่าไร
กินมากกว่าตอนอยู่บ้านตั้งหลายเท่า นางจะไม่ท้องอืดได้อย่างไร
ซูซานหลางนวดให้ต่อ "พ่อเห็นเฉียวเยว่ค่อนข้างจะชอบเขา"
เฉียวเยว่รีบเปล่งเสียงแสดงว่าตนเองชอบรัชทายาท "ลา!"
"หากครั้งนี้กลับบ้านไปเ้าไม่ฟ้องมารดา หลังจากเติบโตแล้วพ่อจะให้เ้าแต่งงานกับรัชทายาทดีหรือไม่? พวกเราปรึกษาหารือกันไว้ก่อน" ซูซานหลางทอยิ้ม กระซิบกระซาบคุยกับทารกน้อย
เพียงแต่คนทั่วไปมองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเขาล้อเล่น แต่เพราะเ้าเด็กน้อยทำตาโตกลอกไปมา น่าเอ็นดู ทำให้คนเป็บิดาอย่างเขาอยากจะหยอกล้อกับนางเสียหน่อย
เฉียวเยว่ไหนเลยจะมองไม่ออก นางเรอเอิ้กออกมา ก่อนแค่นเสียงหึ สะบัดดวงหน้าไปทางอื่น ปากน้อยๆ ยื่นออกมาบ่นเป็ภาษาทารก เพียงไม่ช้าก็เห็นนางเริ่มเป่าฟองออกมาราวกับปลาตัวหนึ่ง
นางเองก็รู้ว่าทำเช่นนี้ไม่ดี แต่มักควบคุมการกระทำของตนเองไม่ได้ ประกอบกับรู้สึกว่าเล่นอย่างนี้ก็สนุกดี
ยิ่งไปกว่านั้น รู้สึกได้ว่าฟันกำลังจะขึ้น ดังนั้นจึงยิ่งอยากหาอะไรกัด
"เด็กคนนี้ไม่สำรวมเอาเสียเลย" เขาเช็ดน้ำลาย แต่ก็เห็นนางทำอีก ซูซานหลางอับจนถ้อยคำ "รอเ้าโตก่อน จะต้องสั่งสอนเสียหน่อย"
นี่ไม่ใช่การข่มขู่ครั้งแรกของบิดา เฉียวเยว่หัวเราะคิกคัก
แต่เฉียวเยว่ก็รู้สึกว่าเมื่อคนเองโตขึ้นสามารถคุยโวโอ้อวดได้ ผู้อื่นล้วนชอบคุยว่าบิดามารดาของตนเองเป็อย่างไรอย่างไร เฉียวเยว่คิดว่าตนเองก็คุยโม้ได้เหมือนกัน ตอนที่ข้ายังแบเบาะ เคยเข้าวังมาแล้ว ฝ่าาทรงอุ้มข้า มิหนำซ้ำข้ายังจุมพิตพระองค์อีกด้วย
เสี่ยวเฉียวเยว่กระดิกเท้า นึกอยู่เงียบๆ แต่นางไม่บอกใครหรอก ความทรงจำของตนเองมีน้อยมาก เพราะเวลาส่วนใหญ่มักหมดไปกับการนอน
ดังนั้นการเป็ทารกนี่ไม่ดีเอาเสียเลย
นอนเก่งเกินไป เมื่อไรจะโตเสียทีนะ!
หลังกลับถึงบ้านก็ถูกมารดาอุ้มไปตรวจสอบ เมื่อเห็นว่านางดูสบายดียิ่ง ในที่สุดก็วางใจ
เฉียวเยว่ไม่บอกหรอกว่าตนเองทั้งเรอทั้งผายลมระหว่างทางมาเรียบร้อยแล้ว
พอได้ยินว่านางกลับมาแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าก็ถ่ายทอดวาจามาให้มารดานางอุ้มนางไปหา เฉียวเยว่รู้สึกว่าตนเองเหมือนดาราตัวน้อย ต้องหมุนเวียนออนทัวร์ไปพบปะทำกิจกรรม ใครๆ ก็ล้วนชอบดวงหน้าน้อยที่ "ไร้ฟัน" ของนางทั้งนั้น ก่อนจะหัวเราะเอิ๊กอ๊ากออกมา รู้สึกว่าตอนนี้นางเป็ทารกน้อยน่ารักน่าเอ็นดู เติบโตไปจะต้องกลายเป็โฉมสะคราญงามล่มเมืองแน่แท้
ไท่ไท่สามอุ้มทารกน้อยเดินไปเรือนหลัก ซูซานหลางส่งบุตรให้นางแล้วก็ไปห้องหนังสือ นางไปคนเดียวกับแม่นม
แม่นมเอ่ยว่า "ดูท่าทางคุณหนูเจ็ดจะไม่หิวเลยสักนิด"
เฉียวเยว่ทำปากแจ๊บๆ นางต้องไม่หิวอยู่แล้ว
กินมาตั้งเยอะ แต่นางยังคงยิ้มอย่างไร้เดียงสา
ไท่ไท่สาม "ลืมถามซานหลางไปเสียสนิทว่านางกินจากในวังไปเยอะแค่ไหน"
เฉียวเยว่แทะกำปั้นน้อยเงียบๆ ไม่กล้าเปล่งเสียงเยอะมาก มารดาของนางห้ามไม่ให้กินเยอะเกินไป
พอมาถึงเรือนหลัก ก็ได้ยินเสียงท่านป้าใหญ่เอ่ยด้วยน้ำเสียงแฝงแววยิ้มยั่ว "ดูสิเ้าคะ วันนี้ท่านแม่เป็ห่วงเ้าตัวน้อยคนนี้ทั้งวัน ตอนนี้คนกลับมาแล้ว ท่านก็วางใจได้เสียที"
ฮูหยินผู้เฒ่ากวาดตามองไท่ไท่สามพลางเอ่ยว่า "ซานหลางเล่า?"
ไท่ไท่สามตอบอย่างนอบน้อม "พอกลับมาถึงเขาก็ไปห้องหนังสือเ้าค่ะ"
เมื่อได้ยินแบบนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าค่อยเบาใจ ในใจนางวิตกกังวลสิ่งใด ซานหลางกับไท่ไท่สามเป็เหมือนกับบานคันฉ่องใส เมื่อไม่แสดงออกอะไรมาก ย่อมหมายความว่าไม่มีปัญหาอะไร
หลังจากหมดห่วง อารมณ์ก็ดีขึ้นมาก หัวเราะเสียงเบาเอ่ยว่า "เฉียวเยว่เข้าวังรู้สึกเป็อย่างไรบ้าง เฉียวเยว่ที่แสนเฉลียวฉลาดของพวกเราต้องเชื่อฟังมากเลยใช่หรือไม่?"
เฉียวเยว่งงเป็ไก่ตาแตก
เชื่อฟัง?
เฉลียวฉลาด?
สายตาของนางเหม่อลอย จำไม่ได้ว่าตนเองเป็เด็กดีหรือเปล่า เชื่อฟังหรือไม่ แม้ว่าไม่อยากจะนึก แต่เฉียวเยว่กลับตระหนักดีว่าตนเองเผลอ.... แค่กๆ
ก็อย่างที่รู้ๆ กันอยู่
กินเยอะเกินไปหน่อย เยอะจนมิอาจจะบรรยาย
นางไม่อยากเป็แบบนี้เลย แต่มักควบคุมตนเองไม่อยู่
ฮูหยินผู้เฒ่าไหนเลยจะรู้เื่หลานสาวตัวน้อยในวัง นางหันมาพูดกับไท่ไท่สามอย่างไม่อ่อนไม่แข็ง "ในเมื่อครั้งนี้ไม่มีอะไรแล้ว วันหลังก็อย่าพาบุตรออกจากบ้านบ่อยนัก เด็กยังเล็กแค่นี้ ไม่ต้องเอ่ยว่าจะไปลบหลู่ใครเข้า แม้ว่าเด็กน้อยเฉลียวฉลาดมาก ก็ไม่จำเป็ต้องโอ้อวด หากมีคนเกิดความสนใจมากเข้า ก็อาจก่อให้เกิดปัญหาอื่นตามมา สร้างความเดือดร้อนแต่แก้ไขปัญหาไม่ได้ หากเป็เช่นนี้บ่อยๆ ใครจะไปทนได้ อีกอย่าง เด็กยังเล็กเช่นนี้หาใช่เครื่องมือในการใช้หนี้ของพวกเ้า"
คำกล่าวเมื่อมาถึงตอนท้ายก็ยิ่งแจ่มชัด
ไท่ไท่สามขอบตาแดง แต่ยังไม่หลั่งน้ำตา นางก้มศีรษะ ตอบเสียงเบา "สะใภ้ทราบแล้วเ้าค่ะ น้อมรับคำสั่งสอนจากท่านแม่ แต่สะใภ้ไม่มีความคิดเยี่ยงนั้นแน่นอนเ้าค่ะ"
เฉียวเยว่เป็บุตรสาว ย่อมรับรู้ถึงความเสียใจผ่านน้ำเสียงของไท่ไท่สาม นางเอี้ยวตัวคิดจะมองมารดาของตน
ฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกว่าเฉียวเยว่เริ่มยุกยิก ก็ไม่มองนางอีก หันกลับมาหยอกล้อเฉียวเยว่ "เ้าตัวน้อย รู้หรือไม่ว่าเ้าทำให้ย่าใแทบตาย"
เฉียวเยว่ฉีกยิ้มตาหยี
ฮูหยินผู้เฒ่าตบๆ เด็กน้อย เอ่ยว่า "ช่างเป็แม่หนูน้อยที่น่ารักจริงๆ"
หลังจากนั้นก็มองไปทางไท่ไท่สาม "นางดีเพียงนี้ เ้าแข็งใจทำร้ายนางได้อย่างไร"
ไท่ไท่สามทรุดตัวลงไปคุกเข่า น้ำตาหยดแรกร่วงเผาะ "ท่านแม่ ต่อไปสะใภ้จะดูแลเฉียวเยว่อย่างดี จะไม่ให้เกิดเื่ผิดพลาดอีกเป็อันขาดเ้าค่ะ"
เฉียวเยว่ปวดใจยิ่งนัก นางมองหม่าม้าของตนเอง รู้สึกว่านางสั่นไปทั้งตัว ดูเหมือนว่ากำลังร้องไห้ ก็ร้องอ้อแอ้ อยากจะเข้าไปหา แต่ถูกท่านย่าอุ้มอยู่ไม่อาจขยับตัวได้
แม้จะรู้ว่าครานี้สกุลิ่หมายตานาง อยากให้นางแต่งงานกับรุ่ยรุ่ย แต่นางก็ไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดท่านย่าถึงมีท่าทีเช่นนี้ และเหตุใดมารดาของนางถึงต้องตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก
"ยา!" นางเอื้อมมือไปแตะฮูหยินผู้เฒ่าเบาๆ พอเห็นอีกฝ่ามองมาที่ตนเอง ก็ฉีกยิ้มทันที "ต้ะ!"
ฮูหยินผู้เฒ่าถูกนางทำให้หัวเราะ จึงเอ่ยว่า "เด็กดี ย่ารักเ้านะ"
หลังจากนั้นก็จุมพิตดวงหน้าน้อยๆ ของนาง
เฉียวเยว่ชำเลืองมองไปทางมารดา เห็นน้ำตาของนางหยดลงบนหลังมือ ก็ยิ่งปวดใจเป็ทวี แต่นางพยายามบิดตัวเปล่งเสียงร้องอืออาอยู่เป็นานสองนาน ก็ไม่มีคนเข้าใจ
บิดาของนางทำไมไม่มานะ!
วันเวลาของทารกช่างน่าเบื่อหน่าย เมื่อไรจะโตเสียที เมื่อเติบโตแล้วนางก็จะสามารถปกป้องมารดาของตนเองได้
แม้เฉียวเยว่จะไม่รู้ แต่นางก็รู้สึกได้ว่าการเจริญเติบโตนั้นดูเหมือนจะเร็วมาก
ว่าแต่เร็วเท่าไรกันนะ?
...
[1] กูไหน่ไน ใช้เรียนญาติทางฝ่ายหญิงที่แต่งงานออกไปแล้ว ในที่นี้หมายถึงฮูหยินผู้เฒ่าิ่พระปิตุจฉาของฮ่องเต้
[2] คำว่า "ไร้ฟัน" 无齿 เป็คำพ้องเสียงกับคำว่า "ไร้ยางอาย" 无耻 นักเขียน้าสื่อความหมายถึงคำพ้องเสียงที่แฝงนัยอยู่
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้