บทที่ 122 แสงกระบี่เปลวไฟลึกลับ
“ใครมันกำลังเห่าหอน?”
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น ซาจื้อก็หยุดเดินทันที เขามองไปรอบๆ ด้วยสายตาที่เฉียบคม เพราะรู้สึกได้ว่ามีเจตนาฆ่าอันรุนแรงกำลังปกคลุมบริเวณนี้
ชายวัยกลางคนที่ยืนดูอยู่ก็ขมวดคิ้วและครุ่นคิดลึกๆ เขาเคยได้ยินเสียงนี้จากที่ไหนมาก่อน?
“ชิ! ก็แค่หูแว่ว ทำต่อไป! หลังจากที่จัดการพวกนางเสร็จแล้ว เราก็จะกินอาหารมื้อใหญ่กัน ฮิๆ!”
“ฆ่า!”
แม้ว่าโจรขโมยม้าเ่าั้จะนิ่งอยู่สักพักหนึ่ง แต่เดิมทีก็เป็คนโฉดช้าโเี้ ไม่นานก็ฟื้นคืนความดุร้ายอย่างรวดเร็ว ต่างดึงอาวุธออกมาพุ่งเข้าโจมตีนักรบหญิงด้วยรอยยิ้มที่ดุดัน!
ในเวลานี้ นักรบหญิงทุกคนต่างหวาดผวา พวกนางเป็ผู้หญิงและหวาดกลัวอย่างยิ่งเมื่อต้องเผชิญหน้ากับโจรขโมยม้าชายฉกรรจ์ที่พุ่งเข้ามาเหมือนปีศาจ
เพราะพวกนางทุกคนรู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากตกไปอยู่ในกำมือคนร้ายเหล่านี้! สิ่งที่รอคอยพวกนางอยู่อาจเป็ความอัปยศอดสูและการทรมานอย่างชั่วร้าย!
“ฆ่า...ฆ่า!”
“พวก...พวกเราต้องแยกตัวออกไป... ช่วยคุณหนูเสวี่ย!”
เสียงะโของนักรบหญิงหลายคนดูอ่อนแอเล็กน้อย แต่พวกนางก็ยังคงมีกำลังใจจะต่อต้าน!
“ยังกล้าขัดขืนอีก? ประเดี๋ยวรอให้ข้าได้ปรนเปรอเ้าก่อน รับรองว่าเ้าจะว่านอนสอนง่าย!”
โจรขโมยม้าที่มีพลังยุทธ์โดดเด่นที่สุดเป็คนแรกที่เข้ามาโจมตี เขาแทงหอกแหลมคมออกไปในอากาศ เผยรอยยิ้มที่ชั่วร้าย และโจมตีนักรบหญิงที่สวยที่สุด!
“เ้า... เ้า!” การโจมตีอันร้ายกาจนี้ใกล้จะถึงตัว ทำให้นักรบหญิงใมาก หอกนั่นเร็วมาก! เร็วจนนางมองไม่เห็น!
“ควับ---”
แต่ในขณะที่นางกำลังหมดหวัง ก็มีเสียงเนื้อฉีกออกจากกัน จากนั้นก็เห็นเืพุ่งกระจายไปในอากาศ
“ชึบ ชึบ ชึบ——”
พร้อมกับเสียงเืที่พุ่งออกมาอย่างน่ากลัว ศีรษะของมนุษย์ตกลงกับพื้น กลิ้งไปรอบๆ สีหน้าบนศรีษะแข็งค้าง ทว่ายังคงยิ้มอย่างชั่วร้าย
การเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันนี้ทำให้ทุกคนตกตะลึง พวกเขาหันมามองก่อนจะพบว่าศีรษะที่ดูเหมือนเป็ของสมาชิกในกองโจรขโมยม้าถูกฆ่าตายแล้ว
“เป็ไป...เป็ไปได้อย่างไร?...” นักรบหญิงตกตะลึง นางแตะกระบี่ที่เอวโดยไม่รู้ตัว
แต่เมื่อเอื้อมมือไปัั ก็พบว่ากระบี่ของนางหายไปแล้ว
“พวกเ้าชอบรังแกผู้หญิงขนาดนี้ เช่นนั้นก็ไปรังแกในนรกเถอะ” เสียงเ็าและดุดันดังมาจากความว่างเปล่า ทำให้ทุกคนตัวสั่น
“ควับ ควับ ควับ”
ทันทีที่พูดจบ แสงกระบี่สีแดงก็ส่องผ่านท้องฟ้าราวกับฟ้าร้อง ศีรษะของโจรม้าอีกสิบคนถูกแยกออกจากกัน เืพุ่งกระเซ็น ศีรษะนับสิบกระเด็นออกไปพร้อมกัน น่าทึ่งยิ่งนัก
“ใคร...เป็ใคร!”
“ใครมันมาทำลายเื่ดีๆ ของพวกข้า!”
โจรม้าทุกคนตื่นตระหนก สั่นไปทั้งกายใจและถอยหลังไปหลายก้าว เกิดอะไรขึ้น? ใน่เวลาครู่เดียว สหายสิบคนก็ถูกสังหารแล้ว พวกเขาใอย่างยิ่ง!
แล้วแสงกระบี่นั่นคืออะไร? แม้แต่รูปร่างของมันพวกเขาก็ยังมองไม่ทัน! ผู้แข็งแกร่งคนนี้อยู่ที่ไหน? เขาเป็ผีหรือ? นี่มันน่ากลัวเกินไปแล้ว!
“เ้าผีซ่อนหัวโผล่หาง เก่งจริงก็ออกมาเผชิญหน้า! อย่ามาเล่นกลสกปรก!” ซาจื้อเหงื่อเ็าไหลอาบ เขาะโเสียงดังเรียกความกล้า เขาได้ยินเสียงนั้นแล้ว เป็ของชายหนุ่ม และเขาไม่คิดว่าจะเป็ผี
ถึงกระนั้น เขาก็ยังไม่กล้าที่จะประมาท สามารถสังหารนักรบระดับแรกขั้นมหาสมุทรจำนวนมากได้ในทันที จะต้องมีพลังยุทธ์สูงเพียงใดถึงจะทำได้กัน? ซาจื้อถามตัวเอง แล้วพบว่าเขาทำไม่ได้!
“โจรโฉด เดี๋ยวก็ถึงคราวของเ้าแล้ว จะรีบร้อนไปไย?”
เสียงนั้นเหน็บแนม และในเวลาเดียวกันก็มีแสงกระบี่อีกดวงหนึ่งฟาดผ่านความว่างเปล่า มันรวดเร็วมาก มีพลังเปลวไฟจางๆ พุ่งออกมาราวกับพยายามที่จะเผาทุกสิ่ง!
“ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ-”
น้ำพุเืพุ่งกระฉูด อีกห้าคนเสียชีวิตอย่างกะทันหัน พวกเขายังไม่ทันได้ร้องหัวก็ขาดออกจากตัวเสียแล้ว
“อ๊า... อ๊าก...ผี!!!”
โจรม้าบางคนใหันหลังเริ่มวิ่งหนี แสงกระบี่แปลกประหลาดนั่นทั้งรวดเร็วและคมกริบ ราวกับตะขอของเทพมรณะ เพียงฟาดครั้งเดียวก็ปลิดชีพในทันที!
“หนี?”
แต่เหล่าโจรขโมยม้าที่หนีไปกลับไม่อาจหลีกเลี่ยงแสงกระบี่อันน่าสะพรึงกลัวนั้นได้ ทันทีที่พวกเขาหันหลังกลับ ต่างก็ถูกสังหาร พลังชีวิตถูกเก็บเกี่ยว เืหลั่งไหลนอง และตายไปอย่างง่ายดาย
สุดท้าย พวกโจรม้าที่เหลือก็ใจนทรุดลงกับพื้น เรียกหาพ่อหาแม่คล้ายเป็บ้าไปแล้ว
ตอนนี้พวกเขาตีก็ตีไม่โดน หนีก็หนีไม่พ้น เป็ถึงนักรบขั้นมหาสมุทรแต่กลับถูกตรึงเอาไว้บนเขียงให้คนอื่นมาเชือดเล่น
“ขะ...แข็งแกร่งมาก!”
“มีปรมาจารย์ผ่านทางมาหรือ?”
นักรบหญิงต่างก็ตกตะลึง เห็นได้ชัดว่าแสงกระบี่เปลวไฟอันน่าสะพรึงกลัวนี้ช่วยพวกนางไว้ แต่เมื่อฟังจากเสียงแล้ว ดูเหมือนว่ายังเป็เพียงเด็กหนุ่มเท่านั้น
มีนักรบหนุ่มผู้ทรงพลังเช่นนี้อยู่ใกล้เมืองชุยเสวี่ยด้วยหรือ? ไม่เคยได้ยินเื่นี้มาก่อน
“เสียงนี้... เหตุใดจึงคุ้นนัก?” หนิงซิ่วนอนอยู่บนพื้นเพราะได้รับาเ็ แต่อย่างไรเสียนางก็เป็แม่บ้านนักรบ เมื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงกะทันหันนี้ นางก็สงบลงเล็กน้อย แต่ก็มีสีหน้าสงสัย
เพราะนางฟังออก เสียงของชายหนุ่มคนนี้...
“หนุ่มน้อยจากที่ใดกัน? รู้จักเพียงหลบหน้าหลบตาแต่ไม่กล้าพบปะมนุษย์หรือ?” แม้ว่าชายวัยกลางคนสกุลเริ่นจะขมวดคิ้ว แต่เขาก็ยังคงไม่กลัว เพราะเขาสังหารนักรบในระดับแรกขั้นมหาสมุทรมาก็ไม่น้อย แต่ก็ยังทำเช่นนี้ได้เพื่อไม่ให้คนหวาดกลัวและประหลาดใจ
เขาคิดว่าชายลึกลับที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นนั้น ไม่ได้แข็งแกร่งเท่าใดนัก เขาสามารถรับมือได้
“ฮ่าๆ ใครบอกว่าข้าไม่กล้าพบปะมนุษย์กัน?”
ยามนี้ มีเสียงดังออกมาอีกครั้ง มองเห็นชายหนุ่มสวมหน้ากากเดินมาหยุดอยู่ข้างนักรบหญิง เขาเสียบกระบี่เล่มยาวกลับเข้าไปในฝักที่เอวของนางอย่างตั้งใจ จากนั้นจึงก้าวไปข้างหน้าอย่างช้าๆ
“คือ... เ้าหรือ?” นักรบหญิงจับฝักกระบี่พร้อมมองอย่างตกตะลึง จับจ้องไปที่แผ่นหลังของชายหนุ่มอย่างว่างเปล่าด้วยความไม่อยากจะเชื่อและแอบแฝงไปด้วยความชื่นชม
ในเวลานี้ ทุกคนต่างก็งงงัน และรู้ได้ทันทีว่าหนุ่มสวมหน้ากากคนนี้ คือปรมาจารย์ลึกลับที่สังหารพวกโจรม้าด้วยกระบี่เล่มเดียว!
นักรบหญิง หนิงซิ่วและเสวี่ยหรูเยียนที่กำลังนั่งพับเพียบอยู่บนพื้นต่างก็เบิกตาโพลงมองตามชายหนุ่มด้วยความงุนงง
อะไรกัน?! เป็คนป่าที่ช่วยพวกนางไว้หรือ?!
ปรมาจารย์ลึกลับที่สังหารโจรม้าขั้นมหาสมุทรด้วยกระบี่เพียงเล่มเดียวคืออวิ๋นชูหรือ?
ทุกคนต่างก็อึ้ง รู้สึกไม่อยากจะเชื่อ แม้ว่าเมื่อครู่พวกนางจะตกอยู่ในอันตรายแต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่รู้ตัว แต่ไม่เคยคิดเลยว่าชายชาวป่าผู้ต่ำต้อยในขบวนจะแข็งแกร่งขนาดนี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เสวี่ยหรูเยียนที่ประทับใจมากจนอยากจะร้องไห้ เพราะตอนนี้ซาจื้อกำลังจะถอดเสื้อผ้าของนาง ถ้าอวิ๋นชูไม่ออกมาช่วย เกรงว่าวันนี้นางคงไม่รอดแล้วจริงๆ
ยิ่งไปกว่านั้น ชายหนุ่มคนนี้ยังแข็งแกร่งและกล้าหาญมาก แม้ว่าเขาจะสวมเพียงชุดชาวป่า ใบหน้าพันผ้าปกปิด แต่เขาก็สามารถสร้างความประทับใจให้กับหญิงสาวได้
นี่คือชะตาฟ้าลิขิตหรือ? อวิ๋นชูนี้ผู้นี้คือชายในชะตาลิขิตที่เทพเซียนมอบให้นางใช่หรือไม่? เสวี่ยหรูเยียนคิดเช่นนั้น หัวใจของนางเต้นแรงมากจนเกือบจะวิ่งเข้าไปกอดชายหนุ่ม
“ก็แค่สุนัขตัวหนึ่ง แม้แต่โจรขโมยม้าก็ยังกล้าอวดดีขนาดนี้แล้วหรือ?” ฉู่อวิ๋นไพล่มือไว้ด้านหลัง ก้าวไปด้านหน้าอย่างใจเย็น จ้องมองไปที่ซาจื้อและชายที่อยู่ตรงกลาง
ยามนี้ ดวงตาของฉู่อวิ๋นคมกริบ เขาจำได้ทันทีว่าชายวัยกลางคนที่ยุให้หัวหน้าโจรขโมยม้าทำสิ่งเลวร้ายนั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากศัตรูของเขา เริ่นอวี่สิง
ในตอนนั้น เริ่นอวี่สิงในระดับสี่ของขั้นมหาสมุทรได้ไล่ฆ่าฉู่อวิ๋นในหมู่บ้านหงอู้ ทั้งสองฝ่ายต่างก็ผูกแค้นลึกซึ้งกันมาตลอด
ยิ่งไปกว่านั้น ศึกป่าสีเืแม่น้ำโลหิต เ้าหมาตัวนี้ทิ้งขว้างกลุ่มของตัวเองแล้วหลบหนีไปเพียงลำพัง เรียกได้ว่าเห็นแก่ตัวอย่างยิ่ง แต่ตอนนี้เขาได้มาอยู่กับกลุ่มคาราวานใหม่ นี่คือสิ่งที่ฉู่อวิ๋นคาดไม่ถึง
ช่างเป็การเจอศัตรูบนทางแคบจริงๆ ในเมื่อเริ่นอวี่สิงที่โง่เขลาผู้นี้สมคบคิดกับชายหนวดเฟิ้มคนนั้น ฉู่อวิ๋นก็จะไม่เกรงใจเช่นกัน
“เ้าหนู เ้าเป็ใคร?! กล้าดีอย่างไรมาฆ่าคนของข้า?!” ซาจื้อก้าวไปข้างหน้าด้วยท่าทางอวดโอ้ ชี้ดาบเล่มใหญ่ไปที่ฉู่อวิ๋นแล้วะโถาม
“ชาวป่าคนหนึ่ง ไร้นาม” ฉู่อวิ๋นหัวเราะเยาะอย่างไม่เกรงกลัว
ซาจื้อโกรธมากจนควันออกหู เขาจ้องมองอย่างโกรธเคือง ชายหนุ่มคนนี้คือใคร? ถึงกลับกล้าพูดกับเขาเช่นนี้ แค่แนะนำตัวง่ายๆ ก็ยังดูอวดดีนัก!
แต่ชายหนวดเฟิ้มก็ยังคงสงบสติอารมณ์และไม่กล้าเคลื่อนไหวบุ่มบ่าม เขาพูดเสียงดุ “ฮึ่ม! ซ่อนหัวโผล่หางเช่นนี้ไหนเลยจะเรียกได้ว่าเป็วีรบุรุษ? แน่จริงก็ปลดหน้ากากออกเสีย! ให้ข้าดูว่าเ้าคือผู้ใด!”
“โอ้? เกรงว่าเ้าจะไม่มีคุณสมบัตินั้น” ฉู่อวิ๋นยังคงยืนเอามือไพล่หลังและเยาะเย้ย
“เ้า... เ้า!” ซาจื้อโกรธมากจนเส้นเืเต้นตุบๆ เขาเป็นักรบระดับสามขั้นมหาสมุทรที่สง่างาม เป็ที่เคารพและหวาดกลัวในบริเวณนี้ แต่ตอนนี้กลับถูกชายหนุ่มสวมหน้ากากคนหนึ่งดูิ่? จะทนได้หรือ?
ยิ่งกว่านั้น ไม่ว่าจะมองอย่างไรชายหนุ่มคนนี้ก็เป็เพียงนักรบของขอบเขตควบแน่นพลังปราณ! เขาจะฆ่าโจรม้าขั้นมหาสมุทรได้ด้วยการกระบวนท่าเดียวได้อย่างไร? แถมยังฆ่าด้วยกระบี่เล่มเดียวด้วย!
“ตายซะ!”
เมื่อคิดเช่นนี้ ซาจื้อก็โกรธจัด เขาะโเสียงดัง แสงสะท้อนของดาบวาบวับ ทำให้เกิดลมแรงพัด ดุร้ายและคมกริบ ฟันไปทางฉู่อวิ๋น!
ในขณะเดียวกัน เริ่นอวี่สิงก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขาแค่นเสียงอย่างเ็าและพุ่งโจมตีออกไปราวกับสายฟ้า หมัดคชสารเปล่งแสง ด้วย้าจับตัวฉู่อวิ๋น
“ควับ!”
ดาบและหมัดพัวพันกันด้วยพลังอันน่าอัศจรรย์ พลังปราณกระทบกันรุนแรง ไอสังหารหนาทึบล้อมรอบฉู่อวิ๋น ทำให้หญิงสาวทุกคนตื่นตระหนก นี่เป็การร่วมมือกันโจมตีของนักรบระดับสามและสี่ขั้นมหาสมุทรนะ น่ากลัวเกินไปแล้ว!
“จอมยุทธ์อวิ๋น ระวัง!” หนิงซิ่วะโพลางกระอักเื
“อวิ๋นชู!” เสวี่ยหรูเยียนเองก็อุทานออกมาเช่นกัน หัวใจของนางเต้นรัวคล้ายวิ่งมาจุกอยู่ที่ลำคอ นางเพิ่งหลงรักชายหนุ่มคนนี้ไป วินาทีต่อมาเขาก็จะตายแล้วหรือ?
“คู่ต่อสู้ของพวกเ้าไม่ใช่ข้าหรอกนะ”
แต่ในยามนี้ ฉู่อวิ๋นพูดเยาะเย้ย ใช้ก้าวเงาบินหลบหลีกอย่างหวุดหวิด รอดพ้นจากกระบวนท่าสังหารทั้งสองนี้
จากนั้น เขาก็เหวี่ยงมือข้างหนึ่งไปข้างหน้า มองเห็นเพียงต้นอ่อนเล็กๆ สองต้นถูกโยนออกไป แล้วค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น... และใหญ่ขึ้น