เล่มที่ 8 บทที่ 227 นี่มันที่ไหนกัน
หลังจากตกตะลึงไปชั่วครู่ เ้าอสุรกายร้ายก็เผยรอยยิ้มประหลาดออกมา แม้จะมีแววบรรลุเป็เซียนูเาจริง แต่ไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลาอีกกี่ปีถึงจะได้บรรลุ...
หลังจากกวาดตาสำรวจตามแนวเขาไปเรื่อยๆ เ้าอสุรกายร้ายก็เห็นสายน้ำที่ไหลผ่านเข้าพอดี แถมที่เหนือแม่น้ำสายนี้ยังมีไอหยินปกคลุมเป็หมอกควันชั้นบางเบากำลังล่องลอยเอื่อยเฉื่อย ดูสงบเป็อย่างมาก ทว่าภายในนั้นกลับมีแสงไฟสลัวปรากฏเลือนราง
เพียงเห็นเท่านี้ เ้าอสุรกายก็สะดุ้งใทันที เพราะแม่น้ำเบื้องหน้าเกิดจากอสุรกายกุ่ยเจี้ยงเช่นเดียวกัน แถมยังมีพลังกล้าแกร่งยิ่งกว่าหุบเขาที่เกิดจากอสุรกายกุ่ยเจี้ยงเมื่อครู่นี้เสียอีก ดูท่าตนนี้น่าจะเป็อสุรกายกุ่ยเจี้ยงขั้นหกเลยทีเดียว เมื่อเพ่งพินิจลำแสงที่ซ่อนอยู่ในชั้นหมอก ก็พบว่าเ้าอสุรกายตนนี้บรรลุเป็ครึ่งเซียนแม่น้ำแล้วด้วย...
“ให้ตายเถอะ...”
เ้าอสุรกายเริ่มอยู่ไม่สุขเสียแล้ว เพียงอสุรกายตนเดียวที่มีโอกาสบรรลุเป็เซียนูเาก็ว่าร้ายกาจแล้ว นี่ยังมีเซียนแม่น้ำที่แข็งแกร่งอีกตน แถมยังบรรลุเป็ครึ่งเซียนแม่น้ำแล้วอีกด้วย
‘นี่ไม่ใช่เล่นๆแล้วนะ...’
เพราะเซียนูเาและเซียนแม่น้ำเทียบได้กับอสุรกายขั้นกุ่ยหวังและปีศาจขั้นเยาหวังเลยทีเดียว หากยิ่งมีการบูชาอยู่เรื่อยๆ เซียนเหล่านี้ก็แทบจะเรียกได้ว่าอยู่ยงคงกระพัน ไม่มีวันตายเลยทีเดียว หากวันหน้าเ้าอสุรกายสองตนนี้บรรลุเป็เซียนได้เมื่อใด เกรงว่าตนเองคงหมดโอกาสที่จะหนีออกไปจากที่แห่งนี้แล้ว...
“รีบออกจากที่นี่ดีกว่า...” เ้าอสุรกายยืดคอเมียงมองอีกครู่หนึ่ง จากนั้นก็ก้าวถอยหลังออกไปเล็กน้อย ส่วนปากก็เอาแต่บ่นพึมพำไม่หยุด
“รีบหนีก่อนเถอะเรา...”
เ้าอสุรกายเดินวนรอบหุบเขาและแม่น้ำอยู่นาน แต่ก็ไม่เจอทางออกเสียที และขณะที่เ้าอสุรกายเงยหน้าขึ้นมา จึงเห็นว่ามีดวงจันทร์สีหม่นแดงลอยเด่นอยู่กลางท้องฟ้า
“ไออสูรเข้มข้นมากทีเดียว...”
แม้จะเป็หยวนหลิงของศาสตราวุธ แต่ตอนที่เห็นดวงจันทร์ดวงนี้ เ้าอสุรกายร้ายก็อดที่จะตื่นตาตื่นใจไม่ได้ เพราะไออสูรช่างเข้มข้นเสียเหลือเกิน เข้มข้นถึงขั้นเกือบจะจับต้องได้แล้วด้วยซ้ำ เ้าอสุรกายเห็นดังนั้นก็เกิดความละโมบขึ้น มันอ้าปากกว้างออกมาทันทีหวังจะสูบไออสูรเข้มข้นที่รายล้อมดวงจันทร์อยู่...
เพียงไม่กี่อึดใจเท่านั้น รอบตัวของเ้าอสุรกายร้ายก็เกิดหมอกควันดำปรากฏขึ้น มิหนำซ้ำทวารทั้งเจ็ดของมันยังมีหมอกควันดำพ่นออกมาอีกด้วย ร่างกายที่หดเล็กก็พลันขยายกลับมาอีกครั้ง หัวกะโหลกซึ่งแขวนอยู่ที่เขาทั้งสองข้างก็เรืองแสงออกมา จากเดิมที่เอาแต่โหยหวนอย่างน่าอนาถก็พลันเปลี่ยนเป็เสียงหัวเราะทันที ยิ่งไปกว่านั้นเปลวไฟสีดำในดวงตาก็ลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง แถมยังดูร้ายกาจกว่าเดิมอีกด้วย...
“บ้าจริง ช่างแข็งแกร่งเหลือเกิน...” เมื่อพูดจบ เ้าอสุรกายก็เรอออกมาด้วยความอิ่มเอม ตอนที่หันไปมองดวงจันทร์อีกครั้งนั้น ดวงตาทั้งคู่ของมันก็เต็มไปด้วยความหิวกระหาย...
ดวงจันทร์นี้มีไออสูรเข้มข้นมาก เพียงสูบคำเดียวก็ทำให้อาการาเ็หายเป็ปลิดทิ้ง ช่างบำรุงได้ดียิ่งกว่ากลืนกินดวงิญญามนุษย์เสียอีก หากกินเข้าไปทั้งดวงละก็ เกรงว่าจะมีพลังแข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เคยมีมาเลย...
“ฮ่าๆ ฟ้าช่างมีตานัก!” เมื่อคิดได้ดังนั้น หมอกควันดำรอบตัวก็พลันปั่นป่วนขึ้นมา เ้าอสุรกายร้ายไม่รอช้า รีบอ้าปากและพุ่งตัวไปทางดวงจันทร์ทันที...
ทว่าในตอนนั้นเอง จู่ๆก็มีเสียงแค่นต่ำดังขึ้น!
“วืด...”
เสียงที่ดังขึ้นคล้ายกับเสียงแมลงกระพือปีก ไม่นานก็เห็นดวงจันทร์กำลังแปรเปลี่ยนไป บัดนี้ได้กลายเป็มีดบินสีดำยาวประมาณสามฉื่อ ซึ่งกำลังลอยอยู่กลางอากาศ แสงจันทร์อันอ่อนนุ่มก็ได้สลายหายไป เหลือเพียงไอสังหารเข้มข้นที่แพร่กระจายอยู่เท่านั้น
ไอสังหารอันเข้มข้นกลายเป็หมอกควันดำจำนวนมากปกคลุมไปทั่วทั้งบริเวณ จากนั้นก็เกิดเป็ภาพนิติเทพสังหารฉายขึ้นมา ทันใดนั้นไอสังหารก็รวมตัวกันจนเกิดเป็มีดบิน พุ่งตรงมายังปากของเ้าอสุรกายร้ายทันที
ตาข้างหนึ่งของเ้าอสุรกายร้ายกระตุกขึ้น มันจึงรีบพ่นหมอกควันดำกลุ่มหนึ่งออกมา ทันทีทันใดหมอกควันดำก็รวมตัวกันจนกลายเป็กรงเล็บสามง่ามขนาดกว่าร้อยจ้างพุ่งเข้าต้านมีดบินเอาไว้
“ตู้ม!”
เมื่อสิ้นเสียงปะทะรุนแรง ก็มีเสียงแค่นเบาแว่วขึ้นมา บัดนี้ที่ใจกลางกรงเล็บได้ถูกมีดทะลวงจนเป็รูขนาดใหญ่ จากนั้นก็ะเิออกทันที กระทั่งกลายเป็หมอกควันดำและสลายหายไปในที่สุด จากนั้นมีดบินฮั่วอู๋ก็ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนที่จะมีไออสูรเข้มข้นปิดล้อมเ้าอสุรกายเอาไว้อย่างแ่า
เ้าอสุรกายร้ายหัวเราะออกมาน้อยๆ มันไม่คิดจะถอยหนีเลยแม้แต่นิดเดียว พริบตาถัดมามันก็สูดปากเพื่อกลืนกินมีดบินฮั่วอู๋เข้าไป
“ฮ่าๆ...” หลังเ้าอสุรกายกลืนกินมีดบินฮั่วอู๋เข้าไป มันก็เงยหน้าหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง สองมือก็เอาแต่ตบเข้าที่ท้อง
“ขอแค่กลืนกินดวงจันทร์นี้เข้าไป ข้าก็จะหนีออกจากที่นี่ได้อย่างสบาย...”
ทว่าหลังจากหัวเราะได้เพียงครู่เดียว เ้าอสุรกายร้ายก็ร้องโหยหวนขึ้นมาแทน มีรอยแตกจำนวนมากปรากฏขึ้นมาบนท้องของมัน จากนั้นไอสังหารอันเข้มข้นกำลังปะทุออกมา อีกทั้งยังมีอักขระสีดำมากมายสลายตัวออกมาจากรอยแตก
เ้าอสุรกายเอาแต่พ่นหมอกควันดำออกมาปกคลุมทั่วร่างไม่หยุด อักขระมากมายในตัวก็พลันปั่นป่วนขึ้น ไม่นานหมอกควันดำก็รวมตัวกันเป็โซ่ตรวนและกรงเล็บ พยายามไล่จับมีดบินฮั่วอู๋ที่พุ่งชนไปมา ทว่าน่าเสียดายที่ทุกครั้งที่เกิดการปะทะ กรงเล็บและโซ่ตรวนก็ถูกพุ่งชนจนแตกสลายทุกครั้งไป จนกลายเป็อักขระสีดำแทน...
เพียงไม่กี่อึดใจเท่านั้น ใบหน้าของเ้าอสุรกายร้ายก็พลันเขียวคล้ำลง มันรีบคายมีดบินฮั่วอู๋ออกมา จากนั้นมีดบินฮั่วอู๋ก็ลอยขึ้นไปกลายเป็ดวงจันทร์สีหม่นแดงตามเดิม…
เ้าอสุรกายตาลีตาเหลือกรีบอุดแผลตนเองทันที เพื่อสกัดกั้นไม่ให้อักขระในตัวไหลออกไปมากกว่านี้ จากนั้นก็รีบหลอมรวมอักขระที่แตกออกกลับเข้าร่าง
ไม่นานเ้าอสุรกายก็หดเล็กลง กระทั่งเตี้ยลงถึงสอง่หัวเลยทีเดียว แถมกลิ่นอายในตัวยังถดถอยลงไปมากอีกด้วย…
“บ้าจริง…” เ้าอสุรกายร้ายแทบจะหลั่งน้ำตาออกมาเลยทีเดียว มันคิดไม่ถึงเลยว่าดวงจันทร์นั่นจะกำเนิดมาจากหยวนหลิงของศาสตราวุธ นอกจากจะมีไอสังหารเข้มข้นแล้ว มันยังมีพลังอันกล้าแกร่งยิ่งกว่าตนเองอีกด้วย ปะทะเพียงครู่เดียวเท่านั้น มนต์สะกดก็ถูกทำลายไปถึงสองสาย…
ยังดีที่สติของหยวนหลิงได้ถูกลบล้างไปหมดแล้ว จึงเหลือเพียงการโต้ตอบตามธรรมชาติเท่านั้น ไม่เช่นนั้นละก็ เกรงว่าคงจะไม่ใช่แค่สูญเสียมนต์สะกดสองสายเท่านั้น แต่อาจถึงตายได้เลยทีเดียว…
‘ไม่อาจหาญจะมีเื่ด้วยจริงๆ…’
เ้าอสุรกายร้ายครุ่นคิดอยู่นาน สุดท้ายมันก็ไม่กล้าหาเื่ดวงจันทร์สีหม่นแดงอีก ‘ที่นี่ช่างประหลาดเหลือเกิน นอกจากอสุรกายสองตนที่ใกล้จะบรรลุเซียนแล้ว ยังมีหยวนหลิงศาสตราวุธที่กลายเป็ดวงจันทร์อีกด้วย ที่แห่งนี้มันคือที่ใดกันแน่?’
‘จริงสิ’
ขณะที่กำลังจะจากไป เ้าอสุรกายก็นึกอะไรบางอย่างออกมาได้เสียก่อน ‘ในเมื่อหยวนหลิงนี้ได้สูญสิ้นสติจนกลายเป็ดวงจันทร์ แล้วกายของมันเล่า?’
เมื่อคิดได้ดังนั้นภายในใจของเ้าอสุรกายก็กระตุกขึ้นทันที ‘แค่หยวนหลิงยังร้ายกาจถึงเพียงนี้ หากเป็กายเนื้อก็คงจะไม่แย่นัก…’
‘เพียงอาศัยสิงร่างก็ยังดี…’
‘ใช่แล้ว เอาแบบนี้ละกัน!’
ถึงอย่างไรนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรก!
ยิ่งคิดเ้าอสุรกายร้ายก็ยิ่งรู้สึกว่าวิธีนี้ไม่เลวเลยทีเดียว โดยปกติแล้วจุดที่มีศาสตราวุธอยู่จะต้องมีอักขระมากมายรายล้อมไว้อยู่ แถมยังมีลำแสงเจิดจ้าพวยพุ่งขึ้นมาอีกด้วย ที่เป็เช่นนี้ก็เพราะศาสตราวุธมีมนต์สะกดเทียนกังแฝงอยู่ และหากศาสตราวุธสูญเสียหยวนหลิงไป ก็จะไม่สามารถสะกดลำแสงและอักขระเหล่านี้ไว้ได้ สุดท้ายก็จะต้องพวยพุ่งออกมาเป็แน่ ‘สิ่งที่ต้องทำตอนนี้ก็แค่ลองหาดูเท่านั้น คงไม่ยากอะไร…’
“เดี๋ยวก่อนนะ นั่นมันอะไรกัน…” ชั่วขณะที่ครุ่นคิดอยู่นั้น จู่ๆเ้าอสุรกายก็เห็นว่าบริเวณใจกลางห้วงมิติมีกลิ่นอายโเี้บางอย่างพวยพุ่งขึ้นมา ต่อให้อยู่ห่างออกไปนับพันลี้ ก็สามารถได้ยินเสียงคำรามกึกก้องดังแว่วมา
‘ไม่หรอกมั้ง…’
‘จะโชคดีขนาดนี้เชียวหรือ?’
----------------------------------------------------------------------------------------------------