แม้จะบอกว่าวิกฤตนั้นคลี่คลายไปพอสมควรแล้ว ทว่าเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็ยังตั้งใจสูดจมูกอย่างเต็มที่ และเอ่ยเสียงสั่น “โชค โชคดีที่ข้าพานางออกมาได้เร็วหน่อย ยามนี้กินยาแล้วจึงสลบไสลไป คิดดูแล้วก็คงไม่ได้มีเื่ใหญ่โตอะไร ท่านแม่ท่านวางใจเถิด...”
พูดจบ เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็ยกมือขึ้นเช็ดน้ำมูกที่ไหลออกมาจากความทุ่มเทเกินไปของตน แล้วเกาหัวอย่างเก้อเขิน ฮูหยินเยี่ยนขานรับเสียงทุ้มต่ำ เมื่อนั้นจึงรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ นางมองเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเต็มตา แล้วส่งสายตาไปให้เ้าตัว “ถ้าหากไม่เป็อะไร แล้วเมื่อครู่ตอนที่ข้ากับสวี่ชิวเยวี่ยเข้ามาเ้าร้องไห้อะไรของเ้ากัน?”
...
ดั่งสายฟ้าฟาดกลางวันแสกๆ เป็สายฟ้าฟาดจริงๆ ! เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วตะลึงงันอยู่ตรงนั้น พลันไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี ในใจเอ่ยทอดถอนใจว่าการเล่นละครของตนนั้นเกินไปหน่อยจริงๆ ไม่เช่นนั้นก็คงไม่ถูกฮูหยินเยี่ยนจับพิรุธได้เร็วขนาดนี้หรอกจริงหรือไม่? แต่เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็ยังคงทำสีหน้าเรียบนิ่ง พร้อมกับยกมือขึ้นถูจมูก
“อ่า... อืม...” มุมปากของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วหยักยิ้มเล็กน้อยด้วยความกระอักกระอ่วน อ้อมแอ้มไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไร อือๆ อาๆ อยู่พักใหญ่ ในที่สุดจึงเอ่ยออกมาอีกครั้ง “เื่นี้... เื่นี้พูดไป พูดไปแล้วเื่มันยาว... เื่มันยาว ยาวมาก...”
“ยาว? เช่นนั้นเ้าก็พูดให้มันสั้นๆ ก็แล้วกัน” อารมณ์ในสีหน้าของฮูหยินเยี่ยนเปลี่ยนไปอีกครั้ง ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่อีกด้านหนึ่งพร้อมกับตบเบาๆ ที่เก้าอี้อีกตัวข้างกาย “ข้าเองก็ไม่รีบ บ่อนวันนี้... ข้าแพ้ยับเยิน และมันจบไปตั้งนานแล้ว ดังนั้นข้าเลยมีเวลาฟังเ้าพูดเื่ยืดยาวได้ ไม่ต้องรีบ ค่อยๆ เล่า”
“ท่าน ท่านแม่...” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วยิ้มเข้าสู้ พลางค่อยๆ เดินไปที่ข้างเก้าอี้อย่างช้าๆ แล้วจึงนั่งลงไปด้วย “นี่ไม่… นี่ไม่กลัวจะเสียเวลาของท่านหรืออย่างไร!”
“ข้าบอกแล้วไง วันนี้ข้าน่ะ มีเวลามากมายถมถืด!” ฮูหยินเยี่ยนสีหน้าเคร่งขรึม ในน้ำเสียงนั้นแฝงความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วใจคอไม่ดี พลันรู้สึกถึงแรงกดดันขึ้นมาอย่างมาก ข้างกายฮูหยินเยี่ยนยังมีสวี่ชิวเยวี่ยศัตรูตัวฉกาจผู้นั้นอยู่ด้วย จะให้การแสดงนี้ดำเนินไปเพียงครึ่งเดียว แล้วถูกบังคับให้จบลงเช่นนี้ไม่ได้ไม่ใช่หรือ?
มือของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อนั้น ยามนี้กำหมัดแน่น ภายในยังมีเหงื่อผุดออกมาโดยไม่รู้ตัว ราวกับกำลังถูกบีบรัดลำคอแห่งชะตากรรมเอาไว้...
ฮูหยินเยี่ยนนิ่งเงียบ ยกมือขึ้นหยิบกาน้ำชาที่วางอยู่บนโต๊ะเล็กด้านข้าง เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเห็นดังนั้นจึงรีบรับมา แล้วรินชาให้ฮูหยินเยี่ยนอย่างกระตือรือร้นยิ่ง ฮูหยินเยี่ยนมองเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วอย่างชมเชยเล็กน้อย แล้วจึงหลุบตาลง ประคองถ้วยชาไว้ที่ริมฝีปากแล้วค่อยๆ จิบ
“ชิวเยวี่ย...” ฮูหยินเยี่ยนดื่มชาเสร็จแล้วยังคงถือถ้วยชาเพื่อให้ความอบอุ่นในมือ ครู่หนึ่งสวี่ชิวเยวี่ยก็ขานรับ นางจึงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ข้าจำได้ว่าในคลังมีตำราพิชัยามากมายที่ลุงเขยของเ้าไม่ได้อ่านมานาน ทิ้งเอาไว้เป็เวลานานแล้ว ข้าเกรงว่ามันจะชื้นจนขึ้นราอยู่บ้าง ถือโอกาสที่วันนี้อากาศไม่เลว แสงแดดเองก็ดี เ้าจงนำพวกสาวใช้ไปช่วยนำหนังสือเ่าั้มาผึ่งแดดเถอะ พวกเขาทำงานสะเพร่าซุ่มซ่าม ข้าไม่วางใจ”
สายตาของฮูหยินเยี่ยนเคลื่อนไปยังใบหน้าของสวี่ชิวเยวี่ยอย่างเชื่องช้า แล้วเอ่ยอย่างนิ่งสงบเช่นนั้น สวี่ชิวเยวี่ยที่ถูกเปลี่ยนบทกะทันหัน ย่อมเกิดความตื่นตระหนกและสับสนเล็กน้อย นางรีบเอ่ยขึ้น “ท่านป้าข้า...”
ทว่าฮูหยินเยี่ยนนั้นไม่ให้โอกาสสวี่ชิวเยวี่ยได้แก้สถานการณ์เลยแม้แต่น้อย พลันเอ่ยขัดขึ้นทันที “รีบไปเถอะ หากยังชักช้าอยู่ ประเดี๋ยวแสงแดดจะลับหายไปเสียก่อน ถึงเวลาจะผึ่งหนังสือก็ไม่ทันการกันพอดี”
ตอนที่ฮูหยินเยี่ยนเอ่ยเช่นนั้น สายตาก็มุ่งตรงไปยังสวี่ชิวเยวี่ย ไม่ว่าสวี่ชิวเยวี่ยจะถือตัวว่าตนเป็คนโปรดแค่ไหน ก็คงจะเข้าใจว่านั่นหมายถึงคำขาดสุดท้าย คิดดูแล้วฮูหยินเยี่ยนนั้นเข้าใจอยู่แล้วว่าเื่นี้ไม่ได้ธรรมดาขนาดนั้น หากทำให้ฮูหยินเยี่ยนโมโหขึ้นมาจริงๆ น่ากลัวว่าสวี่ชิวเยวี่ยเองก็คงไม่ได้จบดีเช่นกัน
ถึงสายเืจะใกล้ชิดอย่างไร ก็คงไม่ใกล้ชิดไปกว่าบุตรที่ตนตั้งท้องสิบเดือน เดินผ่านประตูปรโลกคลอดออกมาเองหรอก
สวี่ชิวเยวี่ยรู้ดีว่าฮูหยินเยี่ยนกำลังเตือนสติตน อย่าเร่งเอาแต่ผลลัพธ์ ระวังเพียงหันกลับมาจะไม่มีหนทางให้ไปต่อ... คิดถึงตรงนี้ สวี่ชิวเยวี่ยจึงไม่เอ่ยอะไรอีก นางเพียงค้อมศีรษะให้กับฮูหยินเยี่ยน แล้วเอ่ยตอบรับเบาๆ “เ้าค่ะ ชิวเยวี่ยจะไปเดี๋ยวนี้”
พูดจบ ก็เหลือบมองเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วอีกครั้ง แล้วรีบถอยออกไปทันที
เมื่อมองส่งสวี่ชิวเยวี่ยออกจากห้องไปอย่างเชื่องช้า ในที่สุดฮูหยินเยี่ยนจึงวางถ้วยชาในมือลงด้านข้าง จากนั้นจึงวางมือสองข้างประสานไว้ที่หน้าตัก เหลือบมองเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเล็กน้อย เอ่ยขึ้นอย่างเรียบเฉย “เอาล่ะ ตอนนี้ก็เหลืออยู่แค่พวกเราสองคนแม่ลูกแล้ว เ้าบอกข้ามาเสีย ว่าเมียเ้าผู้นั้น อาการเป็เช่นไรกันแน่?”
เมื่อได้ยินฮูหยินเยี่ยนเอ่ยขึ้นมาเช่นนั้น เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเด็กเ้าเล่ห์ผู้นี้ก็เข้าใจที่มาที่ไปของเื่แล้ว หากคิดที่จะหลอกลวงฮูหยินเยี่ยนต่อไปย่อมเป็ไปไม่ได้อย่างสิ้นเชิง สู้ยอมรับสารภาพโทษหนักจะได้เป็เบาเสียยังดีกว่า โดยหวังว่ามารดาของตนจะเห็นแก่ความสัมพันธ์สายเื แล้วยอมผ่อนปรนให้ตน
เมื่อคิดเช่นนั้น เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเองก็ปล่อยไปเลยตามเลย “ไอ้หยา อย่างที่คิดไม่มีอะไรรอดพ้นสายตาของท่านแม่ไปได้จริงๆ ฮี่ฮี่~” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วหัวเราะฮิฮิ แล้วจึงรินชาดื่มด้วยเช่นกัน “ที่จริงแล้ว เยียนหรานไม่ได้เป็หอบหืดอะไรหรอก เพียงแต่ข้าทนเห็นสวี่ชิวเยวี่ยเอาแต่รังแกนางตลอดไม่ได้ ข้าไม่อาจนั่งอยู่เฉยๆ ไม่สนใจไยดีได้หรอก”
“เพื่อนางแล้ว เ้าจึงแข็งข้อกับข้าหรือ? ทั้งยังทะเลาะเอะอะกับคนของเราที่ศาลบรรพชนอีก?” ฮูหยินเยี่ยนตวัดสายตาไป รู้สึกเหมือนแทบจะมีมีดบินออกมา “บรรพบุรุษต่างมองดูอยู่นะ เ้า รู้จักบันยะบันยังบ้างหรือไม่?”
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วพยักหน้าอย่างไม่ได้รับความเป็ธรรมเล็กน้อย เอ่ย “ข้ารู้ผิดแล้ว ท่านแม่ ได้ยินว่า่นี้ท่านไม่ได้ดั่งใจกับโต๊ะไพ่นัก อวิ๋นหลิ่วไม่มีอะไรจะช่วยท่านได้ สู้ ชดเชยให้กับเงินพวกนั้นที่ท่านแม่เสียไปยังดีกว่า ท่านเห็นว่าอย่างไรบ้าง?” แม้จะบอกว่าไม่มีใครรู้จักลูกสาวดีไปกว่ามารดา ทว่าคำพูดนี้ในทางกลับกันเองก็ใช้ได้เหมือนกัน
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเป็ลูกสาวของฮูหยินเยี่ยนมาหลายปีดีดัก ย่อมรู้ว่าสิ่งที่ฮูหยินเยี่ยนสนใจที่สุดหรือจะเรียกว่าเป็จุดที่ถูกโน้มน้าวได้ง่ายที่สุดนั้นคืออะไรอยู่แล้ว พูดจบ เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็ยิ้มยิงฟันอีกครั้ง “ขอร้องท่านแม่ ช่วยละเว้นข้ากับเยียนหรานครั้งนี้สักครั้งเถิด นะเ้าคะ นะเ้าคะ?”
“ก็ได้ ก็ได้! อย่ามาทำปากมันลิ้นลื่น [1] กับข้าน่า...” แน่นอนว่าฮูหยินเยี่ยนในยามนี้เบาโทสะลงไปแล้ว เพียงแต่ปัญหาเื่สถานะของ ‘เยวี่ยเยียนหราน’ ผู้นี้ ยังคอยรังควานอยู่ในใจของฮูหยินเยี่ยนตลอด ไม่ว่าอย่างไรก็สลัดออกไปไม่ได้แม้ชั่วขณะเดียว นางตวัดสายตาสำรวจเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเล็กน้อย แล้วจึงเอ่ยเตือนอีกครั้ง “เ้าต้องจำเอาไว้นะ เ้ากับนางเป็สตรี และนางก็เป็พี่สะใภ้โดยชอบธรรมของเ้า...”
“รู้แล้วๆ ท่านแม่จะพูดเื่พวกนี้ขึ้นมาอีกทำไมกัน... ข้าเข้าใจ ข้าเข้าใจทุกอย่าง!” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วได้ยินฮูหยินเยี่ยนเอ่ยคำพูดเหล่านี้ ฟังไปฟังมาหลายรอบจนหูด้านหูชาหมดแล้ว ไม่อยากจะฟังมากไปกว่านี้อีกแล้ว
ยิ่งกว่านั้น เดิมทีเยวี่ยเจาหรานก็ไม่ใช่พี่สะใภ้ของตนเสียหน่อย แถมไม่ได้เป็สตรีเหมือนกันเลยด้วยซ้ำ แม้คำพูดนี้จะยังไม่อาจพูดกับฮูหยินเยี่ยนได้ในตอนนี้ แต่มันต้องมีสักวันล่ะนะ... ต้องมีสักวันที่สามารถทำได้แน่
“แม้จะบอกว่าผ่อนผันโทษหนักได้ แต่การกระทำของพวกเ้าในวันนี้ ก็ยังนับว่ากำแหงอวดดีจริงๆ ประเดี๋ยวรอนางเล่นละครครั้งนี้จบแล้ว เ้าก็ไปคุกเข่าที่ศาลบรรพชนด้วยกันกับนาง ไม่มากไม่น้อย คุกเข่าสักหนึ่งชั่วยามก็พอแล้ว จะได้หลาบจำ! เข้าใจหรือไม่?”
ฮูหยินเยี่ยนพูดพลางลุกขึ้นยืน นางจิ้มที่หน้าผากเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วอีกที แล้วจึงเดินจากไป
เชิงอรรถ
[1] ปากมันลิ้นลื่น (油嘴滑舌) หมายถึง กะล่อน พูดเหลวไหลเฉไฉไปเรื่อย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้