หลินลั่วหรานและเหวินกวนจิ่งนั่งอยู่บนแผ่นหลังของเสี่ยวจินไม่นานนักก็เดินทางมาจนถึงอีกฝั่งโดยได้รับความร่วมมือจากหลีซีเอ๋อร์และทุกคน
เดิมทีเวลาที่เหลืออยู่ก็มีไม่มากนักหลินลั่วหรานคิดว่าเหวินกวนจิ่งน่าจะพาทุกคนตรงไปยังทางออกใครจะรู้ว่าเขาดึงเธอมาอยู่ข้างกาย ก่อนจะกระซิบออกมา
“ให้พวกเขาออกไปรอที่ทางออกก่อน?” หลินลั่วหรานขมวดคิ้วเข้าหากัน ถ้าหากบอกว่าในสถานที่นี้มีโอกาสดีๆ อยู่ การที่เธอได้พบกับท่านเทพป๋ายด้วยระดับการฝึกของเธอในตอนนี้ มันเป็เื่ที่ดีที่สุดแล้วหากให้เสี่ยงไปสถานที่ที่เขาบอกอีก ดูเหมือนว่าจะได้ไม่คุ้มเสีย
เหวินกวนจิ่งเองก็รู้ว่าคำขอนี้ทำให้คนอื่นลำบากใจแต่ว่าในทีมนอกจากหลินลั่วหรานแล้วก็ไม่มีใครสามารถไปที่นั่นกับเขาได้เหวินกวนจิ่งถึงได้บากหน้ามาขอเธอ
ถ้าหากว่าเป็คนอื่นมาขอร้องก็คงจะปฏิเสธไปแล้วแต่เพราะไม่ว่าอย่างไร หลินลั่วหรานก็ไม่อาจหนีไปจากวงสังคมมนุษย์ได้ออกจากที่นี่ไปก็ยังต้องเจอกับเื่ต่างๆ อีกมากเหวินกวนจิ่งเองก็ถือเป็คนที่ค่อนข้างมีอิทธิพลในหน่วยพิเศษดังนั้นการช่วยเขานั้น...ดูเหมือนว่าจะเป็เื่ดีมากกว่าเื่ร้ายใช่ไหมเล่า?
เมื่อคิดถึงผลที่จะได้รับแล้วหลินลั่วหรานก็บอกกับหลีซีเอ๋อร์ว่าให้พวกเธอไปรอที่หน้าทางออก หลายวันที่ผ่านมาหลีซีเอ๋อร์ถูกขัดเกลาไปเยอะจึงไม่ใช่เด็กสาวไร้เดียงสาไม่รู้เื่รู้ราวอะไรอีกต่อไปแล้วดังนั้นเธอจึงค่อนข้างเข้าใจว่าพวกหลินลั่วหรานจะต้องมีเื่อะไรบางอย่างจึงต้องแยกตัวออกไปอย่างแน่นอนถ้าเธอออกไปรอที่หน้าทางออกกับพวกรุ่นพี่ ไปเป็เงาติดตามตัวพวกเขาถูกปกป้องอย่างดี แล้วการมาในครั้งนี้จะทำไปเพื่ออะไรกัน?
ตอนแรกเหวินกวนจิ่งคิดว่าต้องบ่นหรือใช้เวลาสักพักถึงจะทำให้พวกรุ่นน้องยอมขยับตัวไปใครจะรู้ว่า่วัยรุ่นแบบนี้เป็วัยที่กำลังรักการเสี่ยงอันตรายการที่เหวินกวนจิ่งอยู่กับพวกเขาแม้จะปลอดภัยแต่กลับทำให้ความสนุกสนานของความเสี่ยงนั้นหายไปตอนนี้พวกเขากำลังจะได้หลุดออกจาก “ผู้เฝ้าระวัง” แล้วไปสำรวจสถานที่ลึกลับแห่งนี้!
หลินลั่วหรานเห็นพวกวัยรุ่นในทีมพากันดีใจจนปกปิดเอาไว้ไม่มิดเธอได้แต่ส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้ พวกเขาคงถูกดูแลมาดีเกินไปถ้าหากได้เจออะไรแบบที่เธอเจอในถ้ำค้างคาวก็คงจะเริ่มเข้าใจอะไรขึ้นมาบ้างล่ะมั้ง?
แต่ว่า...นี่ไม่ใช่หนึ่งในเหตุผลที่มาที่นี่เหรอ? ทำให้นักปราชญ์หนุ่มสาวเ่าั้ได้เติบโตได้รวดเร็วขึ้น
เมื่อคิดได้เช่นนั้น หลินลั่วหรานก็ยังกังวลอยู่ดีว่าหลีซีเอ๋อร์จะต้องลำบากเธอรอจนพวกวัยรุ่นที่ไม่รู้เื่อะไรเดินออกไปไกลก่อนจะสั่งให้เสี่ยวจินตามอยู่ด้านหลัง ก่อนจะได้พบกับเธอผู้เป็นายอีกครั้งให้ทำตัวเป็ผู้ดูแลลับๆ เอาไว้
เหวินกวนจิ่งมองทุกอย่างอยู่ในสายตาแต่ไม่ได้พูดอะไรความประทับใจที่มีต่อหลินลั่วหรานนั้นค่อยๆ เปลี่ยนไปหลังจากที่ได้รู้จักกันดูเหมือนว่าทุกๆ ครั้งที่ได้พบเธอ จะให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันไปทำให้รู้สึกน่าสนใจขึ้นมา... เหวินกวนจิ่งไม่รู้ว่านี่คือข้อดีหรือไม่ดีเขาได้แต่ยิ้มขึ้นในใจ ก่อนจะจัดการโยนความโลเลพวกนี้ทิ้งไว้ด้านหลัง
“รุ่นพี่เหวินที่ที่พูดถึงอยู่ใต้แม่น้ำนี้ใช่ไหม?” หลินลั่วหรานคิดถึงสิ่งที่เขาพูดเอาไว้ก่อนหน้าอดถามขึ้นมาไม่ได้
เหวินกวนจิ่งพยักหน้าลง “อยู่ใต้แม่น้ำนี่แหละแต่ว่าไม่ใช่ตรงนี้” พูดจบเขาก็นำแผนที่หนังแกะออกมาหลินลั่วหรานรู้ทันทีว่านี่คือสิ่งที่หลายๆ ประเทศต่าง้าแย่งชิงดูแล้วไม่เห็นมีอะไรที่แปลกตาเลย เป็เพียงม้วนหนังแกะขาดๆ เท่านั้น
ดูเหมือนเหวินกวนจิ่งกำลังมองไปรอบๆเพื่อดูสถานที่ ผ่านไปสักพักถึงได้เก็บแผนที่หนังแกะลง แล้วเดินนำหลินลั่วหรานออกไป
หลินลั่วหรานเดินตามหลังมาเงียบๆหากสถานที่ที่เหวินกวนจิ่งอยากไปนั้นอยู่ใต้แม่น้ำนี่จริงเขาก็พาพวกคนที่ตามติดมาทางนี้ตลอด ถ้าหากไม่ปรากฏตัวออกมาก็มีหนทางที่จะกลับออกไป เพียงแต่ไม่รู้ว่าเขาเคยคิดที่จะหลอกให้เหล่ารุ่นน้องลงไปในน้ำแล้วตัวเองก็ทำเหมือนว่าดำน้ำลงไปแต่ความจริงคือกำลังหาสมบัติอยู่หรือเปล่า?
ทั้งสองต่างจมอยู่กับความคิดของตัวเองเมื่อเป็แบบนี้ก็ทำให้รู้สึกอึดอัดแปลกๆ ขึ้นมา โชคดีที่เดินทางไม่ถึงชั่วโมงเหวินกวนจิ่งก็ดูเหมือนว่าจะเจอที่ที่ตามหาแล้ว เขาชี้ไปที่ส่วนหนึ่งของแม่น้ำก่อนจะพูดออกมา “ด้านหลังนี่แหละ”
หลินลั่วหรานไม่ได้พูดอะไรมาก สำหรับนักปราชญ์ระดับฝึกลมปราณตอนปลายที่มีพลังธาตุน้ำแล้ว“ศาสตร์แยกน้ำ” นั้นเป็เพียงเวทง่ายๆบทหนึ่ง เพียงแต่ขนาดที่พื้นที่ที่จะสามารถทำได้นั้นขึ้นอยู่กับการฝึกของแต่ละคน
เวทของหลินลั่วหรานถูกร่ายจนจบ ก่อนจะะโออกมา “เปิดออก!” จากนั้น น้ำที่ไหลเชี่ยวในแม่น้ำก็ค่อยๆ แยกออกจากกันแล้วเกิดเป็อุโมงค์ขนาดหนึ่งคนเดินขึ้นมา แม้จะเป็ชายฝั่งแต่แม่น้ำนี้ก็มีความลึกกว่าสิบเมตร อีกทั้งแม่น้ำยังไหลเชี่ยวผสมรวมกันกับเม็ดทราย มันจึงเป็อุปสรรคชิ้นใหญ่เลยทีเดียวหลินลั่วหรานขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย ก่อนจะเพิ่มการส่งพลังให้มากขึ้นหลังจากผ่านไปสักพัก ในที่สุดก็สามารถสร้างอุโมงค์จนตลอดรอดฝั่งได้และปรากฏแท่นหินปูนขึ้นมา
“ที่นี่ล่ะ!” ใบหน้าที่ไร้อารมณ์อยู่เสมอของเหวินกวนจิ่งเต็มไปด้วยความดีใจนั่นทำให้เห็นแล้วว่า ที่ที่เขา้าจะไปนั้น มีความสำคัญมากเพียงใด
หลินลั่วหรานพยักหน้าลง “พวกเราลงไปกันเถอะรุ่นพี่”
ทั้งสองต่างพากันะโลงไปโดยไม่ได้สนใจดินโคลนที่เปรอะเปื้อน ด้วยศาสตร์น้ำที่ยังไม่ได้คลายออกพวกเข้าจึงรีบเข้าไปยังอุโมงค์แท่นหิน
ทันทีที่หลินลั่วหรานก้าวเท้าเข้ามาน้ำในแม่น้ำก็กลับมาเป็เหมือนเดิมอีกครั้ง ในแม่น้ำที่กว้างใหญ่อีกทั้งยังมีคลื่นมาเป็ระลอก สำหรับมันแล้วดูปกติเสียเหลือเกินดูไม่ออกเลยสักนิดว่าเคยมีคนลงไปใต้ล่าง
หลินลั่วหรานคิดว่าสถานที่ที่ถูกซ่อนเอาไว้ด้านล่างนี้จะต้องเปียกแฉะและมืดมิดแต่ใครจะรู้ว่าเมื่อดันประตูหินผุพังนั่นออกสิ่งที่ปรากฏขึ้นต่อหน้าของเธอจะเป็เส้นทางหินที่เปล่งประกายไปด้วยแสงที่ดูอบอุ่นสวยงามเส้นหนึ่ง
้าถูกฝังด้วยไข่มุกที่มีขนาดใหญ่ราวๆ กำปั้นไม่รู้ว่าฝังเอาไว้กี่ปีแล้ว มันคอยเปล่งแสงอ่อนๆ ออกมาภายนอกอยู่เสมอ
เส้นทางหินนั้นสะอาดสดใสกำแพงทั้งสองข้างประดับไปด้วยรูปภาพที่สลักอยู่บนผนัง มันดูเรียบง่ายแต่กลับเจิดจรัสสวยงาม แม้แต่เหวินกวนจิ่งที่จิตใจร้อนรนอยากจะเข้าไปเอาของยังอดที่จะหยุดฝีเท้าที่เร่งรีบลงแล้วพิจารณารูปภาพบนกำแพงเ่าั้ไม่ได้
รูปแรกนั้นคือยอดเขาหลายยอดถูกเมฆหมอกปกคลุมไปทั่วอีกทั้งยังมีราชวังโบราณมากมาย มีทั้งคนที่สวมชุดโบราณนั่งอยู่สบายๆหรือแม่น้ำที่ไหลสงบ โดยเฉพาะคนที่สวมชุดคลุมยาวยืนเหาะเหินอยู่บนดาบบิน...ยิ่งมองเท่าไรหลินลั่วหรานก็ยิ่งรู้สึกคุ้นตาเมื่อมองท่าทางของเหวินกวนจิ่งที่กำลังลูบไล้มือสั่นๆ ลงไปบนภาพเ่าั้ความคิดหนึ่งก็แล่นขึ้นมาก่อนที่เธอจะรู้ได้ในทันที
ยอดเขาที่ดูงดงามแปลกตาในรูปภาพพวกนี้คือยอดเขาที่ถูกปกปิดเอาไว้ตอนที่กักเก็บน้ำไม่ใช่เหรอ?
“นี่คือ...” หลินลั่วหรานรู้สึกประหลาดใจมาก จึงพูดออกมาอย่างอดไม่ได้
ราวกับรู้ว่าเธอไม่เข้าใจอะไรเหวินกวนจิ่งเรียกสติกลับมา ก่อนจะฝืนยิ้มขึ้น “เธอเดาถูกแล้วยอดเขาพวกนี้คือวัดเขาชู่ชานในสมัยก่อน”
วัดเขา? หลินลั่วหรานเข้าใจขึ้นมาทันทีที่แท้ก็เป็สำนักฝึกศาสตร์นี่เอง แถมยังอนุญาตให้ทางรัฐบาลเข้ามาเก็บน้ำได้คนฝึกศาสตร์ใจกว้างขนาดนี้ั้แ่เมื่อไร?
ความอ้างว้างปรากฏขึ้นในแววตาของเหวินกวนจิ่งเขาอธิบายออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เมื่อก่อนเขาชู่ชานนั้นรุ่งเรืองมากมีชื่อเสียงมากมาย แต่การหายไปของนักปราชญ์ทำให้โลกของการฝึกศาสตร์ล่มสลาย...จนมาถึงทุกวันนี้นักท่องเที่ยวเดินทางมาจนเต็มเขาสูงหากยังใช้ยอดเขาพวกนี้ทำเป็สำนักก็คงเหมือนกับการรังแกคนอื่นหรือแม้จะไม่ได้มีเื่ภายในเกิดขึ้น เขาชู่ชานเองก็คงจะทำเสียเื่ใหญ่เพียงเพราะเื่เล็กๆไม่ได้ ดังนั้นก็เลยออกมาแล้ว”
แม้ว่าน้ำเสียงของเหวินกวนจิ่งจะดูไม่ได้คิดอะไรมากแต่หลินลั่วหรานกลับรู้สึกได้ถึงความลำบากใจ แม้แต่สำนักวัดยังให้ออกมาแม้จะต้องทรมานเศร้าใจมากเท่าไร แต่ก็ต้องอยู่บนความชอบธรรม เมื่อพูดแล้วก็น่าอายหลินลั่วหรานจึงพูดออกมาไปตามน้ำ “รู้ั้แ่แรกแล้วว่าที่นี่เป็ราชวังของบรรพบุรุษเขาชู่ชานเหรอ?” การที่เหวินกวนจิ่งเข้ามาที่นี่นั้น น่าจะแค่ราชวังนี่หรือเปล่า?
หลินลั่วหรานรู้สึกว่าการที่เธอเข้ามากับเขานั้นทำให้เธอเหมือนมีลมเย็นพัดอยู่ที่แผ่นหลัง ถ้าหากไปรู้ความลับอะไรของสำนักคนอื่นโดยไม่ระวังก็คงไม่ใช่เื่ที่ดีนักใช่ไหม?
เหวินกวนจิ่งส่ายหน้า “ถ้าหากว่ารู้เื่ที่นี่ก่อนคนในตระกูลเหวินก็คงไม่ได้มีแค่ฉันที่เข้ามาหรอก”
หลินลั่วหรานเองก็ไม่รู้ว่าเขาพูดจริงหรือเปล่า และก็ไม่ได้ถามอะไรต่อเพียงแต่เมื่อหันไปดูที่รูปต่อไปกลับถูกรูปภาพในนั้นทำให้ใบหน้าเต็มไปด้วยตื่นตระหนกและไม่มั่นคง!