“บทกวีอะไรหรือ ส่งมาให้เปิ่นหวางดูหน่อยซิ” เดิมทีเฟิงเจวี๋ยเหล่ยก็ชมชอบโคลงกลอนบทกวีอยู่แล้ว เมื่อได้ยินพวกเขาสองคนเอ่ยถึงความงดงามของบทกวีก็เกิดสนใจขึ้นมา จึงเอ่ยปากขอดูบทกลอนที่เพิ่งถูกส่งไปถึงมือของคุณชายฉิน
คุณชายฉินปวดเศียรเวียนเกล้าอย่างหนัก ดั่งรับเผือกร้อนมาถือไว้ในมือ จะดูก็ไม่ได้ ไม่ดูก็ไม่ได้ นึกอยู่ว่าหากอ่านแล้วจะวิจารณ์ออกไปอย่างไรดี ขณะที่กำลังลำบากใจเยี่ยนอ๋องเผยพระประสงค์ว่า้าดูพอดี จึงรีบลุกขึ้นแล้วนำขึ้นถวายด้วยความนอบน้อม
เฟิงเจวี๋ยเหล่ยมิได้คิดสิ่งใดมากมายนัก รับมาแล้วก็อ่านออกเสียงเบาๆ
“กระโปรงน้องปักลายผีเสื้อคู่ โฉมตรูงามหน้าแฉล้มพวงแก้มใส
พิรุณโปรยยืนเปลี่ยวอยู่เดียวดาย ตั้งใจหมายรอนางแอ่นคืนรวงรัง”
หลังอ่านจบก็วางบทกวีลงดวงตาเผยแววยิ้ม “ไม่เลว เงียบเหงาเดียวดายในหอห้อง เมียงมองนางแอ่นกลับรวงรัง เพลินพิรุณพราวพร่างอยู่เดียวดาย นวลอนงค์หน้าใสไร้ชาดแต้ม อาภรณ์พลิ้วลิ่วลมลอองาม กลอนบทนี้มีสีสัน ไม่ผิดดังที่น้องแปดกับโหยวซื่อจื่อกล่าวไว้จริงๆ”
เดิมทีก็เป็เพียงบทกลอนที่กล่าวถึงหญิงสาวในห้องหอธรรมดาทั่วไป แต่เมื่อได้รับการขยายความจากเยี่ยนอ๋องเช่นนี้ สีหน้าของคุณชายหลายคนก็อมยิ้มเข้าใจความหมายของอีกฝ่ายทันใด
คุณหนูสกุลไหนหนอ... เขียนบทกวีที่มีเนื้อหาเต็มไปด้วยความวาบหวามเช่นนี้ ช่างไม่มีความเป็กุลสตรีเอาเสียเลย
“เห็นหรือไม่ เสด็จพี่สามก็ยังชมว่าดี เปิ่นหวางก็รู้สึกเช่นนั้น ขนาดสาวๆ ในหอหงซิ่วเจายังไม่มีใครแต่งบทกวีที่ร้อนแรงเช่นนี้ได้สักคน สมควรให้ชนะที่หนึ่งไปเลยด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าคุณหนูเ้าของบทกวีจะงดงามสักเพียงไหนหนอ เสด็จพี่สามช่วยดูหน่อยเถิดว่ามีทำสัญลักษณ์อันใดไว้บ้างหรือไม่ บทกวีแบบนี้คงมีแต่หญิงงามเท่านั้นที่จะเขียนออกมาได้” เฟิงเจวี๋ยหร่านยิ้มพราย โบกมือให้โหยวเยวี่ยเฉิงแสดงให้รู้ว่าตนเองมิได้นำพาอันใด แล้วหันมาพูดกับเฟิงเจวี๋ยเหล่ยอย่างคึกคะนอง
นำบทกวีของสตรีในห้องไปเปรียบเทียบกับบทกลอนวาบหวามที่หญิงนางโลมในหอหงซิ่วเจาเป็ผู้แต่ง ทั้งยังบอกว่าจะให้ชนะที่หนึ่งอีก เดิมทีก็ยังมองว่าเป็บทกลอนที่ใช้ได้บทหนึ่ง แต่พอเฟิงเจวี๋ยหร่านพูดออกมาแต่ละคำไม่ได้มีความรู้สึกให้เกียรติหญิงสาวในห้องหอแม้แต่น้อย ฟังจากความหมายของเขาแล้วยังคิดจะไปดูหน้าค่าตาคุณหนูเ้าของกลอนอีกด้วย ครานี้ไม่เพียงแต่คุณชายฉินที่ตื่นตะลึง แม้แต่เฟิงเจวี๋ยเหล่ยก็ยังอึ้ง กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ทุกคนในที่นี้ต่างเป็คุณชายในสกุลผู้ดี เขาเป็ถึงเชื้อพระวงศ์จะเอ่ยวาจาทำให้ชื่อเสียงของคุณหนูคนหนึ่งต้องด่างพร้อยได้อย่างไร ตอนแรกเฟิงเจวี๋ยเหล่ยก็แค่นึกสนุก ยามนี้ก็รู้สึกว่าทำตัวไม่ถูกแล้ว จึงโยนบทกวีที่ถืออยู่ให้ขันทีด้านข้าง แล้วบอกให้เขาส่งต่อไปให้ผู้อื่นดู
ท่ามกลางสายตาของคุณชายสกุลสูงทั้งหลายจะให้พระอนุชาของตนเองทำขายหน้าไม่ได้เด็ดขาด แต่ถ้าทำให้เฟิงเจวี๋ยหร่านเสียหน้าก็เท่ากับว่าราชวงศ์ได้รับความอัปยศไปด้วย แล้วตนเองจะยังเชิดหน้าชูตาได้อย่างไร ขันทีที่รับใช้ข้างกายเป็คนคล่องแคล่วหัวไว ค้อมเอวแล้วรีบถอยออกไป
“น้องแปดได้ยินว่าเ้าจะสร้างเรือนิเยวี่ยที่มีลักษณะคล้ายกับเรื่อนจิ่นเวยขึ้นมาอีกเรือนหนึ่ง ด้านในมีูเาหิน สระบัวและสะพานข้าม ทั้งยังปลูกดอกเหมยสองสีล้ำค่าอีกด้วย เกิดอะไรขึ้นเล่า หรือว่าไม่อยากอยู่เรือนชิงเวยแล้ว” เฟิงเจวี๋ยเหล่ยยิ้มบางๆ ก่อนยกน้ำชาขึ้นดื่ม แล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
ใครๆ ก็รู้ว่าเซวียนอ๋องย้ายเข้ามาอยู่ในเรือนจิ่นเวยเพราะแค่นึกสนุก คิดไม่ถึงว่าถูกจักรพรรดิสั่งกักบริเวณยังไม่ถึงสองวันก็คิดย้ายเรือนอีกแล้ว สมกับเป็อ๋องเ้าสำราญผู้ใช้ชีวิตฟุ่มเฟือยหรูหราโดยแท้
เมื่อเห็นพระเชษฐากล่าวถึงจวนของตนเอง แววตาดื้อรั้นเอาแต่ใจพลันทอประกายคล้ายพบเื่สนุก จนลืมเื่ก่อนหน้านั้นไปจนหมดสิ้น รีบเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ “เรือนิเยวี่ยที่เสด็จพี่สามเอ่ยถึงยังไม่แล้วเสร็จ ใจข้าอยากเข้าไปอยู่จะตายอยู่แล้ว แต่ต้นเหมยในจวนข้านี่สิ ยังดูหรอมแหรมเกินไป เสด็จพี่... ช่วยไปกราบทูลขอเสด็จพ่อให้ย้ายต้นเหมยในจวนเก่าจิ้นอ๋องมาให้น้องชายสักสองสามต้นจะได้หรือไม่”
เื่จิ้นอ๋องก่อฏชิงบัลลังก์แม้จะผ่านมาสามสิบกว่าปีแล้ว แต่ทุกคนต่างทราบดีว่าจักรพรรดิจงเหวินตี้ยังทรงหวาดระแวงมาจนถึงบัดนี้ ใครจะกล้าเอ่ยถึงจวนเก่าจิ้นอ๋องซึ่งเป็เหมือนหนามตำพระทัยองค์เหนือหัวให้เคราะห์ร้ายหล่นลงมาบนหัวอย่างไม่กลัวเกรงเหมือนเซวียนอ๋องผู้นี้บ้างเล่า
ช่างขวัญกล้ายิ่งนัก! ทุกคนต่างส่ายหน้าอยู่ในใจ แต่กลับไม่เผยความรู้สึกออกมา แต่ก็ยังคงเงี่ยหูฟังองค์ชายสองพี่น้องคู่นี้ต่อไปอย่างใจจดจ่อ
“น้องแปดเข้าใจล้อเล่น เื่เช่นนั้นพี่จะกล้ากราบทูลเสนอได้อย่างไร มิถูกเสด็จพ่อด่าเปิงเอาหรือ ช่างเถอะ หากน้องแปดชอบ ที่จวนอ๋องของพี่ก็มีเหมยสองสีล้ำค่าอยู่สองสามต้น เดี๋ยวจะให้คนส่งไปให้น้องแปดดีหรือไม่” เฟิงเจวี๋ยเหล่ยมองเฟิงเจวี๋ยหร่านพลางจิบสุรา แล้วเสนอความคิดขึ้น
“เช่นนั้นน้องชายก็ต้องขอบพระทัยเสด็จพี่เป็อย่างยิ่ง หากเรือนิเยวี่ยแล้วเสร็จ สามารถชมจันทราและความงดงามยามราตรีได้เมื่อไร ถึงเวลานั้นข้าจะเชิญเสด็จพี่ทั้งสองพระองค์มาร่วมงานเลี้ยง พวกเราพี่น้องจะได้เชิญหญิงงามมาร่วมร่ายรำให้สำราญใจ เสด็จพี่ใหญ่ว่าดีหรือไม่” เฟิงเจวี๋ยหร่านยิ้มกว้าง ดวงตาเป็ประกาย
เชิญหญิงงามมาร่วมร่ายรำ? เอ่ยวาจาเช่นนี้ต่อหน้าผู้คนมากมาย เขายังคิดถึงหน้าตาของราชวงศ์บ้างหรือไม่
“ถึงเวลาค่อยว่ากันเถิด หากมีโอกาสคงได้ไปเยี่ยมเยือนน้องแปดถึงจวนอย่างแน่นอน” เฟิงเจวี๋ยเสวียนหัวเราะเสียงดังกลบเกลื่อน
“ใช่แล้วๆ หากมีโอกาสข้ากับพี่ใหญ่ต้องไปแน่นอน” เฟิงเจวี๋ยเสวียนมิได้แสดงสีหน้าลำบากใจ เอื้อมมือไปลากเฟิงเจวี๋ยเสวียนเข้ามาด้วยกัน แต่ทุกคนก็รู้อยู่แก่ใจ ทั้งสองต่างมีงานสำคัญไหนเลยจะมีเวลาไร้สาระเช่นเฟิงเจวี๋ยหร่านได้
ในขณะที่องค์ชายสามพระองค์กำลังพูดคุยกัน บทกวีของเหล่าคุณหนูก็ถูกเก็บกลับคืนไป โดยมีขันทีนำใส่ไว้ในกล่องหุ้มแพร ก่อนส่งไปยังเกาะด้านขวา
โม่เสวี่ยถงรู้จักคนไม่มาก ไม่เหมือนกับโม่เสวี่ยิ่ที่พูดคุยกับคนรอบข้างอยู่เป็พักๆ ดังนั้นจึงทำเพียงนั่งมองสตรีที่หน้าตายิ้มแย้มท่ามกลางวงล้อมของผู้คนอยู่เงียบๆ บัดนี้งานเลี้ยงดำเนินมาพอสมควรแล้ว เหล่าคุณหนูที่ทำการแสดงต่างถอยออกไปแล้วไปจับกลุ่มพูดคุยกัน เสียงกระซิบกระซาบระคนเสียงหัวเราะดังมาเป็ระยะ
ไม่เสวี่ยถงไม่ค่อยรู้จักผู้ใด จึงนั่งชมทิวทัศน์อยู่เพียงลำพัง มีนางกำนัลมารินน้ำชาให้ ขณะที่รับถ้วยมาก็รู้สึกว่าถูกสะกิด โม่เสวี่ยถงเงยหน้ามองอย่างงุนงง เห็นนางกำนัลผู้นั้นขยิบตาให้เป็การบอกใบ้ว่าให้ตามออกไป
นางมองไปโดยรอบ ทุกคนต่างสนใจอยู่กับการจับกลุ่มพูดคุย จุดที่นางอยู่เป็มุมอับที่ไม่สะดุดตา จึงวางถ้วยชาลงแล้วลุกขึ้นตามนางกำนัลผู้นั้นไปอีกด้านหนึ่งอย่างเงียบเชียบ ส่วนโม่เสวี่ยิ่กำลังพูดคุยกับคุณหนูท่านหนึ่งทางด้านหลังพลันหางตายกขึ้นเล็กน้อย เห็นชายอาภรณ์ของโม่เสวี่ยถงผ่านไปไวๆ ริมฝีปากเผยแววยิ้มย่องอย่างมาดร้ายวูบหนึ่ง ก่อนจะเปลี่ยนกลับไปเป็อ่อนโยน และทำทีพูดคุยกับคุณหนูผู้นั้นต่อไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เ้ามาจากวังไหน มีธุระอันใด” เมื่อตามมาถึงมุมเงียบสงบห่างออกมาพอสมควร โม่เสวี่ยถงก็หยุดยืนแล้วถามนางกำนัลผู้นั้น
นางกำนัลที่เดินนำอยู่ด้านหน้าหมุนตัวมา ย่อกายคำนับแล้วกล่าวตอบ “คุณหนูสามสกุลโม่ใช่หรือไม่ นี่เป็สิ่งที่คุณชายท่านหนึ่งไหว้วานให้ข้านำมามอบให้” กล่าวจบก็ส่งกระดาษแผ่นหนึ่งให้โม่เสวี่ยถง
นางรับกระดาษแผ่นนั้นมา กวาดตามองเรียบๆ พบว่ามีอักษรอยู่เพียงไม่กี่ตัว “ยามกุน [1]พบกันที่เรือนฉิงฟางในสวนดอกไม้ มีเื่สำคัญจะบอกเกี่ยวกับสาเหตุการตายของมารดาเ้า” ด้านล่างมิได้แจ้งชื่อไว้ เื่สำคัญที่เกี่ยวกับการตายของท่านแม่? โม่เสวี่ยถงขยำกระดาษแผ่นนั้นไว้แน่น
“คุณหนู คุณชายผู้นั้นรีบพูดแล้วก็รีบไป ฝากบอกเพียงว่าหากคุณหนูมีคำถาม อีกประเดี๋ยวก็จะรู้เอง ถึงเวลาบ่าวจะเป็ผู้นำทางไปเ้าค่ะ” นางกำนัลเห็นแววตาของโม่เสวี่ยถงเย็นเยียบขึ้นมาฉับพลัน จึงรีบพูดก่อนที่อีกฝ่ายจะเอ่ยถาม
“คุณชายผู้นั้นมาจากสกุลไหน” แม้ทราบว่าถามไปก็เปล่าประโยชน์ แต่โม่เสวี่ยถงก็ยังเอ่ยวาจาอย่างอดมิได้
นางกำนัลลังเลใจชั่วครู่แล้วตอบอย่างนอบน้อม “บ่าวไม่ทราบว่าเป็คุณชายสกุลไหน แม้อยากจะบอกแต่ก็ไม่สามารถจริงๆ ขอคุณหนูสามโปรดอภัย บ่าวไม่ทราบว่าในแผ่นกระดาษบอกสิ่งใดไว้บ้าง หากคุณหนูไม่คิดจะไปพบ บ่าวก็จะกลับไปบอกคุณชายผู้นั้นดีหรือไม่”
โม่เสวี่ยถงใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนยิ้มเรียบๆ แล้วดึงปิ่นทองฝังทับทิมชิ้นหนึ่งออกมาส่งให้ แล้วกล่าวขอบคุณ “ไม่ต้องยุ่งยากแล้วล่ะ ขอบคุณพี่สาวที่มาช่วยแจ้งข่าว”
“ขอบพระคุณคุณหนูเ้าค่ะ บ่าวไม่มีความชอบใดๆ ไฉนเลยจะกล้ารับ” เมื่อเห็นปิ่นทองงดงามเช่นนี้ นางกำนัลเกิดความลังเลใจ แม้ว่าใจอยากได้แต่ก็ยังกล่าวปฏิเสธ
“ไยพี่สาวต้องเกรงใจถึงเพียงนั้น อุตส่าห์ช่วยข้าตั้งมากมาย แค่ของแทนคำขอบคุณเล็กน้อยเพียงเท่านี้ก็รับไว้เถิด” โม่เสวี่ยถงกล่าวด้วยรอยยิ้มพลางนำปิ่นทองยัดใส่มือของอีกฝ่าย
“เช่นนั้นก็ขอบคุณคุณหนูสามยิ่งแล้ว หลังจากงานเลี้ยงเลิกกลับไปถึงฝั่งก็อย่าเพิ่งไปไหน บ่าวจะนำพาคุณหนูไปเองเ้าค่ะ” นางกำนัลเห็นว่าไม่อาจปฏิเสธได้จึงหัวเราะคิกคักพลางรับของไว้ แล้วกล่าวกับโม่เสวี่ยถงอย่างใส่ใจเป็พิเศษ ก่อนหมุนตัวจากไป
สตรีผู้นี้คงมิใช่นางกำนัลธรรมดา สังเกตจากการตอบคำถามก็รู้ได้ จนแล้วจนรอดก็ยังไม่ตอบว่ามาจากวังไหน อีกฝ่ายอ้างว่าไม่รู้เื่เกี่ยวกับข้อความในจดหมาย แต่กลับจะพานางไปจุดนัดพบ สาเหตุการตายของท่านแม่น่ะหรือ? หัวใจของโม่เสวี่ยถงรู้สึกบีบรัดจนเ็ป แต่แล้วก็หัวเราะเสียงเย็นออกมา ผู้อื่นถึงกับใช้เหตุผลนี้มาล่อลวงกัน ที่แท้ก็จับตามองอยู่ตลอดสินะ จึงรู้ว่านางยังเคลือบแคลงสาเหตุการตายของมารดาอยู่
คนเยี่ยงนี้มีอยู่ในจวนโม่เท่านั้นแหละ!
เป็คนในจวนโม่ที่เกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของมารดา และมีความสัมพันธ์กับคนในวังหลวง...
ดูท่าความซับซ้อนของจวนโม่จะมิใช่ระดับธรรมดาทั่วไปเสียแล้ว...
ไม่รู้ว่านางกำนัลผู้นั้นตามหาตนเองท่ามกลางผู้คนมากมายเพียงนั้นได้อย่างไร นางเคยเข้าวังมาเพียงหนเดียว ก่อนหน้านี้ก็อยู่ที่เมืองอวิ๋นเฉิงมาโดยตลอด ไม่เคยพบกับคนนอก ไฉนจึงมีคนจำได้ นึกถึงยามที่นางกำนัลผู้นั้นเดินเข้ามา ก็ใช้หางตาชำเลืองมองซ้ายขวา เมื่อเห็นโม่เสวี่ยิ่ดวงตาพลันสว่างวาบ หลังจากนั้นจึงมองมาที่ตนเองซึ่งนั่งอยู่ด้านหลังเพียงลำพัง
มิน่าเล่า วันนี้โม่เสวี่ยิ่จึงแต่งตัวอย่างงดงาม ที่แท้ก็เพื่อดึงดูดให้เหล่าคุณหนูเข้าไปหาตนเองจนเกือบหมด แล้วทิ้งให้นางนั่งเงียบเหงาอยู่เพียงลำพัง ไม่มีผู้ใดสนใจ ปรกติพี่สาวผู้นี้มักจะแสดงความอ่อนโยนใจดีอยู่เสมอ ไม่มีทางทิ้งนางไว้เช่นนี้เด็ดขาด
ดวงตาพราวระยับกวาดมองไปที่โม่เสวี่ยิ่ซึ่งยืนอยู่ไม่ไกล รังสีเย็นเยียบแผ่ซ่านออกมาจากก้นบึ้ง
ที่แท้เบื้องลึกของเื่นี้ก็มีโม่เสวี่ยิ่เกี่ยวข้องด้วย
ยามที่โม่เสวี่ยถงกลับไปถึง งานเลี้ยงก็ใกล้สิ้นสุดลงแล้ว ฮองเฮากำลังประกาศรายชื่อผู้ชนะ ไม่มีใครคาดว่าคนผู้นั้นจะเป็โม่เสวี่ยิ่ บทกวีของนางเป็ที่พึงพอใจของเหล่าคุณชายและซื่อจื่อทั้งหลายจึงได้รับคะแนนนิยมสูงสุด
ด้วยเหตุนี้นางกำนัลจึงพานางมายังเบื้องหน้าพระพักตร์ฮองเฮา
………………………………………………………………………………………..………………...
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] ยามกุน หรือ ยามไฮ่ หมายถึง่เวลา 21:00-23:00 น.