รถม้าแล่นเข้าสู่เขตเมืองเก่า สภาพแวดล้อมรอบด้านเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน อาคารบ้านเรือนทรุดโทรม ถนนหนทางเต็มไปด้วยหลุมบ่อ กลิ่นเหม็นอับของขยะและสิ่งปฏิกูลลอยมาตามลม ชาร์ลส์หยิบผ้าเช็ดหน้ามาป้ายน้ำหอม ก่อนจะยกขึ้นมาปิดจมูกเพื่อกลบกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ ชาร์ลส์และโจเซฟกวาดสายตามองไปรอบๆ
โจเซฟถอนหายใจเฮือกใหญ่ "น่าเศร้าจริงๆ ที่ยังมีคนต้องอยู่ในสภาพแบบนี้" เขาพูดพลางส่ายหน้า
ชาร์ลส์พยักหน้าเห็นด้วย "ใช่ มันเป็วงจรอุบาทว์ที่ยากจะหลุดพ้น คนที่เกิดและเติบโตที่นี่ แทบไม่มีโอกาสมีชีวิตที่ดี"
รถม้าแล่นผ่านกลุ่มคนที่นั่งขอทานอยู่ริมถนน เด็กๆ ในชุดขาดวิ่นวิ่งไล่กันอย่างร่าเริง ไม่สนใจสภาพความเป็อยู่รอบตัว
โจเซฟมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกปวดใจ "ฉันอดสงสารเด็กๆ พวกนั้นไม่ได้ พวกเขาเกิดมาในสภาพแวดล้อมแบบนี้ โอกาสที่จะเติบโตเป็คนดีคงยาก"
ชาร์ลส์พยักหน้า "แย่ไปกว่านั้น บ้านเด็กกำพร้าที่ควรจะเป็ที่พึ่ง กลับกลายเป็แหล่งค้ามนุษย์ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนที่นี่จะเป็คนไม่ดีไปหมด บางคนก็พยายามทำในสิ่งที่ถูกต้อง แม้จะลำบากแค่ไหนก็ตาม"
โจเซฟพยักหน้าเห็นด้วย "ใช่ แต่มันก็ยากที่จะโทษพวกเขาที่ต้องทำทุกอย่างเพื่อเอาชีวิตรอด บางครั้งการเลือกระหว่างความถูกต้องกับการมีชีวิตอยู่ มันก็เป็เื่ยากจริงๆ"
โจเซฟนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้น "นี่แหละคือหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ฉันอยากเปลี่ยนแปลงอาณาจักรนี้ให้ดีขึ้น ไม่ควรมีใครต้องมาเลือกระหว่างการมีชีวิตอยู่กับการเป็คนดี"
ชาร์ลส์มองโจเซฟด้วยความชื่นชม "มันก็ไม่ใช่เื่ง่ายเลย"
"ฉันรู้" โจเซฟตอบ สายตามองออกไปนอกหน้าต่างรถม้า "แต่ถ้าเราไม่เริ่มทำอะไรสักอย่าง มันก็จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง"
รถม้าแล่นต่อไปในความเงียบ มองดูภาพความยากจนและความทุกข์ยากที่ผ่านสายตาไป โจเซฟรู้สึกถึงความมุ่งมั่นที่เพิ่มขึ้นในใจ เขาตั้งใจว่าจะต้องเปลี่ยนแปลงสภาพความเป็อยู่ของผู้คนเหล่านี้ให้ดีขึ้น
รถม้าหยุดลงหน้าโบสถ์เก่าในเขตเมืองเก่า ชาร์ลส์และโจเซฟก้าวลงจากรถ สายตากวาดมองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง โบสถ์หินสีเทาทึมทึบตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า เป็อาคารที่เคยเป็ที่ซ่อนขององค์กรแปรอักษร
โจเซฟหันหน้าให้รถม้าจากไปก่อนเพราะถ้าจอดอยู่ในเขตนี้มันจะสะดุดตาเกินไป อาจเกิดปัญหาหรืออาจถูกปล้น เมื่อรถม้าจากไปแล้ว ชาร์ลส์เอ่ยขึ้น
"เราควรเข้าไปสำรวจดูสักหน่อย อาจจะมีร่องรอยอะไรหลงเหลืออยู่บ้าง"
โจเซฟพยักหน้าเห็นด้วย ทั้งสองเดินเข้าสู่โบสถ์อย่างระมัดระวัง ภายในเป็ห้องโถงใหญ่ เก้าอี้ไม้เก่าผุพังเรียงรายอยู่สองข้าง ปลายสุดของห้องโถงมีสัญลักษณ์ เป็วงล้อขนาดใหญ่แกะสลักจากหินอย่างวิจิตรบรรจง บันทึกเื่ราวประวัติศาสตร์ของอาณาจักรนี้เอาไว้
ชาร์ลส์เดินเข้าไปสำรวจใกล้ๆ ก่อนโจเซฟบอกเพื่อน "ทางหน่วยพิเศษได้สืบสวนที่นี่อย่างละเอียดแล้ว" เขาถอนหายใจ "แต่น่าเสียดายที่พวกนั้นไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้เลย เราจึงยังหาทางติดตามปลายทางไม่ได้"
ก่อนออกจากโบสถ์ โจเซฟยกมือขึ้นทำความเคารพสัญลักษณ์ของศาสนา แต่ชาร์ลส์ยืนนิ่งไม่ได้ทำอะไร
"นายไม่อธิษฐานอะไรหน่อยเหรอ?" โจเซฟถามด้วยความสงสัย
ชาร์ลส์ส่ายหน้า "ฉันจำอะไรก่อนหน้าสองปีที่แล้วไม่ได้เลย ไม่รู้ว่าเคยนับถือศาสนาไหนมาก่อน" เขาอธิบาย "กลัวว่าถ้านับถือเทพของนาย อาจทำให้เทพที่ฉันเคยนับถือไม่พอใจ"
โจเซฟหัวเราะเบาๆ "โอ้ อย่างนั้นเหรอ? แล้วสมมุติถ้านายเคยนับถือ กาลทานัสล่ะ? นายจะปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยไม่ทำอะไรเลยเหรอ? กาลทานัสมีความเชื่อที่ว่าทุกวินาทีมีค่า ดั่งคำสอนที่ว่าการปล่อยเวลาให้ผ่านไปอย่างสูญเปล่า ก็เหมือนกับการปล่อยพรของพระองค์ที่ประทานมาในทุกวินาทีไปไม่ไขว่คว้า"
ชาร์ลส์ยิ้มมุมปาก "หรือบางทีฉันอาจจะนับถืออย่างอื่นก็ได้นะ ซึ่งไม่ใช่ศาสนาหลักอย่าง ฟาตูสเร็กซ์ กาลทานัส หรือมุนด์คลาวิส "
โจเซฟขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่เล่นที่จริง "หรือไม่ก็... นายอาจจะนับถือ นิฮิลเคียวส์ ก็ได้นะ?"
ชาร์ลส์รีบโบกมือปฏิเสธทันที "ไม่ ไม่ใช่แน่นอน ถ้าฉันเคยนับถือศาสนานั้นจริงๆ ก็อย่าฟื้นความทรงจำเลยจะดีกว่า" เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ "พวกนั้นเอาแต่หาเื่ตาย และพวกที่เคร่งครัดหน่อยก็ชอบหาเื่ลากให้คนอื่นไปตายกับความเชื่อเื่ดินแดนสุดท้ายอะไรนั่น มันอันตรายมาก"
โจเซฟพยักหน้าเห็นด้วย "ใช่ ฉันเห็นด้วย ลัทธินอกรีตพวกนั้นอันตรายจริงๆ ดีที่ทางการพยายามควบคุมไม่ให้แพร่หลาย" เขาหยุดคิดครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ "แต่ก็นั่นแหละ ไม่ว่านายจะนับถืออะไร หรือไม่นับถืออะไรเลย มันก็ไม่สำคัญหรอก ที่สำคัญคือนายเป็เพื่อนฉัน"
ชาร์ลส์ยิ้มออกมา "นายพูดถูก คำพูดดูดี แต่เลี่ยนหูไปหน่อย"
โจเซฟส่ายหน้าทั้งที่ยิ้ม ก่อนที่จะลุกขึ้นยืน "เอาล่ะ ไปหาเบาะแสของไมเคิลกันต่อดีกว่า"
ทั้งสองเดินออกจากโบสถ์ หลังจากออกจากโบสถ์ ชาร์ลส์และโจเซฟเริ่มการสืบสวนอย่างจริงจัง พวกเขาเดินลัดเลาะไปตามตรอกซอกซอยในเขตเมืองเก่า สายตาคอยสอดส่องหาร่องรอยของไมเคิล
ขั้นแรก พวกเขาเริ่มจากการสอบถามชาวบ้านในละแวกนั้น เข้าไปพูดคุยกับแม่ค้าขายผักที่ตลาดเปิดโล่ง คนงานรับจ้าง และเด็กขอทานที่มักจะรู้เื่ราวในย่านนี้เป็อย่างดี แต่ไม่มีใครเห็นชายที่ตรงกับรูปพรรณสัณฐานของไมเคิลเลย
ต่อมา พวกเขามุ่งหน้าไปยังโรงไม้เก่าที่ถูกทิ้งร้าง ซึ่งเป็ที่ซ่อนตัวยอดนิยมของคนหลบหนี ชาร์ลส์ใช้ตะเกียงน้ำมันส่องสำรวจตามโกดังเก่า ขณะที่โจเซฟคอยระวังภัยและสังเกตการณ์ แม้จะพบร่องรอยของโจรและพวกลักลอบขนของเถื่อน แต่ก็ไม่มีอะไรที่เชื่อมโยงถึงไมเคิล
จากนั้น ทั้งสองได้แวะไปที่โรงเหล้าเก่าแก่ชื่อ 'สุนัขจิ้งจอกเมา' ซึ่งเป็แหล่งรวมข่าวลือของย่านนี้ โจเซฟสั่งเหล้าเบียร์ให้ลุงเ้าของร้านเพื่อแลกกับข้อมูล แต่แม้แต่หูตากว้างขวางของลุงเ้าของร้านก็ยังไม่เคยได้ยินเื่ของไมเคิลเลย
เมื่อดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำ โคมไฟน้ำมันตามถนนเริ่มถูกจุด ชาร์ลส์ถอนหายใจยาว "เราถามคนไปเยอะมาก ตระเวนไปทั่ว แต่ก็ไม่ได้เบาะแสอะไรเกี่ยวกับไมเคิลเลย"
โจเซฟพยักหน้าเห็นด้วย "ฉันก็เริ่มหมดหนทางแล้วเหมือนกัน แต่...มีที่หนึ่งที่เราอาจจะพอหาข้อมูลเพิ่มได้"
"ที่ไหน?" ชาร์ลส์ถามด้วยความหวัง
"ตลาดมืด" โจเซฟตอบ "ที่นั่นเป็แหล่งรวมของผิดกฎหมาย แต่ติดปัญหาตรงมันไม่ได้มีที่ตั้งแน่นอน รู้แค่ว่าทางเข้ามันจะอยู่ในเขตเมืองเก่านี้ คงต้องลองไปสืบๆ ดู"
ชาร์ลส์ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง "ถ้าเื่นั้นฉันมีคนคนหนึ่งที่น่าจะช่วยเราได้ เขาน่าจะรู้เื่ตลาดมืด"
"ใครกัน?" โจเซฟถามอย่างสนใจ
"เขาชื่อบาร์โธโลมิว เป็นักล่าค่าหัว เขาเป็สมาชิกของสมาคมรับจ้างเหมือนกับฉัน เคยร่วมงานกันสองสามครั้ง เขาทำงานประเภทที่ต้องไปข้องเกี่ยวกับพวกนอกกฎหมายบ่อยๆ อย่างการล่าค่าหัวคนร้ายในประกาศ ฉันว่าเขาน่าจะพอรู้เื่ตลาดมืดบ้าง"
"เยี่ยมเลย!" โจเซฟตบไหล่ชาร์ลส์ "แล้วเราจะไปหาเขาได้ที่ไหน?"
"เขามีร้านประจำอยู่ที่เขตชั้นกลางน่ะ" ชาร์ลส์ตอบ "เราต้องออกไปตามหาเขาที่นั่น"
"ตกลง งั้นเราไปกัน" โจเซฟกล่าว
ทั้งสองเดินออกจากตรอกแคบๆ มุ่งหน้าไปยังโบสถ์เก่าเพื่อกลับไปหารถม้า เจอรถม้าคันเดิมจอดเทียบหน้าโบสถ์พอดี
"ไปเขตชั้นกลาง" ชาร์ลส์บอกคนขับรถม้า
คนขับรถม้าพยักหน้าตอบรับ
ขณะนั่งอยู่บนรถม้าระหว่างทางกลับ จู่ๆ เสียงเตือนก็ดังขึ้นในหัวของทั้งคู่ เสียงของนาฬิกาลูกตุ้มขนาดใหญ่ดังก้องอยู่ในความคิด ชาร์ลส์สะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองโจเซฟด้วยสายตาตื่นตระหนก
"นายได้ยินเหมือนฉันใช่ไหม?" ชาร์ลส์ถามเสียงเบา
โจเซฟพยักหน้า สีหน้าเคร่งเครียดขึ้นทันที "ใช่ ผู้ยกระดับตัวตน อยู่แถวนี้"
โจเซฟรีบสั่งให้คนขับรถม้าหยุด ทั้งสองรีบหยิบนาฬิกาพกขึ้นมาดู เฟืองสีทองบนหน้าปัดกำลังหมุนอย่างรวดเร็ว บ่งบอกว่าพวกเขาอยู่ไม่ไกลจากผู้ใช้พลัง
"ลงจากรถ" โจเซฟกระซิบสั่ง "เดินตามฉันมา แต่ทำตัวให้เป็ปกติที่สุด"
ทั้งสองก้าวลงจากรถม้าอย่างระมัดระวัง พยายามเดินอย่างเชื่องช้าและดูเป็ธรรมชาติ แต่สายตายังคงจับจ้องที่หน้าปัดนาฬิกา ความเร็วของเฟืองไม่ได้ลดลงเลยแต่กลับหมุนเร็วขึ้น บ่งบอกว่าพวกเขากำลังใกล้ถึงเป้าหมาย
ชาร์ลส์รู้สึกถึงหัวใจที่เต้นรัวในอก เหงื่อเย็นๆ เริ่มผุดขึ้นตามขมับ เขาพยายามควบคุมลมหายใจให้เป็ปกติ นึกถึงคำสอนของโจเซฟเกี่ยวกับอันตรายของผู้ยกระดับตัวตน
พวกเขาทั้งสองค่อยๆ เดินไปจนถึงบ้านหลังหนึ่ง ไม่ไกลจากเขตเมืองเก่านัก เป็บ้านไม้สองชั้นที่ดูธรรมดาทั่วไป ตั้งอยู่ริมถนนสายเล็กๆ ท่ามกลางบ้านเรือนอื่นๆ
หลังคาทรงจั่วมุงด้วยกระเบื้องดินเผาสีน้ำตาลอ่อน ผนังบ้านทาสีขาวสะอาดตา ชั้นล่างมีหน้าต่างบานไม้สองบานด้านหน้า ส่วนชั้นบนมีระเบียงเล็กๆ ยื่นออกมา พร้อมหน้าต่างบานสองบาน ระเบียงไม้หน้าบ้านชั้นล่างดูแข็งแรง มีเก้าอี้โยกตัวเก่าวางอยู่มุมหนึ่ง
สวนหน้าบ้านเล็กๆ ถูกดูแลพอประมาณ หญ้าถูกตัดเรียบร้อย แม้จะเริ่มมีวัชพืชงอกแซมบ้าง มีทางเดินปูอิฐนำไปสู่ประตูหน้าบ้าน ข้างทางเดินมีดอกไม้ป่าขึ้นอยู่ประปราย แสงไฟสลัวๆ ส่องลอดออกมาจากหน้าต่างชั้นล่าง บ่งบอกถึงผู้คนที่อาศัยอยู่ภายใน
จากภายนอก บ้านหลังนี้ดูไม่ต่างจากบ้านอื่นๆ ในละแวกนี้ ไม่มีสิ่งใดบ่งบอกถึงความผิดปกติ มีเพียงความเงียบที่ดูจะเงียบเกินไปเล็กน้อยสำหรับบ้านที่มีไฟเปิดอยู่ แต่เสียงเตือนจากนาฬิกาและการหมุนของเฟืองที่เร่งความเร็วขึ้นทำให้ชาร์ลส์และโจเซฟรู้ดีว่า มีบางอย่างไม่ชอบมาพากลซ่อนอยู่ภายใน
ชาร์ลส์กลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก สายตาจับจ้องที่บ้านหลังนั้น ไม่แน่ใจว่าอะไรรออยู่เบื้องหน้า แต่เขารู้ดีว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาดวงซวยแล้ว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้