เพราะเหยียนชิงบอกไว้ก่อนล่วงหน้า ดังนั้นงานเลี้ยงวันเกิดจึงไม่มีใครข้างนอกรู้มาก มีเพียงคนในครอบครัวตระกูลเหยียนเท่านั้นที่รู้ นอกจากฮูหยินเหยียนที่เชิญพระมาทำพิธีสวดมนต์เป็พิเศษแล้ว งานเลี้ยงก็ยิ่งใหญ่กว่างานเลี้ยงบ้านปกติเล็กน้อย
วันเกิดปีที่สิบแปดของเหยียนชิง บวกกับการเดินทางของเว่ยซูหานกลับมาอย่างราบรื่น ทุกคนต่างแย่งกันแสดงความยินดี เหยียนลั่วพี่ชายที่อยู่ไกลก็คำนวณเวลาส่งจดหมายทักทายมาได้ทันในวันนี้
ทุกครั้งที่ได้รับจดหมายจากพี่ชาย เขารู้สึกยินดีเป็อย่างยิ่ง เขารู้ว่าพี่ชายของเขาปลอดภัยอยู่ข้างนอก และเขาก็ยังได้รู้สถานการณ์บางอย่างเกี่ยวกับเมืองนอกด่าน[1] ผ่านพี่ชายของเขาอีกด้วย
ทั้งครอบครัวครึกครื้นมีเพียงเหยียนิฮ่วนสองแม่ลูกเท่านั้นที่มองหน้ากัน ฉายความหงุดหงิดและความไม่เต็มใจผ่านแววตา
ก่อนที่เว่ยซูหานจะกลับมา พวกเขาได้รับเงินสองแสนตำลึงจากนักล่า บอกว่าภารกิจไม่สำเร็จจะชดเชยให้สิบเท่าตามสัญญา และทางนั้นก็จะไม่รับภารกิจที่เกี่ยวข้องกับเว่ยซูหานอีก ส่วนเื่อื่นก็ไม่อยากเอ่ยมาก
เหยียนิฮ่วนและฮูหยินใหญ่รู้สึกไม่ยินยอม แต่เื่มาถึงจุดนี้ก็ทําอะไรไม่ได้ เว่ยซูหานกลับถึงบ้านแล้ว กล่าวได้ว่าเขาโชคดี ไม่เพียงแต่รอดจากมือสังหารแต่ยังทำให้มือสังหารทิ้งภารกิจอีกด้วย
เจิ้นเป็กลุ่มนักล่าค่าหัวที่มีชื่อเสียงที่สุดในยุทธภพ ไม่ว่าจะเป็ความแข็งแกร่งหรือความซื่อสัตย์ล้วนแล้วแต่อยู่ในระดับต้นๆ หากแม้แต่เจิ้นก็ยังฆ่าเว่ยซูหานไม่ได้ เช่นนั้นคนอื่นๆ ก็คงยากลำบาก หลังจากผ่านประสบการณ์มาครั้งนี้ เว่ยซูหานจะต้องระมัดระวังตัวมากขึ้น การลงมืออีกครั้งก็ไม่ใช่เื่ง่ายแล้ว
เหยียนิฮ่วนโกรธจนกัดฟันกรอด แต่ในตอนนี้พวกเขาทำได้เพียงเก็บความลับนี้ไว้ในท้องให้เน่าเปื่อย ไม่กล้าวางแผนอื่นอีก หากเว่ยซูหานรู้ว่านายจ้างที่อยู่เื้ัคือพวกเขา พวกเขาคงต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย
เว่ยซูหานรู้สึกกังวลกับเื่ที่ตนถูกนักฆ่าลอบสังหาร อีกทั้งไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็อดสงสัยในตัวเหยียนิฮ่วนไม่ได้ อาจเป็เพราะเขาเกลียดเหยียนิฮ่วนมากเกินไป แต่พอเห็นเหยียนิฮ่วนขอดื่มสุรากับตนอย่างกระตือรือร้น ก็ไม่รู้ว่าควรจะสงสัยดีหรือไม่ จึงได้แต่เก็บไว้ในใจ
ตอนนี้มีเหตุการณ์มากมายที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในชาติที่แล้วแต่กลับเกิดขึ้นในชาตินี้ เขาต้องระมัดระวังให้มากขึ้น ไม่อย่างนั้นหากไม่ระวังอาจจะทำให้เหยียนชิงลำบากไปด้วย
งานเลี้ยงดำเนินจนมาถึงครึ่งทาง หลินชวนที่ได้รับคำสั่งให้ออกไปเฝ้ายามนอกจวน จู่ๆ ก็วิ่งเข้ามาบอกเหยียนชิงว่า
นอกประตูมีคนนำของขวัญที่คุณชายหวังส่งมาให้รออยู่
ทุกคนล้วนสงสัยว่าคุณชายหวังผู้นี้คือคุณชายหวังจวนใด เหยียนชิงมีสีหน้านิ่งเรียบ ไม่พูดอะไรมากก็ลุกออกจากโต๊ะงานเลี้ยงไปทันที คนอื่นๆ ก็เดินตามมา เห็นชายฉกรรจ์หกคนถือหีบผ้าสามใบ คนหนึ่งถือกล่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าเล็กๆ ด้านนอกคลุมด้วยผ้าปักดิ้นทอง มองไม่ออกว่ากล่องด้านในเป็อย่างไร แต่ดูจากภายนอกแล้วของพวกนี้ล้วนมีมูลค่ามหาศาล
ทุกคนล้วนมองไปรอบๆ พบว่าคุณชายหวังที่ใจกว้างผู้นั้นไม่ได้เข้ามาด้วย ดังนั้นทุกคนจึงคาดเดาอย่างเงียบๆ แต่ไม่มีใครกล้าถามเหยียนชิง
เพื่อหลีกเลี่ยงเื่วุ่นวาย เหยียนชิงจึงกล่าวขอบคุณผู้มาเยือน หลังจากนั้นก็สั่งให้อิ้งหลีและเฉินเซียงพาพวกเขาไปที่หอชิงเฟิง ส่วนเื่อื่นเขาก็ไม่คิดจะอธิบายให้มากความ
ทุกคน รวมทั้งเว่ยซูหานต่างก็งุนงงและสงสัยมาก แต่พวกเขาไม่กล้าถามอะไร หลังจากจบเหตุการณ์นั้น พวกเขาก็พากันกลับไปที่งานเลี้ยงทีละคน แต่เหยียนชิงสังเกตว่าเว่ยซูหานเริ่มใจลอย ในสายตาที่อีกฝ่ายมองมาที่เขายังแฝงด้วยความขุ่นเคืองเล็กน้อย เหยียนชิงแอบส่ายหัว : คนผู้นี้จะหึงอีกแล้ว
จนกระทั่งงานเลี้ยงสิ้นสุดลงและคนอื่นๆ ก็กลับไปทีละคน เหยียนชิงกล่าวลาท่านแม่ของเขา ก่อนจะพาเว่ยซูหานกลับไปที่หอชิงเฟิง ระหว่างทางเว่ยซูหานก็อดไม่ได้ที่จะถาม
“เหยียนชิง คุณชายหวังผู้นั้นคือใครหรือ?”
เขาครุ่นคิดถึงเื่นี้อยู่นาน รื้อฟื้นความทรงจำในชาติก่อนของเขา เขาจำไม่ได้ว่าเหยียนชิงรู้จักคนที่ร่ำรวยขนาดนี้มาก่อน ดูจากสีหน้างุนงงของคนอื่นแล้ว พวกเขาคงไม่รู้จักเพื่อนของเหยียนชิงคนนี้เช่นกัน แม้ว่าวันนี้คุณชายหวังจะไม่ได้เข้ามาด้วย แต่ดูจากของขวัญแล้วมันไม่ธรรมดาเลย เขาเป็ใครกันแน่?
แต่เหยียนชิงกลับกะพริบตากล่าว “สหายเก่า”
เว่ยซูหานรู้สึกหึงหวงขึ้นมาทันที “เพื่อนเก่าอะไรมาส่งของขวัญถึงหน้าประตู แต่กลับไม่เข้ามาอย่างเปิดเผย”
เหยียนชิงจงใจหยอกล้อเขา “ข้าไม่บอกเ้าหรอก”
เว่ยซูหาน “ชิงเอ๋อร์...”
คงไม่ใช่่หลายเดือนมานี้ที่เขาไม่ได้อยู่บ้าน มีคนวิ่งมายั่วยวนคนรักของเขาหรอกใช่หรือไม่?
ขณะที่พวกเขากำลังคุยกันก็มาถึงที่หอชิงเฟิงแล้ว อิ่งหลีบอกกับเหยียนชิงว่าของขวัญคุณชายหวังส่งมาถูกวางไว้ที่ห้องหนังสือของเขา เหยียนชิงพยักหน้าและเดินไปที่ห้องหนังสือ แต่เว่ยซูหานหยุดและดึงอิ้งหลีเข้ามาถาม
“คุณชายหวังคนนี้คือใคร?”
อิ้งหลีคิดก่อนตอบตามความจริง
“เป็คุณชายที่มีหน้าตาโดดเด่นท่านหนึ่ง เป็สหายเก่าของนายน้อยที่มาจากเมืองหลวง เมื่อวานเขามาที่จวนเพื่อเยี่ยมเยียน วันนี้คงรีบร้อนเดินทางกลับ จึงส่งคนมานำของขวัญมาส่งให้แทน แต่ไม่มาแสดงความยินดีด้วยตนเองขอรับ”
“มาเมื่อวาน? มาที่นี่เพื่อเยี่ยมเหยียนชิงเป็พิเศษอย่างนั้นหรือ?”
น้ำเสียงของเว่ยซูหานนั้นยากจะคาดเดา เขาไม่เห็นได้ยินเหยียนชิงเอ่ยถึงเื่เมื่อวานนี้ ดังนั้นมันต้องมีอะไรพิเศษแน่ๆ
อิ้งหลีมองปราดเดียวก็รู้ว่าเขาหึงหวง คิดไปคิดมาก็บอกตามตรงว่า
“ขอรับ ก่อนที่ฮูหยินน้อยจะกลับมา คุณชายหวังก็กลับไปแล้ว คุณชายน้อยไม่สะดวก แต่สั่งกำชับข้าให้พาคุณชายหวังไปเที่ยวชมรอบเมือง”
“อ้อ”
เว่ยซูหานขมวดคิ้วก่อนจะหันกลับมาและเดินไปที่ห้องหนังสือ ทันทีที่เขาเข้าประตูมา ก็เขาเห็นกระดานหมากล้อมที่เหมือนจะผ่านการเล่นมาวางอยู่บนโต๊ะเตี้ยที่เหยียนชิงฝึกคัดลายมือ มันเด่นชัดกว่าของขวัญแสดงความยินดีที่วางอยู่ข้างๆ เขาเสียอีก หมากสีดำแม้จะแสดงอำนาจที่น่าเกรงขามแต่กลับพ่ายแพ้ ส่วนหมากสีขาวมองสถานการณ์ทั้งกระดานออก ไม่ตื่นตระหนกแม้จะตกอยู่ในวิกฤต การต่อสู้เชิงรุกและป้องกันที่ดุเดือดที่สุด และกลยุทธ์ก็ปรากฏขึ้นบนกระดานหมากรุกนี้
เว่ยซูหานจ้องไปที่กระดานหมากรุก “ชิงเอ๋อร์ สหายเ้าผู้นี้ช่างไม่ธรรมดาเลย”
น้ำเสียงของเขาเปรี้ยวจนได้กลิ่น (หึงหวง) แต่คุณชายหวังผู้นี้ต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน ทั้งสองจิบชาและพูดคุยอย่างสนุกสนาน แต่ภายใต้มือของพวกเขากับต่อสู้กันอย่างดุเดือด ความกลมกลืนที่ไม่อาจอธิบายได้นี้ไม่รู้ว่ามันคืออะไร ยิ่งดูหมากรุกมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกคุ้นเคยมากขึ้นเท่านั้น...
“แน่นอนว่าเขาไม่ธรรมดา”
เหยียนชิงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม ฮ่องเต้แคว้นไหนธรรมดากัน? ต่อให้โง่จนแคว้นล่มสลายก็นับว่าเป็ความสามารถอย่างหนึ่งมิใช่หรือ?
“เขาคือ...”
แต่ไม่ได้เอ่ยชื่อของคนคนนั้นออกมา เว่ยซูหานเงยหน้ามองเหยียนชิงที่ไม่พูดออกมาให้จบ มองไปที่กล่องผ้าซึ่งถูกเปิดไว้ ภายในมีเครื่องประดับทองเงินและของหายากแปลกใหม่ ตอนนี้เหยียนชิงหยิบกล่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าออกมาจากถุงผ้าแพรปักดิ้นทองที่พิถีพิถัน มันเป็กล่องไม้จันทน์สีแดงที่ดูแปลกตาและเงางาม มีกลิ่นหอมของไม้จันทน์ บนกล่องมีลายัเมฆสลักอยู่ ดูสูงส่งและสง่างาม
เว่ยซูหานมองอย่างตะลึงงัน ปราณที่อัดอั้นอยู่ในใจพลันแตกซ่านทันที
เขารู้จักกล่องเช่นนี้ หรือกระทั่งเรียกว่าคุ้นเคยเลยก็ว่าได้ ชาติที่แล้วหลังจากเขาได้เป็แม่ทัพแล้ว ตี้จวินก็มอบของขวัญให้เขา ภายในกล่องมีกระบี่ล้ำค่าเล่มหนึ่งชื่อว่าฉือเฟิง เช่นเดียวกับชื่อเล่นของเขา เป็กระบี่ที่ฮ่องเต้องค์ก่อนสลักชื่อด้วยมือของพระองค์เอง
เช่นนั้น องค์ชายหวังผู้นี้... ก็คือตี้จวิน
ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดกลยุทธ์บนหมากล้อมเมื่อครู่นี้ถึงได้ดูคุ้นตา ชาติที่แล้วเขาเคยเห็นการแข่งแบบนี้อยู่ไม่น้อย เหยียนชิงกับตี้จวินมีฝีมือการเล่นหมากรุกที่ใกล้เคียงกัน แต่หากสองคนเล่นหมากรุกส่วนใหญ่ก็ล้วนเป็การแข่งขัน
เว่ยซูหานรู้สึกเศร้าใจยิ่งนัก
ในขณะที่เขาไม่อยู่ ศัตรูหัวใจอันดับหนึ่งของเขาก็เข้ามาในห้องพูดคุยและเล่นหมากรุกกับคนรักของเขา และตอนนี้ก็กำลังทุ่มเทให้กับตระกูลของเขาอีกครั้ง... หัวใจมันอึดอัดอย่างอธิบายไม่ถูก แต่อีกฝ่ายคือจักรพรรดิ เขาจะทำอะไรได้
“ชิงเอ๋อร์…” เว่ยซูหานกลืนน้ำลาย “คุณชายหวังผู้นี้... คือตี้จวินใช่หรือไม่?”
แม้ชาตินี้เขาจะไม่เคยเห็นตี้จวินอย่างเป็ทางการ แต่ลายัเมฆาเป็ลวดลายพิเศษของราชวงศ์ คนที่มีความรู้ทั่วไปอยู่บ้างล้วนรู้ดี
“ใช่” เหยียนชิงพยักหน้าและตอบด้วยรอยยิ้ม
“ตี้จวินปลอมตัวออกจากวัง เมื่อวานก็เข้ามาทางด้านหลัง ในจวนมีเพียงเฉินเซียงและอิ้งหลีเท่านั้นที่ได้พบ แต่ข้าก็ไม่ได้บอกพวกเขาว่าฮ่องเต้เสด็จมา”
แอบหนีออกจากวังแต่กลับเอาของพวกนี้มาส่งให้ในวันนี้ ตี้จวินคงวางแผนล่วงหน้าแล้วกระมัง เป็อย่างที่คิดไว้ว่าจิตใจของฮ่องเต้นั้นยากจะคาดเดา การทดสอบเมื่อวานเป็เพียงขั้นตอนการยืนยันเพิ่มเติมเท่านั้น
เว่ยซูหานเดินเข้าไปข้างหน้า จ้องกล่องตรงหน้าด้วยสีหน้าซับซ้อน ตี้จวินส่งสิ่งนี้ให้เหยียนชิงหมายความว่าอย่างไร ยังมีของขวัญมากมาย ในใจคิดอะไรหรือไม่?
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเื่ที่เกี่ยวพันกับเหยียนชิง เขาก็มักจะไร้เหตุผลเสมอ และมักจะคิดในทิศทางที่เห็นแก่ตัว
เหยียนชิงเปิดกล่องออก ด้านในนั้นก็คือกระบี่ฉือเฟิง แม้ว่าจะไม่ใช่กระบี่ที่มีชื่อเสียงแต่มันคือกระบี่ของฮ่องเต้จริงๆ นอกจากจะคมกริบสามารถตัดเส้นผมให้ขาดราวกับตัดโคนแล้ว มันยังมีบารมีอันน่าเกรงขามของฮ่องเต้แฝงเอาไว้
พู่ห้อยกระบี่คือไหมทอง ฝักกระบี่และด้ามกระบี่เป็สีทองอ่อน สลักด้วยลายัเมฆาเช่นเดียวกัน คมกระบี่เปล่งประกายราวกับแสงเย็นเยือกในฤดูใบไม้ร่วง แต่มันไม่ได้ดูรุนแรงเหมือนอาวุธอื่น แต่เป็การเก็บเปล่งแสงที่ดูอำมหิตออกมา เฉพาะตอนที่กวัดแกว่งเท่านั้นจึงจะเผยพลังออกมา
เหยียนชิงมอบกระบี่เล่มนี้ให้เว่ยซูหาน “ลองดู”
กระบี่เล่มนี้ ชาติที่แล้วตี้จวินได้มอบมันให้แก่เว่ยซูหาน เว่ยซูหานพามันเข้าสู่สนามรบ สร้างคุณงามความดีในาไม่น้อย ชาตินี้ต้องทำได้เช่นกัน
เว่ยซูหานหยิบกระบี่ขึ้นมา ชักกระบี่ออกจากฝักด้วยสายตาแหลมคม พลังอันน่าเกรงขามแผ่ซ่านออกมาทันที
เหยียนชิงมองไปที่ใบมีดกำลังเปล่งแสงสีขาวแล้วกล่าวว่า
“เมื่อวานตี้จวินมา เล่าเื่ที่เ้าไปสร้างคุณงามความดีที่ด่านชายแดน กระบี่เล่มนี้จึงควรเป็ของเ้า”
เว่ยซูหานตะลึงงัน “...ให้รางวัลข้า”
เหยียนชิงพยักหน้า “แน่นอน เ้าคิดว่าเขาว่างมากพอจะมาเดินเล่นที่นี่อย่างนั้นหรือ?”
ตี้จวินเป็ใคร พูดตามตรง ทุกขั้นตอนที่เขาทำล้วนผ่านการวางแผนมาอย่างพิถีพิถัน
เหยียนชิงเห็นเขามีสีหน้าตะลึงงัน จึงบอกเขาทุกคำที่พูดกับตี้จวินตอนเล่นหมากรุก
“...”
เว่ยซูหานฟังเหยียนชิงพูดอย่างละเอียด ในใจก็กระจ่างทันที หลังจากวิเคราะห์อย่างละเอียดเขาก็เห็นด้วยกับเหยียนชิง ความคิดสับสนในใจราวกับถูกคมดาบที่อยู่ตรงหน้าตัดขาด ทันทีที่เขาเข้าไปพัวพันกับเหยียนชิง เขาก็จะเข้าใจผิดได้ง่ายๆ ตอนนี้เหยียนชิงเอ่ยเตือนแล้ว ลองคิดดูแล้วกระบี่เล่มนี้ก็คือเจตนาของตี้จวินต่อการเดินทางไปชายแดนของเขาในครั้งนี้
ใส่ดาบกลับเข้าไปในฝักและใส่มันกลับเข้าไปในกล่อง เหยียนชิงวางกล่องลงแล้วพูดอย่างจนปัญญาว่า
“เอาล่ะ เื่ก็เป็เช่นนี้ เ้าสบายใจได้หรือยัง? ปัญหาความหึงหวงของเ้ามันเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่?”
เว่ยซูหานดีหมดทุกอย่าง แต่แค่หึงหวงมากเกินไป เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเหตุใดชายคนนั้นจึงมีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาได้มากขนาดนี้ ทั้งที่เขาแสดงออกอย่างชัดเจน เรียกได้ว่าเป็แบบอย่างสามีที่ดี ไม่มีบ้านสามบ้านสี่ ไม่ได้ออกไปดื่มเหล้าหรือทำอะไรทำนองนั้น ก็ไม่รู้ว่าทำไมซูหานถึงไม่ไว้ใจเขา...
[1] เมืองนอกด่าน หมายถึงเมืองที่อยู่นอกเขตสามด่านที่ “ คุมเส้นทางการค้าสำคัญ ” ของประเทศจีนโบราณอันประกอบด้วย ซันไห่กวาน ( 山海关 ) ทางตะวันออก เจียวี่กวาน ( 嘉峪关 ) ด่านคุมเส้นทางสายไหมทางตะวันตก และจวีหยงกวาน ( 居庸关 ) ด่านป้องกันทางเหนือของกรุงปักกิ่ง
