วันรุ่งขึ้นหลังงานแต่ง ทั้งสองคนไม่ทันได้ยกน้ำชาให้ผู้าุโ ก็ถูกฮูหยินเยี่ยนจับยัดเข้ารถม้ามุ่งหน้าไปยังวังหลวงเพื่อแสดงความขอบคุณ ราวกับกลัวว่าหากสายไปเพียงนิดเดียวแล้วจะเหมือนไม่จริงใจพออย่างนั้น ทั้งยังดูมีพิรุธราวกับคนกินปูนร้อนท้อง
ตอนนี้ฮ่องเต้มีพระชนมพรรษาราว 28-29 และเพิ่งจะขึ้นครองราชย์ได้เพียงปีเดียว เดิมทีทรงเป็โอรสของอดีตฮองเฮา น่าเสียดายที่อดีตฮองเฮาตไปก่อนเวลาอันควร ตระกูลฝ่ายแม่ค่อยๆ ถดถอยลง แม้จะทรงได้แต่งตั้งเป็องค์รัชทายาทไว้ก่อนแล้ว แต่กลับเทียบไม่ติดกับองค์ชายรองที่เกิดจากสนมคนโปรด โชคดีได้ตระกูลเยี่ยนที่มีกำลังทหารจำนวนมากในมือ และผู้นำของตระกูลเยวี่ยที่มีชื่อเสียงและคุณธรรมสูงส่งร่วมกันสนับสนุน จึงได้ขึ้นนั่งบนบัลลังก์ัอย่างทุลักทุเล ด้วยตเหตุนี้เยี่ยนและเยวี่ยทั้งสองตระกูลจึงเป็ดั่งแขนขาของฝ่าา แต่ไม่รู้จะทำอย่างไรกับความบาดหมางนับร้อยปีของสองตระกูล ความสัมพันธ์ย่ำแย่ถึงขนาดที่แตกหักกันเป็สองฝักสองฝ่าย ขุนนางขาดความสามัคคี โดยมีตระกูลเยี่ยนและตระกูลเยวี่ยเป็ตัวนำ ทุกๆ วันโต้เถียงกันไม่รู้จบ ฮ่องเต้รู้สึกว่าหากเป็เช่นนี้ต่อไปจะกระทบต่อความมั่นคงของชาติบ้านเมือง แม้ต้องบีบบังคับก็ต้องให้ลาดื้อทั้งสองตัวนี้คืนดีกันให้ได้
คู่แต่งงานใหม่คำนับฮ่องเต้กันตามลำดับ ฮ่องเต้เห็นว่าทั้งสองตระกูลแต่งงานกันอย่างเชื่อฟัง ทั้งยังเห็น “เยี่ยนอวิ๋นเฟย” ผู้มีความสามารถและหล่อเหลาเอาการ “เยวี่ยเยียนหราน” เองก็สง่างามผึ่งผาย เรือนร่างสะโอดสะอง ได้เห็นทั้งสองคนยืนคู่กันดั่งหยกคู่ พระพักตร์ัพลันปลื้มปีติ แล้วตบโต๊ะกล่าวขึ้น “ดียิ่ง กิ่งทองใบหยก ฟ้าส่ง์บันดาล ดูเหมือนว่าเราจะไม่ได้เสียแรงเปล่าจริงๆ ทหาร ตกรางวัล!”
ทั้งเยี่ยนและเยวี่ยรีบคุกเข่าขอบพระทัย ฮ่องเต้กลับเพียงแค่ยกมือขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ สำรวจมองเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเล็กน้อย แล้วจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เ้าหนุ่มตระกูลเยี่ยน ดูเหมือนว่าเ้าจะฝึกวรยุทธ์มาั้แ่เด็กสินะ?”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าา” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วยกมือคารวะ น้ำเสียงมีเอกลักษณ์ของเด็กหนุ่มในวัยเสียงแตกที่ฟังไม่แน่ชัดว่าเสียงหญิงหรือชาย แต่ความลับกลับไม่แตกเลยสักนิด
ฮ่องเต้พยักหน้า แล้วเหลือบมองที่เยวี่ยเยียนหรานที่ราวกับกุลสตรีจากตระกูลนักปราชญ์ชั้นสูงผู้ยืนอย่างสง่าผ่าเผยอยู่ด้านข้าง ก่อนเอ่ยอย่างมีนัย “ร่ำเรียนวิชายุทธ์ฝึกร่างกายนั้นแน่นอนว่าดี แต่ก็ละเลยการเรียนไม่ได้เช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อเ้าแต่งกับคุณหนูเยวี่ยผู้มีชื่อเสียงสูงส่ง ยิ่งต้องทุ่มเทกับการเล่าเรียนสักหน่อย”
“???” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วไม่รู้ว่าพูดถึงอะไรจึงเอี้ยวมาอีกทาง นางแต่งงานกับเยวี่ยเยียนหรานแล้วเกี่ยวอะไรกับการเรียนหนังสือกัน?
“เราหวังว่าความสัมพันธ์ของตระกูลพวกเ้าทั้งสองจะสมัครสมานสามัคคี น่าเสียดายที่แม่ทัพเยี่ยนและมหาบัณฑิตเยวี่ยต่างก็ดื้อรั้น ได้แต่ให้เ้าอวิ๋นเฟยที่เป็คนรุ่นหลังลดทิฐิเปลี่ยนทัศนคติเสียก่อน...” ฮ่องเต้พูดเองเออเอง โดยไม่มองสีหน้าที่สับสนมึนงงของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเลยแม้แต่น้อย “อวิ๋นเฟย การสอบซิวเหวย [1] ปีนี้ เ้าจงเตรียมตัวไว้ล่วงหน้าให้ดี ถึงเวลาสอบก็พยายามเข้าล่ะ!”
“หา?!” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วสงสัยว่าหูของตนมีปัญหาอะไรหรือไม่ “กระหม่อม แต่ว่ากระหม่อม...”
ฮ่องเต้ยิ้มพลางตบที่บ่าของนาง “ไม่ต้องเป็ห่วง เราจะหาอาจารย์เลื่องชื่อมาให้เ้า ถ้าหากเ้ามีชื่อผ่านเข้ารอบ พ่อตาของเ้าก็จะยิ่งชื่นชอบเ้าแน่...”
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วตะลึงงัน แต่ไม่เห็นมีใครบอกนางเลยว่าแต่งงานแล้วต้องไปเรียนหนังสือเพื่อเอาใจพ่อตาด้วย ถ้ารู้อย่างนี้นางจะรีบลำบากลำบนเป็พันลี้กลับจากเขาหัวซานมาหาเหาใส่หัวตัวเองทำไมกัน?
เยวี่ยเจาหรานที่นั่งตัวตรงไม่ขยับเขยื้อนราวกับพระโพธิสัตว์นั้นกลับฟังความนัยของฮ่องเต้ออก หากเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วไม่ทำตาม น่ากลัวว่าคงคิดจะยึดอำนาจทางการทหารของตระกูลเยี่ยน อีกอย่าง ตระกูลเยี่ยนกุมกำลังพลมาหลายปี โดยเฉพาะหลังจากที่สนับสนุนฮ่องเต้ขึ้นครองบัลลังก์ ก็ได้รวบอำนาจทัพเหนือทั้งสามมาไว้ในกำมือ ด้วยเหตุนี้ แม่ทัพใหญ่เยี่ยนจึงมีความดีความชอบเพียงพอที่จะได้รับพระราชทานยศนานแล้ว แต่เขากลับไม่ได้รับบรรดาศักดิ์ใด นั่นก็เพื่อที่จะจำกัดอำนาจของเขาไม่ให้แผ่ขยายออกไปอีก
“ถวายบังคมฝ่าาเพคะ” หญิงสาวที่แต่งชุดนางในคนหนึ่งเดินสับเท้าเข้ามาจากนอกท้องพระโรง แล้วโค้งคำนับฮ่องเต้ “ฝ่าา ฮองเฮาเรียกหาฮูหยินน้อยเยี่ยนเพคะ”
ฮ่องเต้ที่กำลังอยากจะล้างสมอง “เยี่ยนอวิ๋นเฟย” อยู่พอดี เมื่อได้ยินดังนั้นก็โบกมือให้เยวี่ยเจาหรานออกไปได้
ฮองเฮานั่งอยู่ในพระตำหนักโอ่อ่าอย่างน่าเกรงขาม แต่เมื่อเยวี่ยเจาหรานเดินเข้ามา ก็แย้มยิ้มอย่างใจดีดั่งลมวสันต์ที่หลอมละลายหิมะ ราวกับความองอาจก่อนหน้านี้ไม่เคยมีมาก่อน นางโบกมือให้เยวี่ยเจาหราน “มานี่สิแม่คนงาม มานั่งข้างๆ ข้า”
เยวี่ยเจาหรานเดินไปอย่างระมัดระวัง แต่กลับไม่กล้านั่งข้างกายฮองเฮาจริงๆ เขาเพียงแค่คำนับอย่างระมัดระวัง แล้วยืนอยู่อีกด้านเท่านั้น
ฮองเฮาพอใจกับความรู้กาลเทศะเช่นนั้นของนางอย่างมาก แล้วพยักหน้า “ไม่ต้องขัดเขิน เราให้เ้านั่งเ้าก็นั่งเถอะ”
ได้ยินดังนั้นเยวี่ยเจาหรานจึงยกชายกระโปรงแล้วนั่งลงข้างฮองเฮา หลังตั้งตรงราวกับตุ๊กตาไม้ ตรงตามแบบแผนมารยาทและประเพณีอย่างไร้ที่ติ
“เ้าออกเรือนเป็ฝั่งเป็ฝาแล้ว คงมีเื่เข้ามามากมาย เดิมทีนี่ควรจะเป็คำพูดของแม่เ้า แต่เรานั้นรู้สึกชอบเ้าั้แ่แรกเห็น ไม่ต้องพิธีรีตอง ข้ามไปเื่ของหญิงออกเรือนที่แม่ของเ้าคุยกับเ้ากันเถอะ” ฮองเฮากุมมือของเยวี่ยเจาหราน ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ราวกับชื่นชอบเยวี่ยเจาหรานจากใจจริง “เื่ภายในบ้านนั้นไม่ได้ง่ายไปกว่าเื่การบ้านการเมืองของพวกผู้ชายเลยแม้แต่น้อย ในทางกลับกัน หากคิดครวญจริงๆ ความซับซ้อนระหว่างผู้หญิงนั้นจึงจะเป็สิ่งที่น่าลำบากใจที่สุด”
เมื่อเยวี่ยเจาหรานได้ยินเช่นนั้น ก็รู้สึกสนใจขึ้นมาอย่างมาก จึงค่อยๆ โน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย จนแทบจะมีคำว่า “คาดหวัง” เขียนอยู่บนใบหน้าเลยทีเดียว
ฮองเฮาพอใจก็ท่าทางสนอกสนใจนั้นของเขาอย่างมาก ยิ่งมองก็ยิ่งชอบใจมากยิ่งขึ้น “มันก็เหมือนกับความเข้ากันได้ของแม่สามีและลูกสะใภ้ เ้ารู้หรือไม่ว่าใครกันที่มีบทบาทสำคัญที่สุด?”
“ไม่ทราบเพคะ” เยวี่ยเจาหรานส่ายหน้า
“นั่นคือสามีของเ้า ที่แม่สามีไม่ชอบลูกสะใภ้ก็ด้วยเหตุนี้มาั้แ่สมัยโบราณ โดยเฉพาะตระกูลเยี่ยนและตระกูลเยวี่ยของพวกเ้าทั้งสองนั้นบาดหมางกันเป็ทุนเดิม การที่แม่สามีจะไม่ชอบเ้าก็เป็เื่ธรรมดา แต่แทนที่จะประพฤติตัวสงบเสงี่ยมต่อหน้าแม่สามีเพื่อเอาใจนาง เ้าควรจะทุ่มเทอยู่ข้างกายอวิ๋นเฟยเสียมากกว่า ขอเพียงอวิ๋นเฟยรักเ้าให้เกียรติเ้า และปกป้องเ้าสุดหัวใจ ต่อให้เป็แม่สามีก็ยังต้องถอยให้” ฮองเฮาเอ่ยอย่างมีนัย “แต่บุรุษทุกผู้ในใต้หล้าก็ล้วนไม่อาจปกป้องเ้าได้ตลอดไป เ้าไม่เพียงต้องทำให้เขารักและเคารพเ้า ยังต้องทำให้ผู้หญิงทุกคนในบ้านอยู่ใต้เ้า เ้าคือนายหญิง เป็ภรรยาที่ถูกต้อง ย่อมต้องสูงส่งและสง่าผ่าเผย แต่กับอวิ๋นเฟยล่ะ? อวิ๋นเฟยไม่ใช่คนรับใช้ เขาคือสามีของเ้า หากเ้าเข้มงวดรุนแรงดั่งสายฟ้า รวดเร็วดั่งพายุ ต่อหน้าอวิ๋นเฟยเ้ายิ่งต้องยอมโอนอ่อนให้เขา บลาๆๆ ...”
เยวี่ยเจาหรานผู้เป็ชายแท้ทั้งแท่งมา 18 ปี ฟังแล้วก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ เขาไม่เคยได้ยินทฤษฎีการต่อสู้ภายในบ้านอันล้ำลึกที่ผสมผสานยุทธวิธีทางทหาร กลยุทธ์ และคัมภีร์หน้าด้านใจดำเป็หนึ่งเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกว่ามันช่างสุดยอดมาก เมื่อเห็นแววตาของฮองเฮายิ่งเผยความน่ายำเกรงมากขึ้น เขาก็แทบอยากจะลุกขึ้นปรบมือชื่นชมเสียตรงนั้นเลย
เมื่อเยี่ยนและเยวี่ยทั้งสองคนเดินออกมาจากประตูวังก็สบตากัน ต่างเห็นความเคารพยำเกรงต่อผู้สูงส่งทั้งสองในแววตาของอีกฝ่าย เพราะอย่างนี้ฝ่าาถึงได้เป็ฝ่าา ที่แท้ก็มีเหตุผลของมัน
ทั้งสองกลับมาที่จวน เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วราวกับคนที่ไม่มีธุระกงการอะไร เดินนวยนาดคิดจะกลับไปนอนต่อที่ห้อง โชคดีที่เยวี่ยเจาหรานรู้กาลเทศะ จึงรีบหิ้วเ้าตัวกลับมา ลากเ้าคนไม่ได้เื่คนนี้ไปยกน้ำชาให้ผู้าุโทั้งสองของตระกูลเยี่ยน
ฮูหยินเยี่ยนนั้นเห็นเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่เดินนำ “เยวี่ยเยียนหรานผู้บอบบาง” อย่างเอ้อระเหยลอยชายมาแต่ไกล พลันรู้สึกคิดไม่ตกขึ้นมาอีกครั้ง นางมองทั้งสองที่โค้งคำนับอยู่ตรงหน้าของตน ดูอย่างไรก็รู้สึกไม่สบอารมณ์แปลกๆ
หลิงหลงที่ยืนอยู่ข้างๆ บรรจงยกชาส่งให้กับเยวี่ยเจาหรานอย่างเฉียบแหลม เยวี่ยเจาหรานรีบรับมามอบให้ด้วยสองมือทันที เขาก้มหัวลงอย่างนอบน้อม กิริยามารยาทไร้ที่ติ
แต่ฮูหยินเยี่ยนก็ไม่ได้รับไว้ เพียงแค่นั่งสูงตระหง่าน ก้มหน้าชื่นชมผ้าเช็ดหน้าที่ไม่รู้ว่ามองแล้วมากี่ร้อยครั้ง หรือไม่ก็หันไปมองสีของน้ำชาบนโต๊ะอีกด้าน มองฟ้ามองดินชมนกชมไม้โดยที่ไม่ยอมมองสะใภ้ที่ยื่นถ้วยชามาให้
แม่ทัพเยี่ยนที่ขึ้นชื่อว่าเป็ผู้ชายกลัวเมียนั้น ยึดมั่นในคติที่ว่าเื่ของสตรีห้ามสอดมือเข้าไปยุ่ง เขาหดตัวแสร้งทำเป็รูปปั้นดินเหนียวที่วางเฉยไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น
เยวี่ยเจาหรานยื่นให้อยู่นานขนาดนี้แต่ฮูหยินเยี่ยนก็ยังไม่สนใจเขา เขาเพิ่งจะเรียนหลักสูตรบังคับการทำศึกในเรือนจากฮองเฮามาสดๆ ร้อนๆ เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนี้จึงเข้าใจในทันที ฮูหยินเยี่ยนนั้นกำลังวางอำนาจใส่เขาอยู่ เพื่อเป็การข่มอำนาจเขาั้แ่แรกเริ่ม และสร้างความหวั่นเกรงต่อนาง เพื่อที่นางจะเป็ฝ่ายได้เปรียบในศึกหลังบ้านต่อจากนี้ไป
เยวี่ยเจาหรานลอบคิดในใจว่าฮูหยินเยี่ยนช่างวางแผนได้อย่างดี กระนั้นแต่ไหนแต่ไรเขาก็เป็คนมีพร์เป็คนเฉลียวฉลาด ร่ำเรียนสิ่งใดก็เชี่ยวชาญไปทุกเื่ ฮูหยินเยี่ยนมีอุบายเยี่ยมยอด เขาก็ย่อมมีแผนการรับมือ
“เพล้ง—”
เสียงแตกของเครื่องเคลือบปลุกเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่กำลังแอบหลับอยู่ตื่นขึ้นมา เมื่อลืมตาขึ้น ก็เห็นเยวี่ยเจาหรานที่ล้มลงในอ้อมแขนของตนอย่างนุ่มนวล ดวงตาปิดสนิทเหมือนกับหมดสติไปแล้ว เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วรีบกดจุดเหรินจง [2] ของเยวี่ยเจาหรานอยู่สักพัก แต่เขาก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่นเลยแม้แต่น้อย
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วตกตะลึง นางเงยหน้าขึ้นมองฮูหยินเยี่ยนด้วยท่าทีที่ใจนพูดอะไรไม่ออก นางซักถาม “ท่านแม่ ท่านทำอะไรนาง! เหตุใดนางจึงสลบไปได้!”
เมื่อฮูหยินเยี่ยนได้ยินน้ำเสียงที่ถามอย่างกล่าวโทษของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็พลันโมโหขึ้นมา นางตบโต๊ะอย่างโกรธเคือง “นี่มันอะไรกัน! เ้าพูดกับแม่เช่นนี้หรือ?! เ้าลูกคนนี้ พอได้แต่งกับสะใภ้ก็ลืมแม่แล้วหรืออย่างไร?!”
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเหลือบมองแม่ที่กำลังโมโหของนางอย่างไม่แยแส ทำปากขมุบขมิบแต่ก็ไม่กล้าพูดออกเสียง
แม่ทัพเยี่ยนรีบจัดการสถานการณ์อย่างรวดเร็ว “อย่าทะเลาะกันๆ เรียกหมอมาเร็วเข้า เด็กๆ—“
“ไม่จำเป็!” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วรีบพูดแทรกเสียงแข็ง ล้อเล่นหรือ จะเรียกหมอมาประกาศให้ใต้หล้ารู้ว่าคนในอ้อมแขนนางคนนี้ ความจริงเป็ชายวิปริตที่ชอบปลอมเป็สตรีหรืออย่างไร? ท่านแม่ที่กำลังโมโหน่ากลัวว่าจะอยากตีเยวี่ยเจาหรานให้ตายเสียตรงนั้น เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วคิดถึงตรงนี้ก็อดหวาดเสียวขึ้นมาไม่ได้ จึงรีบใช้กำลังภายในอุ้มเยวี่ยเจาหรานที่เป็ลมหมดสติขึ้นมาแล้ววิ่งตรงไปยังเรือนหอ ด้วยกลัวว่าหากช้าไปสักก้าว เ้าคนไม่ได้เื่ในอ้อมแขนนี่จะเืสาดอยู่ตรงนั้นเอาได้
หลิงหลงมองที่เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วรีบอุ้มเยวี่ยเจาหรานไป ก็พลันรู้สึกอิจฉา นางจึงอุทานออกมาอย่างอดใจไม่ไหว “ความสัมพันธ์ของคุณชายใหญ่กับฮูหยินน้อยช่างดีเหลือเกิน”
“นั่นสิ...” ฮูหยินเยี่ยนเอ่ยตอบรับขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ทันใดนั้นก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ที่อุ้มเยวี่ยเยียนหรานกลับห้องไปอย่างลนลานนั้นเป็ลูกสาว ไม่ใช่ลูกชายของนางนี่นา!
ฮูหยินเยี่ยนรู้สึกเหมือนหน้าจะมืด ตบหน้าขาที่กำลังสั่นเทา “พาซวยเข้าบ้าน! พาซวยเข้าบ้าน!”
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วไม่สนใจว่าฮูหยินเยี่ยนจะโมโหตึงตังอย่างไร รีบพาเยวี่ยเจาหรานกลับมายังเตียงในเรือนหอ นางถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เยวี่ยเจาหราน ไม่นึกว่าเ้าจะสุขภาพย่ำแย่ แบกเ้าอย่างกับแม่หมูลูกอ่อนหนักสองร้อยชั่งอย่างไรอย่างนั้น”
เยวี่ยเจาหรานฟังคำเปรียบเทียบแปลกประหลาดของนาง เปลือกตาสองข้างก็กระตุกขึ้นมา ในใจด่าทอเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วอย่างหยาบคาย เ้าคนบ้านี่!
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วถูฝ่ามือพลางทำหน้านิ่วคิ้วขมวด มองเยวี่ยเจาหรานผู้แสนเปราะบางตรงหน้า ก็อดพูดขึ้นไม่ได้ “เ้าบอกว่าเคยแต่งงานแล้ว เหตุใดจึงไม่ทำให้มันเด็ดขาดหมดจดสักหน่อยเล่า”
อะไรคือหมดจดสักหน่อยกัน? เยวี่ยเจาหรานรู้สึกว่าบางส่วนพลันรู้สึกเย็นวาบขึ้นมา ท่ามกลางสายตาร้อนแรงของใครบางคน
“บางทีถ้าหมอมาแล้วตรวจพบว่าเ้าเป็พวกคุณชายที่เป็กามโรค... หรือไม่ก็เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดหายนะขึ้นภายหลัง พวกเราก็...”
ขณะที่เยวี่ยเจาหรานฟังคำพูดนั้นของนางก็ยังไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อข้างหูได้ยินเสียง “ชิ้ง” คล้ายดาบที่ถูกดึงออกจากฝัก ทันใดนั้นหัวใจก็หล่นวูบ คิดจะดีดตัวลุกขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้ตนต้องกลายเป็ขันทีในชั่วพริบตาต่อไป
“เอ๊ะ! จริงสิๆ ข้าคิดออกแล้ว!” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่ววางดาบไว้ข้างๆ เยวี่ยเจาหรานที่เกือบจะ ‘ลุกขึ้นนั่งกะทันหันทั้งที่ป่วยเจียนตาย’ พลันคิดอะไรขึ้นได้ แล้วถูฝ่ามืออย่างตื่นเต้น “ศิษย์พี่ที่เขาหัวซานเคยสอนวิธีช่วยคนโดยการ ‘ผายปอด’ ให้ข้านี่นา เหมือนว่าจะทำให้คนใกล้ตายฟื้นขึ้นมาได้อย่างอัศจรรย์”
ผายปอด? มันคืออะไรกัน? เยวี่ยเจาหรานงุนงง ยังไม่ทันที่จะคิดหาเหตุผลได้ ก็รู้สึกร้อนวาบที่ริมฝีปาก ราวกับประกบกับขนมแป้งนุ่มนิ่มอย่างนั้น เยวี่ยเจาหรานพลันตื่นเต็มตา เมื่อลืมตาขึ้น แน่นอนว่าต้องพบกับใบหน้าใหญ่ๆ อันน่าชิงชังของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว
เยวี่ยเจาหรานผลักเ้าตัวออกไปทันที เขาเช็ดปากไปพลางเอ่ยอย่างมาดร้าย “เ้าโรคจิตไร้ยางอาย บังอาจที่สุด! ไร้ศีลธรรม! เ้าบ้า!”
“อืม...” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกว่าท่าทางของเยวี่ยเจาหรานนั้น ราวกับหญิงสาวบริสุทธิ์ที่ยอมตายดีกว่ายอมถูกข่มเหงย่ำยี “เ้าใจเย็นก่อน”
“ข้าจะใจเย็นอย่างไร! ใจเย็นได้อย่างไร! ความบริสุทธิ์ของข้า!” เยวี่ยเจาหรานตบเตียงดังปึงปัง เสียงดังจนทำให้หูของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วอื้ออึงไปชั่วครู่
“ข้า ข้าทำไปเพื่อช่วยเ้าอย่างไรเล่า!” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วมองเขาที่ทำตัวเป็หญิงไร้เหตุผลที่พยายามจะฆ่าตัวตาย พลันรู้สึกโมโหขึ้นมาเช่นกัน “ดูสภาพเหมือนหญิงเอาแต่ใจของเ้าสิ รู้อย่างนี้ ข้าน่าจะรีบแต่งงานกับลูกสาวคนที่สามของป้าหวังที่ขายหมูอยู่หัวมุมถนนตงซื่อเสียยังดีกว่า จะได้ไม่ต้องมารองรับอารมณ์ของเ้า!”
เส้นเืดำบนหน้าผากของเยวี่ยเจาหรานเต้นตุบๆ “เยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว เ้าอย่าคิดว่าข้าไม่กล้าลงมือ...”
“งั้นจะพูดพล่ามอยู่ทำไม?” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วนั้นฮึกเหิมกว่าเยวี่ยเจาหรานมาก ยังไม่ทันสิ้นเสียง หมัดของนางก็ส่งเสียงคำรามแหวกอากาศ—
“ตูม—“
“ปัง—“
คนรับใช้ที่อยู่นอกห้องหดคอแล้วมองหน้ากัน เมื่อฟังเสียงความเคลื่อนไหวในห้อง เห็นได้ชัดว่าทั้งสองคนกำลังทำากันใหญ่โต
“พี่ยิงเอ๋อ เหมือนว่าคุณชายใหญ่จะทะเลาะกับฮูหยินน้อย... ทำอย่างไรดี?”
“พี่ยิงเอ๋อ พวกเราต้องเข้าไปดูสักหน่อยหรือไม่?”
เด็กรับใช้กำผ้าเช็ดหน้าอย่างลนลาน ยิงเอ๋อที่เป็สาวรับใช้คนสนิทของเยี่ยนอวิ๋นเฟยนั้นเป็หนึ่งในไม่กี่คนที่รู้ว่าข้างในหาใช่เยี่ยนอวิ๋นเฟยไม่ แต่เป็คุณหนูใหญ่เยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว คิดในใจ ในเมื่อคนที่วิวาทอยู่ข้างในคือคุณหนูใหญ่ เป็หญิงสาวที่ยังไม่แต่งงานเช่นกัน ก็ไม่น่าจะเกิดเื่อะไรใหญ่โตขึ้นมาได้ นางจึงเอ่ยอย่างใจเย็น “ไม่ต้องหรอก พวกเราเป็บ่าว เข้าไปยุ่งเื่ของเ้านายได้ที่ไหน ยิ่งกว่านั้นคนอื่นแค่ทะเลาะกัน พวกเราเข้าไปขวางแล้วจะได้อะไร”
เห็นได้ชัดว่ายิงเอ๋อนั้นประเมินพลังการต่อสู้ที่ได้รับสืบทอดมาจากเมืองลับแลแห่งเขาหัวซานของคุณหนูใหญ่นางต่ำเกินไป ตอนที่เยวี่ยเจาหรานที่เดินออกมาจากในห้องด้วยหน้าดำคร่ำเครียด และเบ้าตาซ้ายฟกช้ำดำเขียวเหมือนจะมีเืไหลนั้น เกือบจะทำให้ยิงเอ๋อใจนเป็ลม...
“ฮูหยินน้อย! คุณชายใหญ่ลงมือกับท่านเช่นนี้ได้อย่างไร—" ยิงเอ๋อร้องเสียงแหลม
“โอ้...”
คนรับใช้ส่งเสียงฮือฮา
ข่าวคราวความรุนแรงในครอบครัวของเยี่ยนอวิ๋นเฟยกระจายไปทั่วจวนเยี่ยนรวดเร็วดั่งลมพายุ
ผ่านไปไม่ถึงครึ่งวัน ก็รู้กันทั้งเมืองหลวง
มหาบัณฑิตเยวี่ยตัวสั่นสะท้าน ชี้ไปยังประตูเคลือบสีแดงที่ปิดสนิทของจวนเยี่ยนด้วยนิ้วอันสั่นเทิ้ม ะโกับคนใช้คนสวนที่ถือมีดไม้ครบมือ “ทุบ! ทุบให้พัง! กล้าทำร้ายลูกช... ลูกสาวข้า! ข้าจะเอาชีวิตมัน!”
ตระกูลเยวี่ยเป็ตระกูลบัณฑิตมาหลายรุ่น แต่บรรดาบ่าวรับใช้นั้นล้วนเป็ทหารผ่านศึกจากกองทัพ กล้ามเนื้อบึกบึน แข็งแกร่งเหลือคณา เสียงกระทุ้งประตูจวนเยี่ยนดังกึกก้องราวกับสายฟ้าฟาด
ตระกูลเยี่ยนต่อสู้ในสนามรบมาหลายชั่วอายุคน วันนี้ถูกข้าหลวงพาบ่าวรับใช้มาทุบประตูบ้าน มีหรือจะทนได้? ดังนั้นเพียงชั่วครู่เดียว ไม่รอให้ตระกูลเยวี่ยกระทุ้งเข้ามาได้ จวนเยี่ยนก็เปิดประตูจวนออกเอง
แม่ทัพเยี่ยนโกรธเกรี้ยวดุดัน กระทืบเท้าชี้หน้ามหาบัณฑิตเยวี่ย “ข้ารู้แล้วว่าบัณฑิตอย่างพวกเ้ามันไร้ยางอาย!”
มหาบัณฑิตเยวี่ยหัวเราะด้วยความโกรธ “แล้วเ้ามียางอายหรือไร! มีอย่างที่ไหนให้ลูกชายเ้ามาตบตีลูกช... ลูกสาวข้า! ลูกสาวข้าเป็คนเรียนหนังสือ ไร้พละกำลัง! ความละอายของคนตระกูลเยี่ยนอย่างพวกเ้า กลืนลงท้องหมาที่ไหนไปหมดแล้วหรือ!”
“เหลวไหล!” เส้นเืดำบนหน้าผากแม่ทัพเยี่ยนเต้นตุบๆ อยากจะพูดว่า ‘ตีก็ตีสิ นั่นก็ลูกสาวของข้าเหมือนกันไม่ใช่หรืออย่างไร เด็กผู้หญิงสองคนลงไม้ลงมือกันมันจะเื่ใหญ่แค่ไหนกันเชียว?’ แต่คำพูดนี้เขากลับพูดออกไปไม่ได้ ทำได้เพียงข่มกลั้นอารมณ์เอาไว้ในอก
ทั้งสองคนล้วนโมโหโกรธาแล้วจะทำอย่างไรได้ ก็ได้แต่สู้กันนั่นแหละ
การต่อสู้กันกลางถนนของสองตระกูลทำให้ทั้งเมืองหลวงตื่นตระหนก ฮ่องเต้ที่อยู่ในห้องทรงพระอักษรทรงกริ้วจนตบโต๊ะดังลั่น “งามหน้านัก! น่าอัปยศเหลือเกิน!”
เสี่ยวอวี้จื่อหดคอลง แล้วเอ่ยถามอย่างขลาดกลัว “ฝ่าา ท่านเ้าเมืองมาขอคำชี้แนะเื่นี้ จะทำอย่างไรดีพ่ะย่ะค่ะ?”
ฮ่องเต้ที่กำลังโกรธเกรี้ยว เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ตวาดอย่างเ็า “สองคนรวมกันก็เกือบร้อยปีแล้ว ถ้าหากพวกเขาไม่กลัวขายขี้หน้า ก็ให้ตีกันไปเลย! เราจะดูว่าพวกเขาจะทิ้งหน้าแก่ๆ นั่นไปได้หรือไม่!”
เสี่ยวอวี้จื่อไม่กล้าเอ่ยอะไรอีก
แต่ในความเป็จริง เมื่อสองคนนั้นเข้าใกล้กันก็ไม่สามารถคุยกันด้วยเหตุผลได้แน่นอน
จะทิ้งหน้าแก่ๆ นั่นได้หรือไม่อย่างนั้นหรือ? อย่าว่าแต่ทิ้งเลย หากแกะหนังหน้าออกมาตีไอ้แก่ฝ่ายตรงข้ามนั่นตายได้ พวกเขาก็แทบอยากจะฉีกหนังออกมาให้หมดทั้งตัว
การต่อสู้ครั้งนี้ดำเนินไปจนถึงตอนเย็น ชินอ๋องจิ้งที่อยู่ใกล้เคียงถูกเสียงต่อสู้กันดังรบกวนจนกินข้าวไม่ลง จึงถือดาบนำทหารของตนไปปราบปรามการต่อสู้ที่ไร้สาระนี้ และถนนสายตะวันออกของเมืองหลวงก็กลับสู่ความสงบอีกครั้ง
[1] การสอบชิวเหวย (秋闱) คือการสอบคัดเลือกขุนนางระดับจังหวัด ซึ่งสอบตามเมืองเอกของแต่ละมณฑล โดยจะจัดสอบทุกๆ 3 ปี ใน่ฤดูใบไม้ร่วง
[2] กดจุดเหรินจง (掐人中) จุด “เหรินจง” เป็จุดที่อยู่บนเส้นลมปราณ อยู่บริเวณร่องใต้จมูก เมื่อเป็ลมหมดสติให้กดจุดนี้ ผู้ป่วยจะค่อยๆ รู้สึกตัว