หลังจากซื้อทาสเรียบร้อย หลิวเต้าเซียงก็ทุ่มเทกับการทำกิจการวุ้นเส้นอันใหญ่โตอย่างเต็มตัว ของสิ่งนี้แม้นราคาถูก แต่ไม่แน่ว่าคนที่ชื่นชอบอาจจะมีมาก แม้ผลกำไรน้อยแต่ก็เน้นที่ปริมาณได้
หลิวเต้าเซียงให้คนรวบรวมซื้อมันเทศ ในขณะเดียวก็ไปที่ร้านเหล็กของบ้านป้าหลี่เพื่อสั่งทำกระชอนไว้ทำวุ้นเส้น
วันเวลาที่วุ่นวายเหล่านี้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็ผ่านไปห้าหกวัน
สายลมพัดพาแดดอบอุ่น บุปผาทองเคียงคู่หญ้าเขียวขจี
ในฤดูใบไม้ผลิ ดวงอาทิตย์ยามบ่ายจะอบอุ่นและสร้างความสุขใจ
เวลาที่แสงแดดสาดส่องบนตัวนั้นราวกับคนรักโอบกอด ทำให้ผู้คนเกิดความอิ่มเอมใจ
หลิวเต้าเซียงบิดี้เีแล้วคว้าเมล็ดทานตะวันในกำมือลงจาน จากนั้นก็รับน้ำชาอุ่นที่ชิงเหมยยื่นให้และดื่มลงไปหลายอึกใหญ่
หลิวชิวเซียงเหลือบมองนาง ยิ้มแล้วเอ่ย “ดื่มเหมือนวัวอีกแล้วนะ หากท่านย่าหวงเห็นเข้า เ้าคงถูกถลกหนังแน่”
“ดื่มเหมือนวัวก็ช่างปะไร คนเราก็ต้องอยู่อย่างมีความสุข อีกอย่างกฎเกณฑ์มารยาทไว้ทำให้คนนอกดู เราไม่ควรทำตามกฎอันคร่ำครึและสูญเสียความสุขไป”
หลิวเต้าเซียงใช้โอกาสนี้ส่งสารต่อไปยังพี่สาวเงียบๆ กฎที่ว่ากันเป็เพียงเื่ของเสื้อผ้าการแต่งกายต่อหน้าผู้คน แต่เมื่ออยู่เื้ัผู้คน เราเคยอยู่อย่างไร ตอนนี้ก็ใช้ชีวิตแบบนั้น ไม่จำเป็ต้องทำเพื่อรักษากฎเกณฑ์และบีบบังคับให้ตนเองกลายเป็เหมือนหุ่นไม้เชิด
หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ นางไม่อยากให้พี่น้องของตนต้องกลบนิสัยเดิมเพียงเพื่อการรักษากฎระเบียบ
หลิวชุนเซียงพุ่งเข้าไปในอ้อมกอดของนางแล้วบิดตัวไปมา เอ่ยด้วยน้ำเสียงหัวเราะคิกคักทำเอาคนใจอ่อนระทวย “พี่รอง ท่านพี่ฉลาดที่สุด นั่นสิ กฎระเบียบน่าเบื่อนัก นี่ก็ไม่ได้ นั่นก็ไม่ได้ ข้าว่าบ้านเราตอนไม่มีกฎระเบียบ จะกินอย่างไรก็กิน นอนอย่างไรก็นอนดีกว่า”
หลิวเต้าเซียงยิ้มตาพริ้มแล้วลูบศีรษะของนาง น้องสามเพิ่งจะสี่ขวบ เป็่ที่ร่าเริงสดใสที่สุด ไฉนเลยจะทนกับการเข้มงวดเช่นนี้ได้
“เ้าน่ะ กฎยังคงต้องเรียนรู้ให้ดี เพียงแต่ว่าลับหลังคน เราอยากทำอะไรก็ทำ เ้าต้องจำไว้ว่า พ่อเราคือซิ่วไฉ ต่อไปไม่ได้เป็แค่ปุถุชนธรรมดา เหล่าบัณฑิตล้วนถือเื่แบบนี้ เราไม่ควรทำให้ท่านพ่อเสียหน้า”
หลิวชิวเซียงได้ยินดังนั้นก็ชะงัก ทันใดนั้นนางก็พบว่าตนเองโง่เขลาเอง
ก่อนหน้านี้มีแม่เฒ่าของบ้านย่าหวงมาสอนกฎระเบียบ หลิวชิวเซียงที่เป็คู่หมั้นของหวงเสียวหู่จึงใส่ใจทุ่มเทมากกว่าใคร ทั้งกังวลเื่ที่แม่สามีนั้นเข้มงวดกับเื่กฎระเบียบ และกังวลว่าน้องสาวจะไม่ตั้งใจเรียน ต่อไปจะเสียเปรียบในบ้านสามี
นี่จึงทำให้ทุกครั้งหลังจากเรียนเสร็จ หลิวชิวเซียงก็มักจะขอให้น้องสาวทั้งสองเรียนให้เข้าถึงกระดูก แต่ถึงอย่างไรการกระทำนี้ก็ไม่ได้มีผลร้ายเสียทีเดียว ถ้าจะเสียก็คงอยู่ที่นางต้องคอยเตือนน้องสาวทั้งสองอยู่บ่อยครั้ง
มีอยู่่ระยะเวลาหนึ่ง หลิวเต้าเซียงสงสัยว่าพี่สาวตนเองนั้นมีิญญาหรงโมโม่ [1] เข้าสิงหรือไม่
หลิวเต้าเซียงจึงอาศัยบรรยากาศที่ครึกครื้นในวันนี้ แอบชี้แนะตักเตือนพี่สาวของตนเล็กน้อย
เกิดเป็มนุษย์ อย่าใช้ชีวิตให้เหนื่อยเกินไป!
สุดท้ายความสุขของตนเองก็สำคัญที่สุด!
หลิวชิวเซียงก้มหน้าขมวดคิ้วไตร่ตรอง หลิวเต้าเซียงยิ้มมุมปากอย่างชั่วร้าย แล้วขยิบตาให้หลิวชุนเซียง คราวนี้เ้าคงได้ใจสินะ?!
หลิวชุนเซียงหัวเราะคิกคัก เสียงใสกังวานของนางสะท้อนอยู่ในลานบ้าน แล้วลอยละล่องออกไปทางกำแพงบ้าน
หลิวซานกุ้ยที่กำลังรีบกลับบ้านได้ยินเสียงหัวเราะร่าเริงของบุตรสาวตัวน้อยข้ามกําแพง จึงยกยิ้มมุมปาก ภรรยากับลูกๆ ของเขากำลังครึกครื้นกันทีเดียว
เขากวักมือเรียกเกวียนวัวเพื่อให้บังคับไปยังที่ดินราบเรียบที่เพิ่งถมเสร็จ
เสียงวุ่นวายข้างนอกทำให้สามพี่น้องตื่นตัวและพากันไปดูอย่างไม่ต้องสงสัย
จากนั้นก็ได้ยินเสียงบุตรสาวที่เรียกขานท่านพ่อ
หลิวเต้าเซียงเห็นว่ามีคนจำนวนมากอยู่ในบ้าน จึงสั่งให้ชุนเจียวไปเรียกมารดากับท่านย่าที่หลังบ้าน เพื่อรายงานว่าท่านพ่อพาคนนำอิฐสีน้ำเงินกลับมาแล้ว
ในขณะเดียวกัน หลิวชิวเซียงได้สั่งให้อวี๋เยี่ยนไปซื้อเนื้อหมูที่ปากทางหมู่บ้านกลับมา ส่วนหลิวชุนเซียงก็ให้จือชูไปต้มน้ำชาที่ห้องครัว
หลิวซานกุ้ยเห็นว่าบุตรสาวทั้งสามสั่งงานคนรับใช้อย่างรู้การรู้งาน ทั้งยังจัดการทุกเื่ได้อย่างเหมาะสมไม่ติดขัด ในใจจึงได้รับการปลอบประโลม แต่ก็รู้สึกเจ็บแปลบเช่นกัน เขาไม่อยู่บ้านเพียงแค่ห้าหกวัน บุตรสาวก็เติบโตและรู้เื่มากขึ้น ทั้งยังมีท่าทางของกุลสตรีอีกด้วย
หลังจากที่ทุกคนจัดวางอิฐสีน้ำเงินอย่างเป็ระเบียบ น้ำชาที่ต้มเสร็จแล้วก็ถูกนำมาให้ทุกคนได้ดื่ม
ส่วนชุนเจียวได้ตามจางกุ้ยฮัวและเฉินซื่อกลับมาแต่เนิ่น ทั้งสองเพียงแค่ออกมาทักทายหลิวซานกุ้ย จากนั้นก็เดินกลับเข้าไปในบ้านต่อ ได้ยินหลิวซานกุ้ยบอกว่าคนเหล่านี้แค่ช่วยขนอิฐ ประเดี๋ยวยังต้องเดินทางกลับข้ามคืน จึงขอให้ท่านแม่ยายเรียกคนให้ช่วยทำอาหารไว้
อวี๋เยี่ยนซื้อเนื้อจากปากทางหมู่บ้านมาไม่เยอะมาก จึงไปขอยืมกับบ้านท่านย่าหวงมาก่อนบางส่วน
เนื่องจากหลิวซานกุ้ยกลับบ้านมา ทั้งครอบครัวจึงยิ้มไม่หุบ อีกทั้งเมื่อมองดูอิฐสีน้ำเงินตรงลานบ้าน พลันรู้สึกว่าชีวิตที่แสนดีงามอยู่ตรงหน้าแล้ว
“อิฐของเราซื้อมาหมดแล้วหรือ?” คนที่ถามคือจางกุ้ยฮัว เมื่อมองดูอิฐสีน้ำเงินที่กองเป็เนินเล็กๆ ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าหุบไม่ลง
หลิวซานกุ้ยเหน็ดเหนื่อยกับความยุ่งเหยิงอยู่ห้าหกวันจนเหมือนร่างจะแตกสลาย เมื่อเห็นท่าทางสุขสันต์ของภรรยากับลูกๆ ก็รู้สึกว่าความเหน็ดเหนื่อยเพียงแค่นี้ไม่เท่าไร
“ไม่พอหรอก นี่เป็เพียงของที่ใช้ใน่เริ่มต้น”
จางกุ้ยฮัวใช้โอกาสนี้เรียกบ่าวรับใช้ทุกคนที่เพิ่งซื้อมา เพื่อให้รู้จักกับเ้านายที่ใหญ่ที่สุดในบ้าน
เมื่อหลิวซานกุ้ยได้ยินว่าเซวียต้าเหอนั้นจะมาช่วยปรนนิบัติเขาโดยเฉพาะ จึงยกฝ่ามือขึ้นแล้วยิ้ม “ดีมาก ข้ากำลังคิดอยู่ว่าจะไปหาใครมารดน้ำอิฐสีน้ำเงินเหล่านี้ดี”
อิฐสีน้ำเงินวางอยู่หน้าบ้าน ต้องมีความชื้นระดับหนึ่งจึงจะดี เช่นนี้จะทำให้บ้านที่สร้างมีความแข็งแรงมากขึ้น
คนอื่นไม่ค่อยเข้าใจ แต่หลิวเต้าเซียงเข้าใจ ความหมายของหลิวซานกุ้ยคือ อิฐสีน้ำเงินเหล่านี้หากมีความชื้นมากพอ เวลาที่ฉาบลงไปจะเพิ่มความเหนียวแน่นของก้อนอิฐและปูน อิฐที่แห้งเกินไปจะทำให้ติดกันและไม่คงทน
“หลิวซานกุ้ย รีบไสหัวออกมาเดี๋ยวนี้”
เมื่อได้ยินเสียงแหลมนี้ ทั้งครอบครัวที่กำลังมีความสุขก็หยุดเสียงหัวเราะไว้ทันใด
จางกุ้ยฮัวขมวดคิ้วและมองออกไป ในแววตาแฝงไปด้วยความชิงชังเล็กน้อย ตอนนี้บ้านของนางรุ่งเรืองแล้ว ไม่จำเป็ต้องใช้ชีวิตก้มหน้าก้มตาคอยสังเกตสีหน้าของแม่สามีไปวันๆ นางจึงยิ่งไม่ชอบหน้าหลิวฉีซื่อ
หลิวเต้าเซียงวางชามและตะเกียบลง แล้วมองดูต้าเฮยเห่าอย่างบ้าคลั่ง พลันเอ่ย “สุนัขบ้านเรานับวันก็ยิ่งดุร้าย”
หลิวชิวเซียงมองออกไปอย่างครุ่นคิด
ใบหน้าของหลิวซานกุ้ยนั้นนิ่งและมืดมนดุจน้ำลึก!
ส่วนเฉินซื่อเพิ่งถอนหายใจอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่พูดอะไร แล้วส่งสัญญาณให้ซีเมิ่งคีบอาหารให้หลิวชุนเซียง
จางกุ้ยฮัวเห็นว่าทุกคนไม่ได้ส่งเสียง ด้วยความระอาจึงได้แต่เอ่ยปากว่า “พ่อของลูก ดูเหมือนท่านแม่มา”
“อืม!” หลิวซานกุ้ยตอบอย่างไม่เต็มใจ
“หลิวซานกุ้ย รีบไสหัวออกมาเดี๋ยวนี้!” หลิวฉีซื่อไม่กล้าเข้าบ้าน ต้าเฮยน้ำลายไหลยืดและแยกเขี้ยวขู่นาง จึงได้แต่เขย่งเท้าแล้วะโจากด้านนอกอย่างไม่พอใจ
หากจะถามว่านางได้ข่าวคราวอย่างไร ก็คงต้องเอ่ยถึงชุ่ยหลิว
นับั้แ่เป็อนุของครอบครัวรองหลิวเหรินกุ้ย ชุ่ยหลิวก็พลิกตัวราวกับตนเป็เ้านาย เนื่องจากรู้ว่าบ้านหลังนี้หลิวฉีซื่อเป็คนกุมอำนาจทั้งหมด เมื่อนางรู้ว่าครอบครัวหลิวเต้าเซียงมั่งคั่งจากปีที่แล้ว จึงยุยงต่อหน้าหลิวเหรินกุ้ยและหลิวฉีซื่อไม่น้อย
นี่ปะไร วันนี้หลิวซานกุ้ยเพิ่งจะพาคนกลุ่มใหญ่ลากอิฐสีน้ำเงินกลับมา ข่าวคราวก็เหมือนกับติดปีกบินไปทั่วหมู่บ้านสามสิบลี้อย่างรวดเร็ว
เมื่อได้ยินว่าเขาใช้เงินซื้ออิฐสีน้ำเงินมาไม่น้อย จิตใจของหลิวฉีซื่อก็กระสับกระส่าย
ชุ่ยหลิวเห็นว่าครอบครัวของหลิวเต้าเซียงรุ่งโรจน์จนถึงขั้นจะสร้างบ้านใหม่ แล้วเห็นกับตาว่าหลิวซานกุ้ยลากอิฐสีน้ำเงินชั้นดีกลับมาโดยที่นางทำอะไรไม่ได้ จึงรีบร้อนวิ่งกลับบ้านราวกับไฟไหม้ จากนั้นพุ่งเข้าไปที่ห้องของหลิวฉีซื่อ แล้วเอ่ยอย่างหอบหายใจ “เหล่าฮูหยิน ท่านรู้หรือไม่ว่าน้องสามกลับมาแล้ว เขามีเงินมากถึงขั้นจะสร้างบ้านหลังใหญ่ บ่าวได้ยินคนข้างนอกพูดอย่างชัดเจนว่านั่นคืออิฐสีน้ำเงินชั้นดี ได้ยินว่าเป็อิฐที่ดีที่สุดของอำเภอข้างๆ หากบ้านหลังนั้นสร้างเสร็จ ลำพังมูลค่าของอิฐคงจะแตะหลายร้อยตำลึงเชียวเ้าค่ะ!”
“เ้าว่าอะไรนะ? หลิวซานกุ้ยซื้ออิฐสีน้ำเงินจริงหรือ?” หลิวฉีซื่อไม่อยากจะเชื่อหูตนเอง
ในใจของนาง หลิวซานกุ้ยมีแต่เลี้ยงไก่และหมู ก็ยิ่งเป็ไปไม่ได้ที่จะสร้างบ้านหลังใหญ่ นางปฏิเสธที่จะเชื่อ แม้ว่าในความเป็จริงครอบครัวของเขาจะหาเงินได้มากมายก็ตาม
“ใช่เ้าค่ะ เหล่าฮูหยิน ได้ยินว่าอิฐสีน้ำเงินนั้นดีกว่าของบ้านเราไม่น้อย และแพงกว่าไม่น้อยด้วย” ชุ่ยหลิวรู้สึกถึงความไม่ยุติธรรม ทั้งที่หลิวเหรินกุ้ยเก่งกว่าหลิวซานกุ้ย แต่เหตุใดคนที่รุ่งเรืองมั่งคั่งกลับไม่ใช่ผู้ชายที่นางปรนนิบัติ
เื่อะไรที่คนหยาบโลนอย่างจางกุ้ยฮัวยังมีคนปรนนิบัติดูแล ขณะที่นางทำอะไรกลับต้องพึ่งตนเอง
แม้จะบอกว่าเป็สะใภ้คนหนึ่งของครอบครัวรอง แต่นางก็ต้องทำงานทุกวัน ซึ่งมากกว่าตอนก่อนแต่งงานเสียอีก
หลิวฉีซื่อถึงกับอึ้งไป อิฐสีน้ำเงินก็มีการแบ่งระดับด้วยหรือ?
“เ้าบอกว่ามันแพงกว่าของเราหรือ?”
เสียงแหลมนั้นดังแสบแก้วหู
ชุ่ยหลิวตอบ “เ้าค่ะ ได้ยินว่าซื้อมาจากอำเภอข้างๆ เป็แหล่งเผาอิฐที่ดีที่สุดในเขตชิงโจว ได้ยินว่ายากนักที่จะได้มา”
หลิวฉีซื่อโกรธ “เ้าหลิวซานกุ้ยตัวดี ช่างเป็คนอกตัญญูนัก มีเมียลืมพ่อแม่ ตอนนี้ได้ดีมั่งคั่ง กลับไม่รู้จักเอาเงินมาตอบแทนพ่อแม่เยอะๆ ทั้งปีให้แค่สองตำลึง คิดว่าไล่ขอทานหรือ!”
แต่นางกลับไม่เคยคิดว่า ตอนที่แยกครอบครัวนั้น นางเองก็ทำเกินเหตุ แบ่งเพียงที่นาดีสองไร่ แล้วยังขอให้อีกฝ่ายมอบเงินเลี้ยงดูยามแก่ให้สองตำลึงทุกปี หากพูดให้กระจ่างก็คือ ทั้งปีครอบครัวหลิวซานกุ้ยนับว่าเสียแรงเปล่าในการทำที่นาดีสองไร่นั้นโดยที่ตัวเองไม่ได้อะไร
แต่ตอนนี้นางกลับโกรธเคืองที่เขามอบเงินตอบแทนให้น้อยอย่างไม่รู้จักอาย โดยลืมแผนการชั่วร้ายที่ตนเองเคยทำไว้จนหมดสิ้น
ชุ่ยหลิวยังคงรู้สึกว่าเื่ยังบานปลายไม่พอ จึงกัดฟันพูดไม่ยอมหยุด “เหล่าฮูหยิน บ่าวได้ยินคนอื่นเขาพูดคุยว่า บ้านที่ครอบครัวน้องสามจะสร้าง ไม่เพียงแค่เป็บ้านเอ้อร์จิ้นย่วนอิฐสีน้ำเงิน ทั้งยังมีเรือนคั่วย่วน [2] ฝั่งซ้ายขวาด้วย บอกว่าทำไว้ให้ลูกสาวของนางพัก เหล่าฮูหยิน หากจะให้บ่าวพูดละก็ น้องสามควรสร้างคั่วย่วนไว้ให้ท่านกับนายท่านได้พักมากกว่า เหตุใดจึงได้ใจร้ายนัก ไม่มีท่านอยู่ในหัวใจบ้างเลยหรือไร”
ถูกต้อง ชุ่ยหลิวริษยาจนตาแดง นึกเสียใจที่ตอนนั้นน่าจะยั่วยวนหลิวซานกุ้ยและเป็อนุของเขา รับรองว่าคงมีชีวิตที่ดีกว่าการเป็อนุของครอบครัวรอง และดีกว่าการได้เป็สาวใช้ถงฝางของหลิววั่งกุ้ย
น่าเสียดายที่ตอนนั้นหลิวซานกุ้ยยังเป็เพียงชายเท้าเปื้อนโคลนโง่ๆ คนหนึ่ง ชุ่ยหลิวจึงไม่เคยเหลียวแลเขาสักนิด
เมื่อหลิวฉีซื่อได้ยิน ความโกรธเคืองก็ยิ่งทวีความรุนแรง
-----
เชิงอรรถ
[1] หรงโมโม่ 容嬷嬷 คือตัวละครในเื่ องค์หญิงกำมะลอ ละครดังของจีนในอดีต ซึ่งเป็นางกำนัลขั้นสูงติดตัวฮองเฮา นิสัยเ้ากี้เ้าการ จุกจิก เข้มงวดกับกฎระเบียบ และเป็ตัวร้ายในเื่
[2] คั่วย่วน 跨院 คือ เรือนด้านข้างที่ขนาบเรือนหลัก