“ข้าไม่สนใจว่าฐานะของเ้ากับองค์ชายสาม จะเป็เช่นไร แต่นับจากนี้เ้าเป็พระสนมของข้า ข้าขอสั่งห้ามเ้าไปพบกับเขาอีก ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม” พูดจบรัชทายาทก็ก้มลงจูบนาง เพียงััแรกที่ได้ลิ้มรส ชายหนุ่มก็ไม่อาจหักห้ามใจได้อีก เขาค่อย ๆ ปลดอาภรณ์นางออกทีละชิ้น กลิ่นกายอันหอมหวาน ยั่วยวนให้อีกฝ่ายไม่อาจหักห้ามอารมณ์ได้ ไม่นานนักอาภรณ์ของนางก็กองลงกับพื้นจนหมด ร่างเล็กถูกเขาโอบกอดซุกไซ้ไปตามความปรารถนา ในที่สุดเขาก็เขารวบรัดเป็หนึ่งเดียวกันภายใต้แสงตะเกียงที่ไสวไปมาอยู่ในห้อง
ตำหนักไผ่เขียวเป็สถานที่โดดเดี่ยว อยู่แยกออกจากตำหนักต่าง ๆ ฮ่องเต้ทรงสร้างให้กับจ้าวซีเหริน องค์ชายสามผู้มีนิสัยรักสงบไม่ชอบสุงสิงกับผู้ใด ภายในตำหนักตบแต่งด้วยวัสดุเรียบง่าย สิ่งอำนวยความสะดวกไม่ได้หรูหรา แตกต่างจากตำหนักอื่น ๆ รวมถึงมีบ่าวไพร่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น บริเวณใกล้ ๆ เป็ที่เพาะปลูกสมุนไพรที่เขาชื่นชอบ ถัดออกไปไม่ไกลเป็โรงเก็บสมุนไพรขนาดใหญ่ และเป็ที่ที่องค์ชายสามมักจะหมกตัวอยู่ในนั้นเพื่อคิดสูตรยารักษาโรค ซึ่งหมอหลวงหลายคนเข้ามาเรียนรู้วิธีการต่าง ๆ จากเขาแล้วนำไปรักษาผู้คน ทำให้จ้าวซีเหรินยังพอมีอำนาจในมืออยู่บ้าง
แรกเริ่มเดิมที เขาเป็หนึ่งในองค์ชายไม่กี่คนที่ฮ่องเต้ทรงไว้วางพระทัย แต่ด้วยความขัดแย้งส่วนพระองค์ของรัชทายาท ทำให้จ้าวซีเหรินขอแยกออกมาอยู่ตำหนักห่างไกล หลีกเลี่ยงปัญหาต่าง ๆ ที่จะตามมาภายหลัง
ชายหนุ่มในชุดสีขาวสะอาดตากำลังปั้นยาสีดำสนิทอยู่ในโรงสมุนไพร ก่อนเสียงฝีเท้าของใครบางคนจะเดินเข้ามา ทำให้เขาหยุดชะงัก แล้วหันไปพบร่างของฮั่นหยู คนสนิทของไป๋เยว่ซินที่เวลานี้ได้ขึ้นเป็พระสนมของรัชทายาทไปเรียบร้อยแล้ว
“ถวายพระพรองค์ชายสามเพคะ” นางน้อมกายลง ก่อนเขาจะหันมาปั้นยาต่อด้วยกิริยาราบเรียบ
“เ้ามาพบข้า มีเื่ใดงั้นรึ” หญิงสาวค่อย ๆ ก้าวเข้ามาแล้วเม้มปากแน่นคล้ายมีเื่อยากจะรายงาน
“หม่อมฉันจะมารายงานเื่บางอย่างเพคะ” เขายิ้มเล็กน้อย
“เื่ของรัชทายาทกับไป๋เยว่ซินงั้นสิ” จ้าวซีเหรินพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบเช่นเดิม ก่อนฮั่นหยูจะน้อมกายลงแล้วทูลรายงานตามความเป็จริง
“เวลานี้คุณหนูเยว่ซินขึ้นเป็พระสนมแล้ว รัชทายาททรงให้นางย้ายไปอยู่ที่ตำหนักหลิว และกำชับด้วยว่า ไม่ให้คุณหนูมาพบกับองค์ชายสามอีกเป็อันขาด หาไม่แล้วรัชทายาทจะลงโทษคุณหนูอย่างหนักเพคะ” จ้าวซีเหรินชะงักนิ่ง ครู่หนึ่งเมื่อตั้งสติได้ จึงยิ้มออกมาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบเช่นเดิม
“เ้ามาเพื่อที่จะบอกข้าว่า หลังจากนี้เยว่ซินจะไม่มาพบข้าอีกแล้วงั้นเหรอ”
“คุณหนูยังรักและเคารพองค์ชายสามเสมอ ทว่าไม่อาจขัดคำสั่งของรัชทายาทได้ จึงให้หม่อมฉันมาทูลองค์สามเช่นนี้เพคะ ยังบอกอีกด้วยว่า ระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา คุณหนูซาบซึ้งในความเมตตาของพระองค์เป็อย่างมากที่คอยดูแลในยามทุกข์ คอยเป็กำลังใจและเป็เพื่อนคุย ทว่าเวลานี้นางไม่อาจทำตามใจตัวเองได้อีก จึงฝากปิ่นนี้มาให้องค์ชายสาม เพื่อจะบอกว่านางจะรักและเคารพพระองค์ เสมือนพี่ชายคนหนึ่งเสมอ และตลอดไปเพคะ” พูดจบฮั่นหยูก็ยื่นปิ่นปักผมของเยว่ซินให้จ้าวซีเหรินก่อนเขาจะเอื้อมมารับ มองปิ่นนั้นพลันยิ้มบางเบาออกมาอย่างเข้าใจ
“ฝากบอกนางด้วย ว่าข้าขอให้ชีวิตของนาง หลังจากนี้มีความสุข ข้าเห็นนางได้ใช้ชีวิตกับคนที่นางรัก ข้าก็ยินดี” หญิงสาวน้อมรับ ก่อนจะเบี่ยงกายเดินจากไป
“เดี๋ยวก่อน” คำเหนี่ยวรั้งขององค์ชายสามทำให้หญิงสาวหยุดเดิน แล้วหันมา
“รัชทายาทเป็คนหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรี แต่ก็รักเยว่ซินมาก จะมากกว่าฟางเหลียนด้วยซ้ำ เื่ที่เขาไม่อนุญาตให้เยว่ซินมาพบข้านั้น ข้ามิได้แปลกใจเพราะรู้ว่าเขามีนิสัยเช่นไร แต่กับฟางเหลียนแล้วเยว่ซินต้องระวังให้มาก” ฮั่นหยูได้ยินคำเตือนดังนั้นแล้ว จึงน้อมกายลงอย่างอ่อนโยน
“หม่อมฉันจะนำคำเตือนของพระองค์ รายงานให้พระสนมทราบเพคะ” จ้าวซีเหรินพยักหน้า แล้วหันกลับมายังสมุนไพรของตัวเอง โดยไม่พูดสิ่งใดต่อ
หลังจากแต่งตั้งพระสนมไป๋เยว่ซินแล้ว ฐานะของนางก็สูงขึ้น จากที่เคยไปไหน ไม่มีผู้ใดน้อมกายเคารพ เวลานี้เยว่ซินยังไม่ค่อยชินกับฐานะใหม่ของนางเท่าใดนัก ฮั่นหยูเดินนำหญิงสาวไปยังตำหนักเฉียนกู่ ตำหนักของรัชทายาท ที่ต้องผ่านตำหนักจิ่วหยงของพระชายาฟางเหลียน
“รีบเดินกันเถอะเพคะ” ฮั่นหยูหันไปจูงมือพระสนม ให้รีบเดินออกห่างจากบริเวณนั้น เมื่อเข้ามายังตำหนักของรัชทายาทแล้ว ฮั่นหยูจึงปล่อยมือเยว่ซิน แล้วน้อมกายส่งหน้าประตูตำหนัก ปล่อยนางเดินเข้าไปหารัชทายาทตามลำพัง
สองเท้าของเยว่ซินเดินเข้าไปหารัชทายาทที่กำลังนั่งจิบชาอยู่บริเวณโถงใหญ่ นางเข้าไปน้อมกายลง ก่อนชายหนุ่มจะยิ้มรับ แล้วเดินเข้ามาหานางพร้อมโอบกอดด้วยความรัก
“ข้ากำลังรอกินอาหารพร้อมเ้า มานั่งตรงนี้สิ” เขาพยายามลืมเื่ราวต่าง ๆ แล้วเริ่มต้นใหม่กับเยว่ซิน หลังจากคืนนั้น เขาก็ไม่เคยเอ่ยถึงองค์ชายสามให้ต้องขุ่นเคืองใจใด ๆ อีก จ้าวเฉินลู่ตั้งใจใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับเยว่ซิน หญิงสาวที่เขา ไม่อาจลบเลือนจากใจได้
