เมื่อหวานหว่านได้ยินคำตอบนั้นก็เบิกตากลมโต สีหน้าเข้าใจ จากนั้นจึงพูดเสียงเล็กเสียงน้อย “อ้อ ลูกทราบแล้วเ้าค่ะ พวกท่านกำลังคุยเื่ให้กำเนิดน้องชายกันอยู่” ั้แ่ที่ได้รู้ว่าที่บ้านของต้านีเอ๋อร์ และเอ้อนีมีน้องชายอยู่คนหนึ่ง หวานหว่านเองก็วาดหวังว่าตัวนางจะได้มีน้องชายสักคนเหมือนกัน หากเป็เช่นนั้น นางก็จะสามารถนำของอร่อยๆ ทั้งหลายไปแบ่งปันให้น้องชายได้ ทั้งยังสามารถมอบของเล่นสนุกๆ มากมายให้น้องชายเล่นได้ด้วย
จวินเหยียนมองอวิ๋นซีที่มีสีหน้าแดงก่ำเล็กน้อยไปทีหนึ่งแล้วจึงยิ้มพูดว่า “ใช่แล้ว พ่อกับมารดาเ้ากำลังปรึกษาเื่ที่จะมีน้องชายหรือน้องสาวให้หวานหว่านดี” เขารับตัวบุตรสาวมาไว้ในอ้อมแขนตน จากนั้นจึงถามต่อ “แล้วเ้าเล่า เหตุใดจึงต้องรีบร้อนวิ่งมาหาพ่อกับแม่เช่นนี้ มีเื่อันใดเกิดขึ้นหรือ? ”
“ข้าอยากจะออกไปเดินตลาด แต่ว่า...” หวานหว่านยังไม่ทันพูดจบ จู่ๆ สีหน้านางก็ขาวซีดพร้อมๆ กับมีเหงื่อผุดพรายขึ้นเต็มใบหน้า ก่อนจะค่อยๆ รวมตัวกันจากหนึ่งเม็ดเป็สองสาม และกลายเป็ดั่งสายน้ำที่ไหลหยดลงมาจากนวลหน้าไม่มีหยุด ทั่วทั้งร่างโงนเงนไปมา
เมื่อจวินเหยียนเห็นเช่นนี้ก็รีบพูดขึ้นทันที “พิษของหวานหว่านกำเริบแล้ว” ั้แ่มีอวิ๋นซีช่วยดูแลจัดระบบร่างกายให้หวานหว่าน อาการของเด็กน้อยก็ไม่ได้กำเริบอีกมานานมากแล้ว มิคาดวันนี้จะเป็เช่นนี้ขึ้นมาได้
หวานหว่านมองไปยังอวิ๋นซี พูดเสียงเบา “ท่านแม่ ข้าเจ็บ ข้าเจ็บ” พูดไปพลางน้ำตาของเด็กน้อยก็ไหลไปพลาง
อวิ๋นซีรีบบอกให้จวินเหยียนวางลูกลง จากนั้นตนก็รีบจับชีพจร และฝังเข็มให้ รอจนกระทั่งทำเื่ที่ควรทำทั้งหลายเพื่อบรรเทาความเ็ปเสร็จสิ้น หวานหว่านก็หลับไปพอดี ใบหน้าของเด็กน้อยยังคงซีดขาวเช่นเดิม และดูเหมือนคนที่ถูกทำให้ใเข้าก็ไม่ปาน แม้ตาจะปิด แต่ร่างทั้งร่างยังคงกระตุกอยู่บ่อยๆ
เมื่ออวิ๋นซีเห็นเช่นนั้น ในใจก็รู้สึกไม่ดีเป็อย่างยิ่ง นางมองบุตรสาวพลางคิดในใจว่า ตอนนั้นหากมิใช่เพราะโอวหยางเทียนหัวและลู่หลิงฉิง เื่ทั้งหมดนี้ก็คงไม่มีวันเกิดขึ้นแน่ และหวานหว่านก็คงไม่ต้องทุกข์ทรมานเช่นนี้
ลู่หลิงฉิง โอวหยางเทียนหัว พวกเ้าทั้งสองรอข้ากลับไปคิดบัญชีได้เลย
“หวานหว่านไม่เป็ไรแล้ว ดังนั้น เ้าอย่าได้กังวลอีกเลย ขอแค่ได้หญ้าเฟิ่งกู่มา บุตรสาวของเราก็จะเป็เฉกเช่นคนปกติทั่วไป มีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างดี” จวินเหยียนกลัวว่านางจะคิดมาก จึงรีบปลอบโยน หากสตรีข้างกายผู้นี้จะเป็อวิ๋นซีตัวจริงหรือไม่ก็ช่างเถอะ ต่อให้ความสัมพันธ์จะลึกล้ำสักเพียงใดก็แค่ระดับหนึ่งเท่านั้น อย่างไรเสียนอกจากนางจะเป็อวิ๋นซีแล้ว ก็ยังเป็เฉียวอวิ๋นซีอีกด้วย
ในฐานะที่เป็มารดาผู้ให้กำเนิดของลูก การต้องเห็นลูกในสภาพเช่นนี้ไม่ว่าอย่างไรลึกๆ ในใจก็ย่อมต้องรู้สึกไม่ดีเป็อย่างมาก อีกทั้งหลังจากที่ได้ผ่านเื่ราวมามากมาย เมื่อได้มีลูกกลับมาอยู่ข้างกายตนอีกครั้ง ทั้งหมดนี้สำหรับนางแล้วสำคัญแค่ไหน เขาเข้าใจดี
“หวานหว่าน แม่จะต้องทำให้เ้ามีชีวิตอยู่อย่างแข็งแรงให้ได้ ไม่ว่าใครก็ตามที่ทำร้ายเ้า แม่จะไม่ปล่อยไปแม้แต่คนเดียว เมื่อใดก็ตามที่คนเ่าั้กระดูกป่นเป็เถ้าถ่าน เมื่อนั้นความแค้นในใจข้าถึงจะคลายลงได้” เมื่อพูดถึงตรงนี้ นางก็สะอื้นไห้
พิษกำเริบครั้งนี้เป็เพราะนางอยู่ที่นี่ จึงช่วยฝังเข็มบรรเทาพิษไว้ได้อย่างทันท่วงที แล้วก่อนหน้านี้เล่า? หวานหว่านต้องพบเจอกับความทุกข์ความเ็ปมามากเพียงใด?
“ก่อนหน้านี้ ทุกๆ ครึ่งปีหลิ่วเซิงจะมาพักที่นี่่หนึ่ง เมื่ออาการของนางกำเริบ เป็หลิ่วเซิงที่ช่วยลดทอนความเจ็บทรมานให้” จวินเหยียนกอดอวิ๋นซีไว้ในอ้อมแขน พูดเสียงเบา
อวิ๋นซีอ่อนปวกเปียกไปทั้งร่าง และปล่อยตัวปล่อยใจให้อิงแอบอยู่ในอ้อมแขนของเขา จากนั้นจึงยื่นมือออกไปกอดเอวชายหนุ่มไว้ พูดเสียงต่ำ “จวินเหยียน ข้า้าให้คนพวกนั้นตาย ต้องให้พวกมันตายทั้งหมด”
“ได้ พวกเราจะทำให้คนเ่าั้ตายสิ้นทั้งหมด” จวินเหยียนตบไหล่นางเบาๆ แล้วย้อนคำพูดตามนาง อย่างไรก็ตามคนพวกนั้นไม่ใช่แค่ใส่ร้ายเขาเมื่อหลายปีก่อน แต่ยังทำร้ายบุตรและภรรยาของเขาอีกด้วย ด้วยเื่นี้เขาจะไม่มีทางปล่อยผ่านไปง่ายๆ แน่
ผ่านไปอีกครึ่งเดือนหลังจากที่หวานหว่านพิษกำเริบ ่นี้อวิ๋นซีใช้เวลาส่วนใหญ่ของตนไปกับการอยู่เป็เพื่อนลูก นางมองเด็กน้อยที่กำลังเล่นกันอย่างสนุกสนานกับต้านีเอ๋อร์และเอ้อนี มุมปากโค้งขึ้นน้อยๆ
นับแต่ที่มีต้านีเอ๋อร์และเอ้อนีมาอยู่ที่นี่ หวานหว่านก็ยิ้มมากขึ้น
ต้านีเอ๋อร์และเอ้อนีมาอยู่ที่จวนอ๋องได้พักหนึ่งแล้ว รูปร่างหน้าตาของสองพี่น้องก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน เมื่อก่อนนี้พวกนางทั้งผอมทั้งดำ แต่ตอนนี้แม้สีผิวจะยังดำคล้ำอยู่เล็กน้อย แต่ก็ยังดีกว่าเมื่อก่อนมาก ทั้งยังอวบอ้วนขึ้นนิดหน่อยด้วย ทำให้ยามนี้คนดูน่ามองขึ้นมาก
อวิ๋นซีหันมองเพ่ยเอ๋อร์ที่อยู่ข้างกาย พูดว่า “ดูแลหวานหว่านและพวกต้านีเอ๋อร์ให้ดี ยามนี้ข้ารู้สึกล้านิดหน่อย ว่าจะกลับไปพักก่อน ไม่ว่าใครก็ห้ามมารบกวนข้า”
ณ ชานเมือง ชีหลี่ปอ
อวิ๋นซีแต่งกายเป็ชายกลายเป็คุณชายหลิง ยามนี้นางขี่ม้ามายังชีหลี่ปอ เมื่อไปถึงก็พบว่ามีคนมารออยู่สิบกว่าคนแล้ว ขณะเดียวกันทันทีที่คนเ่าั้ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าต่างก็พากันหันมองไปยังทิศทางของนครหานโจว
ตอนที่พวกเขาเห็นคุณชายน้อยที่ดูขาวสะอาดตาผู้นี้ก็ถึงกับอึ้งไป ทั้งยังคิดกันไปว่า นี่หรือคือคุณชายที่หยกลายรุ่งอรุณ? เหตุใดจึงได้แตกต่างจากคุณชายที่ตนคิดไว้อย่างสิ้นเชิง
ตอนแรกที่ได้ยินหลิงสือชีพูดว่า ผู้มาแจ้งคำสั่งนั้นเป็คุณชายน้อยที่ยังเด็กมาก พวกเขายังไม่ยอมเชื่อ เพราะสิ่งหนึ่งที่ควรต้องรู้ก่อน สาวใช้ที่ดูแลอีกฝ่ายยามนั้นน่าจะอายุได้สิบสามสิบสี่ ดังนั้น เวลาผ่านไปหลายปีเพียงนี้ สาวใช้คนนั้นก็น่าจะมีอายุราวๆ ยี่สิบเอ็ดยี่สิบสองได้ และในฐานะของผู้เป็นายของนาง คนก็ไม่ควรจะมีอายุพอๆ กับสาวใช้ หรือโตกว่าสาวใช้หรอกหรือ?
เมื่ออวิ๋นซีมาถึงแล้วก็มิได้ลงจากหลังม้าแต่อย่างใด นางเอ่ยถาม “มากันครบแล้วหรือ? ”
คนทั้งสิบเจ็ดต่างก็มองสลับกันไปมา สุดท้ายก็เป็ชายอายุยี่สิบหกยี่สิบเจ็ดปีผู้เป็เ้าของรูปลักษณ์บึกบึนสมชายชาตรีก้าวออกมาด้านหน้า แล้วจึงตอบคำด้วยคำถาม “ท่านบอกว่าท่านคือคุณชายหลิง ทว่า นอกจากหยกรุ่งอรุณแล้ว มิทราบว่าท่านยังมีสิ่งใดที่จะสามารถยืนยันฐานะของท่านได้อีกหรือไม่? มิเช่นนั้นก็พาสาวใช้ในตอนนั้นมาที่นี่เพื่อเป็การพิสูจน์เถิด”
อวิ๋นซีมองชายที่กำลังพูดอยู่ไปทีหนึ่ง มุมปากนางโค้งขึ้นน้อยๆ “หลิงอี นามเดิมของเ้าคือเฉินเสียง เมื่อสิบปีก่อนถูกคนไล่ฆ่า ทั้งยังถูกทำให้เสียโฉม สุดท้ายก็เป็คนของข้าที่ช่วยเหลือไว้ ส่วนรูปโฉมที่ถูกทำลายไปก็เป็คนของข้าอีกเช่นกันที่ช่วยรักษาจนหายเป็ปกติ และในตอนหลัง เป็ข้าที่มอบนามใหม่แก่เ้าว่า หลิงอี จากนั้นจึงให้หลันเอ๋อร์ช่วยเ้าสร้างหอรุ่งอรุณนี้ขึ้นมา โดยให้เ้ารับหน้าที่เป็หัวหน้าหอ”
จากนั้นนางก็มองไปยังชายที่ยืนอยู่หลังสุด ชี้นิ้วไปที่ชายคนนั้นแล้วพูดว่า “หลิงเอ้อ นามเดิมของเ้าคือติงเจียม่อ เดิมทีร่ำเรียนหนังสือมาหลายปี จึงเป็คนที่มีความรู้กว้างขวาง แต่กลับสอบไม่ติดอย่างน่าประหลาด ทำให้เ้าคิดอยากจะจากไป แต่โชคไม่ดีที่บังเอิญไปล่วงเกินคุณชายสายรองตระกูลลู่เข้า ครานั้นหากไม่ใช่เพราะข้าเข้าช่วยเหลือ เ้าคงถูกคนตีตายไปนานแล้ว ในตอนหลัง ข้าให้หลันเอ๋อร์พาเ้าไปยังหอรุ่งอรุณ และมอบให้หัวหน้าหอหลิงอี อีกทั้งยังให้คนกำชับบอกแก่เขาว่า เ้าเป็คนที่ข้าให้ความสำคัญ ให้เขาคอยสั่งสอนเ้าให้ดี ในวันหน้าจักต้องทำการใหญ่ได้อย่างแน่นอน”
อวิ๋นซีชี้นิ้วไปยังพวกเขาแต่ละคน พูดชื่อเดิมของพวกเขา รวมถึงเื่ราวที่เป็เหตุให้รู้จักกันคนแล้วคนเล่า สุดท้ายพวกเขาก็ค่อยๆ เชื่อนาง กระทั่งอวิ๋นซีบอกเล่าทั้งชื่อและอดีตของทุกคนจนครบทั้งสิบเจ็ดคน นางก็จ้องมองไปยังพวกเขาที่กำลังอึ้งงัน “ยัง้าให้ข้าพูดต่ออีกหรือไม่? หากเ้าฟังแล้วยังไม่สิ้นสุดความสงสัย ข้าก็สามารถบอกได้กระทั่งคำสารภาพรักที่หลิงอีพูดกับหลันเอ๋อร์ในตอนนั้น”
หลิงอีที่อายุยี่สิบหกปีเมื่อได้ฟังคำของอวิ๋นซีแล้วก็สูดหายใจเข้าลึก พูดว่า “ไม่ต้องแล้ว พวกเราเชื่อคำพูดของท่านแล้ว เพียงแต่ข้าน้อยใคร่รู้ยิ่ง แล้วหลันเอ๋อร์ที่อยู่ข้างกายนายท่านเล่า? ” ตอนนั้นเป็หลันจือที่เข้ามาช่วยตนไว้ ทำให้นับแต่นั้นเขายินดีที่จะปกป้องและช่วยเหลือนางไปชั่วชีวิต แต่ใครเล่าจะรู้ว่า เมื่อหอรุ่งอรุณสร้างเสร็จแล้ว นอกจากในบางครั้งนางจะส่งคนมา เขาก็ยังไม่เคยมีแม้แต่โอกาสจะได้เจอนายผู้อยู่เื้ันางเลยสักครั้ง
เมื่ออวิ๋นซีได้ยินคำพูดของหลิงอีก็นึกถึงใบหน้าอ่อนหวานนุ่มนวลของหลันจือ นางพูดเสียงขรึม “นางตายไปแล้ว ั้แ่เมื่อสองปีก่อน”