หวานหว่าน ต้านีเอ๋อร์และเอ้อนีกำลังนั่งกินของว่างด้วยกันอยู่ที่ด้านข้างพลางมองคู่สามีภรรยาาุโกำลังต่อปากต่อคำ ลับฝีปากกันไปมา เอ้อนีรู้สึกว่าสถานการณ์นี้น่าสนุกยิ่ง ขณะที่ต้านีเอ๋อร์กลับไม่หวั่นไหวกับเื่ใดๆ ทั้งสิ้น คนยังคงมีท่าทีเ็าอยู่เช่นเดิม ทว่าหวานหว่านกลับพูดขึ้นอย่างไม่เกรงใจ “ท่านตา ท่านยาย พวกท่านทำตัวอย่างกับเป็เด็กๆ เลยนะเ้าคะ”
เมื่ออวิ๋นซานและจ้าวลี่เจียได้ยินคำกล่าวนั้นต่างก็หันไปมองหวานหว่านผู้เป็หลานสาวกำลังทำสายตาปลงๆ จ้าวลี่เจียก็อดไม่ได้ให้หันกลับมาถลึงตามองอวิ๋นซาน “เ้าดูสิ นี่เป็เพราะเ้าทั้งสิ้น หากไม่ใช่เพราะเ้า เด็กก็คงไม่ถึงขนาดพูดคำเช่นนี้”
อวิ๋นซานเคอะเขินเล็กน้อย เขายิ้มๆ “หวานหว่าน ไม่ใช่เพราะตาคิดถึงเ้าและน้องชายเ้าหรอกหรือ ดังนั้น...” อวิ๋นซานที่รู้จักเจรจาพาทีมาตลอดเมื่อต้องเผชิญหน้ากับดวงตาสุกใสคู่นั้นของเด็กน้อยก็ไม่รู้เช่นกันว่าควรจะพูดอะไรต่อดี
อวิ๋นซีที่เห็นท่าทางพูดไม่ออกบอกไม่ถูกของบิดาตนก็อดยิ้มพูดไม่ได้ว่า “ใช่แล้ว หวานหว่าน ท่านตาก็แค่คิดถึงพวกเ้า เพียงแต่ยามนี้หวานหว่านของเราเป็สาวแล้ว ท่านตาจึงไม่อาจอุ้มหวานหว่านได้ ดังนั้น เขาก็เลยอุ้มแค่น้องชายทั้งสองเท่านั้น หรือว่า หวานหว่านของเราจะกินน้ำส้มสายชูกัน? ”
หวานหว่านเบ้ปาก “ไม่มีทาง ข้าเป็พี่หญิงใหญ่ พวกเขาสองคนก็แค่เด็กน้อยเปลือยก้น ข้าไม่มีทางกินน้ำส้มสายชูหรอก”
เด็กน้อยเปลือยก้น?
อวิ๋นซีเหงื่อตก เมื่อก่อนบางครั้งตัวนางเองก็เคยว่าหวานหว่านและเอ้อนีเช่นนี้ มิคาดเด็กคนนี้ที่โตขึ้นมาหน่อยแล้วจะถึงกับรู้จักว่าน้องชายตนด้วยคำพูดนี้ คิดถึงตรงนี้ นางก็ยิ้มปลงๆ
หลังจากนั้นไม่นานจวินเหยียนก็ตามมาสมทบอย่างรวดเร็ว และเมื่อทั้งครอบครัวกินข้าวด้วยกันเสร็จแล้วก็เป็อวิ๋นซีที่ถามอวิ๋นซาน “ท่านพ่อท่านแม่ ย้ายกลับมาอยู่ที่จวนอ๋องด้วยกันเถิดเ้าค่ะ ยามที่พวกท่านไม่อยู่ พวกเราก็รู้สึกเหมือนขาดอะไรไป”
จวินเหยียนเองก็ออกปากให้อวิ๋นซานย้ายกลับมาเช่นกัน แต่อวิ๋นซานและจ้าวลี่เจียกลับยืนยันหนักแน่นที่จะพักอยู่ด้านนอก “รอจนพวกเ้าไปร่วมงานล่าสัตว์ฤดูใบไม้ผลิ พวกเราก็จะกลับไปจวนอ๋อง ช่วยพวกเ้าดูแลเด็กๆ ่หนึ่ง และกว่าพวกเ้าจะเดินทางกลับมาจากงานล่าสัตว์ฤดูใบไม้ผลิก็คงเป็กลางเดือนสอง เมื่อถึงตอนนั้นข้าจะพามารดาเ้ากลับไปดินแดนตะวันตกเฉียงเหนือ”
เดิมทีอวิ๋นซีตั้งใจจะให้บิดาตนพักอยู่ในเมืองหลวงไปตลอด แต่จู่ๆ เมื่อต้องได้ยินเขาบอกจะกลับดินแดนตะวันตกเฉียงเหนือ นางก็รู้สึกรับไม่ได้เล็กน้อย นางส่ายหน้าอย่างเห็นแย้ง “ท่านพ่อท่านแม่ พวกท่านไม่อยากเห็นหวานหว่าน ฉางรุ่ย ฉางฮว๋ายทุกวันหรือเ้าคะ? หรือท่านจะบอกข้าว่า ลูกสาวที่แต่งออกไปก็เป็ดังน้ำที่สาดออกไป พวกท่านไม่คิดจะสนใจข้าแล้ว”
ท่าทางน่าสงสารของลูกสาว ทำให้อวิ๋นซานไม่รู้ว่าควรจะอธิบายเช่นไรดี อันที่จริงหากไม่ใช่เพราะลูกสาวอยู่ที่นี่ หลานสาวและหลานชายก็อยู่ที่นี่ เขาคงจากไปนานแล้ว เพราะเื่บางเื่ แม้จะผ่านมานานมาก แต่คนบางคนหากได้พบหน้ากันอีกครั้งก็ไม่แน่ว่าจะจดจำกันได้ เขารู้สึกกีดกันคนพวกนั้นจากใจ
จ้าวลี่เจียพอจะรู้เื่ราวเกี่ยวกับอวิ๋นซานอยู่บ้าง ดังนั้น เมื่อได้เห็นอวิ๋นซานถูกบุตรสาวบีบบังคับจนถึงขั้นนี้ เดิมทีตัวนางก็คิดจะเปิดปากพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับถูกห้ามไว้เสียก่อน “ก็ได้ ข้าและมารดาเ้าจะพักอยู่ที่นี่ต่ออีกสักพัก”
คำตอบนี้เองที่ทำให้อวิ๋นซีถึงได้ยิ้มพยักหน้าด้วยความพอใจ ขอแค่บิดามารดายินดีจะรั้งอยู่ที่เมืองหลวงต่อ สำหรับวันหน้านางค่อยหาวิธีที่จะทำให้พวกเขายินดีพักอยู่ที่นี่อย่างเต็มใจ หรือจะให้ดีที่สุดก็คือต้องรีบทำให้มารดาตั้งครรภ์โดยไว เพราะหากเป็เช่นนี้ บิดาของนางย่อมต้องสงสารภรรยาจนไม่คิดรีบเร่งกลับไปแล้ว
คิดถึงตรงนี้ สายตาที่อวิ๋นซีมองไปยังอวิ๋นซานและจ้าวลี่เจียก็เปลี่ยนไป ดูท่านางคงต้องทำอะไรสักหน่อยแล้วถึงจะถูก แม้ในใจนางจะคิดแค่นี้ แต่ในสมองกลับมีแผนการหนึ่งปรากฏขึ้นมาแล้ว
อวิ๋นซานไม่รู้ว่า บุตรสาวสุดที่รักของเขาจะคิดหาวิธีจัดการกับตน รอกระทั่งวันหน้าที่ได้รู้ความจริง เขาก็คงทำได้แค่หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกพร้อมๆ กับด่าว่าอวิ๋นซีว่าเป็เ้าสารเลวน้อย
เมื่อกินอาหารเที่ยงกันเสร็จ จวินเหยียนก็รีบเร่งกลับไปที่ส่วนราชการต่อ จึงเหลือเพียงอวิ๋นซี อวิ๋นซาน และจ้าวลี่เจียที่ยังคงพาเด็กๆ ทั้งสามเดินเล่นเลือกซื้อของ ในตอนนั้นอวิ๋นซีที่คิดจะทำกางเกงฝ้ายเพิ่มให้เด็กทั้งสองสักหน่อยก็ตัดสินใจเดินเข้าไปในร้านผ้าและอาภรณ์
ทว่า สิ่งที่ทำให้คนคิดไม่ถึงก็คือ นางกลับต้องมาเจอผิงถิงจวิ้นจู่และลูกสาวคนเล็กอย่างหลินหลานซินในร้านอาภรณ์แห่งนี้เช่นกัน พวกนางเองก็ชัดเจน คนคิดไม่ถึงเช่นกันว่าจะได้พบอวิ๋นซีและคนอื่นๆ ที่นี่ ผิงถิงจวิ้นจู่ได้แต่ถลึงตามองอวิ๋นซีด้วยสายตาดุร้าย หากไม่ใช่เพราะอวิ๋นซี ถิงเอ๋อร์ของตนก็คงจะออกมาเดินเล่นด้วยกันได้
อวิ๋นซีไม่ได้รู้สึกอะไรกับคนพวกนี้แม้แต่น้อย นางไม่แสดงกระทั่งมารยาทที่เป็ฉากหน้าออกมาด้วยซ้ำ และเข้าไปสอบถามผู้ดูแลร้านเกี่ยวกับเื่ผ้าฝ้าย นางเลือกอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ได้ผ้าฝ้ายชั้นดีมาพับหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม อวิ๋นซีไม่ได้รู้เลยว่า ในตอนที่พวกตนกำลังเลือกผ้ากันอยู่นั้น ผิงถิงจวิ้นจู่จะเอาแต่จ้องมองอวิ๋นซานที่ยืนอยู่เื้ัอย่างเอาเป็เอาตาย สายตาเต็มไปด้วยความตกตะลึงและไม่อยากเชื่อ รอจนพวกอวิ๋นซีคิดเงินและเดินออกไปจากร้านแล้ว เส้นความอดทนของผิงถิงจวิ้นจู่ก็ถึงกับขาดผึง นางทนไม่ไหวอีกต่อไป ะโเสียงดัง “จางเฉินปิน หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
ฝีเท้าของอวิ๋นซานไม่ได้ชะงัก คนทำเพียงมุ่งหน้าไปยังรถม้าที่อยู่อีกด้าน ผิงถิงจวิ้นจู่เห็นเช่นนั้นก็รีบก้าวเข้าใกล้แล้วขยำเสื้ออวิ๋นซานไว้ สายตาเกรี้ยวกราดจดจ้องเพียงคนตรงหน้า “เ้านึกว่า การไม่พูดอะไรจะทำให้ข้าไม่รู้หรือว่า เ้าคือเขา”
อวิ๋นซีมองฉากแปลกประหลาดตรงหน้า ในใจคิดว่าสตรีบ้าผู้นี้เรียกบิดาตนว่าจางเฉินปิน หรือว่านี่จะเป็ชื่อจริงๆ ของบิดา? อีกประการ เหตุใดเมื่อผิงถิงจวิ้นจู่เห็นบิดานางแล้วถึงได้มีปฏิกิริยาที่รุนแรงเช่นนี้ หรือเมื่อก่อนพวกเขารู้จักกัน? หรือว่า ที่แท้คนคนนี้จะเป็หนี้ดอกท้อที่กาลก่อนบิดานางเคยสร้างไว้?
คิดถึงตรงนี้ อวิ๋นซีก็ได้แต่ส่ายหน้าซ้ำๆ สายตาของบิดานับว่ายอดเยี่ยมมาตลอด ไม่ว่าจะจ้าวลี่เจียหรือหลิงเยว่เซวียน ทั้งนิสัยและรูปลักษณ์ของคนทั้งสองก็เรียกได้ว่าเลิศล้ำ ดังนั้น คนเยี่ยงผิงถิงจวิ้นจู่ไม่มีทางเข้าตาบิดานางได้แน่
นางมิอาจข่มกลั้นความสงสัยต่อไปได้ นี่มันเื่อะไรกันแน่? “ผิงถิงจวิ้นจู่ เ้ากล้าลากแขนเสื้อของบิดาข้าในที่สาธารณะเช่นนี้ ไม่กลัวว่ามารดาข้าจะขุ่นเคืองหรือไร? ”
ขณะเดียวกันหวานหว่านที่ขึ้นรถม้าไปแล้วกำลังเฝ้ามองฉากนี้อย่างนึกสนุก นางพูดขึ้นด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “แม้ท่านตาของข้าจะเป็ตาของเด็กสามคนแล้ว แต่รูปลักษณ์ภายนอกก็ยังดูสง่างามยิ่ง ทว่า ท่านป้า เมื่อท่านมายืนอยู่ต่อหน้าท่านตาข้าเช่นนี้ก็ราวกับเป็มารดาของท่านตาข้าก็ไม่ปาน ตัวท่านไม่อาจเทียบได้แม้แต่กับท่านยายข้า ดังนั้น ข้าขอแนะนำท่านไว้อย่าง อย่าได้ทำให้ตัวเองต้องขายหน้าอยู่ที่นี่เลย รีบไสหัวไปเสีย อย่ามาขวางหูขวางตาพวกข้าอยู่ที่นี่”
หวานหว่านไม่ได้มีความรู้สึกที่ดีต่อผิงถิงจวิ้นจู่อยู่แล้ว และหลังจากที่ต้องพบเจอกับเื่ของหลินหลานถิง นางก็ยิ่งรังเกียจครอบครัวนี้เข้าไส้ รวมถึงพวกพ้องและสถานะอันสูงส่งอะไรนั่นด้วย อีกทั้ง นางเป็คนโอหังอย่างที่ผิงถิงจวิ้นจู่ก็ยังทำอันใดนางไม่ได้ ดังนั้น ยามจะพูดจะจายิ่งไม่จำเป็ต้องเกรงใจ
อวิ๋นซีในฐานะมารดาของหวานหว่านย่อมรู้จักลูกสาวตนดีที่สุด รู้ว่ายามปกติคนไม่ใช่เช่นนี้ จึงได้ไม่คิดห้ามปราม เพียงแต่ยิ้มมองฉากตรงหน้า ไม่ว่าอย่างไรคนพวกนี้ก็รนหาที่ อยู่ดีๆ ก็อยากจะโดนจัดการเสียอย่างนั้น
“ท่านแม่ ท่านรีบปล่อยนายท่านผู้นี้เถอะ หากผู้อื่นมาเห็นย่อมไม่ดีแน่เ้าค่ะ” หลินหลานถิงรีบเข้าไปฉุดดึงมารดาตนให้ออกมา พูดเสียงขรึม
ผิงถิงจวิ้นจู่หัวเราะหึหึ “ซินเอ๋อร์ เ้าจะรู้อะไร ท่านผู้นี้ที่เ้าว่าก็คือลูกที่เกิดจากอนุเล็กๆ ของท่านตาเ้า”
ถ้อยคำนั้น ทำให้ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์นี้เป็อันต้องอึ้งไป ซึ่งคนในที่นี้ยังรวมถึงอวิ๋นซีด้วย นางเองก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่า บิดานางจะเป็ลูกชายของเจิ้นหนานอ๋อง?