เพราะการมาของฮ่องเต้และฮองเฮาทำให้ซูฉีฉียังคงต้องอาศัยอยู่ที่เรือนหลักของจวนอ๋องแต่นางก็ต้องหยุดที่จะทดลองยา และก็หยุดการฝังเข็ม
ถึงแม้ว่าเหลิ่งเหยียนและเหลยอวี๊เฟิงนั้นจะรู้สึกร้อนรนกระวนกระวายใจแต่พวกเขาก็ไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นไร
หมอเทวดาจากทั่วทั้งแผ่นดินล้วนหาทางรักษามิได้แม้แต่ราชครูที่พำนักอยู่ในวังหลวงผู้เป็คนคิดค้นยาพิษตัวนี้ยังหาทางทำยาถอนพิษไม่ได้เื่นี้ยิ่งทำให้ม่อเวิ่นเสวียนรู้สึกวางใจว่าพิษของม่อเวิ่นเฉินนั้นไร้ทางแก้แล้ว
เมื่อเที่ยวเล่นในเมืองอ้าวไปแล้วหลายวัน พวกเขาก็ตัดสินใจเดินทางกลับเมืองหลวงไป
ฮวาเชียนจือที่แต่เดิมกำลังโมโหคุ้มคลั่งอยู่นั้นเมื่อนางเห็นว่าอำนาจของซูฉีฉีในจวนอ๋องค่อยๆ มากขึ้นเรื่อยๆ ในใจนางก็ยิ่งร้อนรนดั่งมีเพลิงไฟร้อนแรงกำลังแผดเผานางอยู่ก็มิปาน
แต่เพราะประโยคสุดท้ายที่ม่อเวิ่นเสวียนทิ้งไว้ก่อนจากไปทำให้ม่อเวิ่นเฉินนั้นมีท่าทีเ็าต่อซูฉีฉีมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว
หลังจากนี้หนึ่งเดือนม่อเวิ่นเฉินต้องพาซูฉีฉีกลับไปจวนอัครมหาเสนาบดีในเมืองหลวง เพื่อเยี่ยมมารดาของซูฉีฉี
ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เขียนราชโองการลงมาแต่ก็เป็รับสั่งที่ตรัสออกมาจากฮ่องเต้ ยิ่งกว่านี้ยังถือเป็พระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นไม่ว่าผู้ใดก็มิอาจขัดขืนได้
“มีเวลาเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น”
ม่อเวิ่นเฉินหันไปมองซูฉีฉีล้วนแต่เป็เพราะนางถึงจำต้องมีแผนการเดินทางเช่นนี้
นี่เป็การบีบตัวเขาให้จนมุมที่ยอดเยี่ยมอีกวิธีหนึ่งของม่อเวิ่นเสวียน
“รับทราบ”ซูฉีฉีพยักหน้า
เมื่อเห็นซูฉีฉีมีใบหน้านิ่งเฉยไม่แสดงอารมณ์สุขหรือทุกข์นั้นก็ทำให้ม่อเวิ่นเฉินรู้สึกนับถือออกมาจากใจจริง
ตัวเขาก็จ้องมองไปที่ซูฉีฉีอย่างไม่ได้ตั้งใจซูฉีฉียามนี้สวมเสื้อผ้าสีอ่อนทำให้นางเหลือไว้เพียงความงามอย่างบริสุทธิ์
ให้ความรู้สึกสะอาดบริสุทธิ์ไร้มลทินเผยความงามอย่างแปลกตาต่อผู้ที่พบเห็น
ซูฉีฉียังคงทดลองยา ทดลองพิษ ฝังเข็มอย่างต่อเนื่องโชคยังดีที่ฮ่องเต้และฮองเฮาไม่คุ้นชินกับการที่ต้องประทับอยู่ที่นี่เป็เวลานานเนื่องจากการกินอยู่ของที่นี่ถ้าหากเทียบกับวังหลวงแล้วยังถือว่าห่างไกลกันอยู่มากโข
ด้วยสภาพร่างกายของม่อเวิ่นเฉินในตอนนี้หากไม่ได้รับการฝังเข็มอีกเกรงว่าพิษจะต้องกระจายเข้าไปทั่วร่างกายอีกแล้ว
เหลยอวี๊เฟิงยกมือขึ้นกอดอกพลางเดินไปเดินมาอยู่ในห้องของม่อเวิ่นเฉินสีหน้าของเขาไม่สู้ดีนัก ในใจของเขากำลังรู้สึกร้อนรน ร้อนรนจนไม่รู้จะทำเช่นไรดี
“สตรีผู้นั้นไหวหรือไม่กันแน่?”
เหลยอวี๊เฟิงอดสงสัยมิได้เพราะถึงอย่างไรเวลาที่เหลืออยู่ในตอนนี้ก็มีไม่มากแล้ว
ถ้าหากม่อเวิ่นเฉินออกเดินทางไปเมืองหลวงในสภาพเช่นนี้เกรงว่าเขาคงต้องพิการไปชั่วชีวิตเสียแล้ว
“ข้าเชื่อนาง”ม่อเวิ่นเฉินยิ้มออกมาบางๆ ไม่มีความเยือกเย็นมากมายเหมือนดั่งก่อนต่อหน้าเหลยอวี๊เฟิงนั้นเขามักจะมีท่าทียิ้มหัวเราะสบายๆ อยู่เสมอ
“เ้า...”เหลยอวี๊เฟิงเบิกตาจ้องมองไปที่ม่อเวิ่นเฉินจากนั้นก็ฉีกยิ้มที่มุมปากและมองม่อเวิ่นเฉินอย่างล้อเลียน “เ้าตกหลุมรักนางเข้าแล้ว?”
“ไสหัวไป” ม่อเวิ่นเฉินตวาดไล่เสียงดัง
เวลาเพียงหนึ่งเดือนสำหรับซูฉีฉีนั้นถือว่าน้อยมากเพราะนางเองก็ไม่ใช่หมอเทวดา
นางคิดเป็เวลาถึงสามวันเต็มในที่สุดซูฉีฉีก็ตัดสินใจใช้ตัวเองเป็ตัวทดลอง ตอนนี้มีเพียงวิธีนี้แล้ว
นางค่อยๆ ก้าวเท้าเข้าไปในห้องของม่อเวิ่นเฉินสีหน้าของซูฉีฉีเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น “ท่านอ๋องข้า้าเืของท่าน”
วิธีนี้คนทั่วไปไม่สามารถทนได้ แต่ว่าซูฉีฉีนั้นหาวิธีทดลองยาถอนพิษด้วยวิธีอื่นไม่ได้อีกแล้วนางได้ลองสมุนไพรยาทุกตัวที่นางรู้จักจนหมดและอ้างอิงจากการที่ตัวยาตัวหนึ่งจะสกัดฤทธิ์ยาของอีกตัวหนึ่งนั้นทำให้นางผสมยาถอนพิษออกมาไม่รู้มากมายเท่าใดแล้ว
แต่ถึงกระนั้นนางก็ยังไม่มีทางรู้ได้เลยว่าฤทธิ์ของยานั้นเป็เช่นไร
เมื่อเห็นใบหน้าที่สงบนิ่งและเรียบเฉยของซูฉีฉีม่อเวิ่นเฉินก็จับจ้องไปที่นางอยู่ครึ่งค่อนวันเขาอยากจะรู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ผ่านทางสีหน้าของนางแต่ว่าม่อเวิ่นเฉินนั้นก็ต้องผิดหวังไม่น้อย ดูเหมือนว่าซูฉีฉีในตอนนี้จะสงบนิ่งมากกว่าตอนที่พึ่งเข้าจวนอ๋องอยู่มากนัก
คนถึงอย่างไรเสียก็ต้องมีวันเปลี่ยน
“ได้สิ”ไม่ได้ถามให้มากความ ม่อเวิ่นเฉินก็พยักหน้าศีรษะตกลง
“เ้าจะทำอะไร?”เหลยอวี๊เฟิงก้าวเท้าออกมาอย่างผิดปกติโดยทั่วไปแล้วเขาจะไม่พูดอะไรเพิ่มให้มากความ แต่เพราะเขาไม่เข้าใจในการกระทำของซูฉีฉีในขณะนี้
“ลองยา”ซูฉีฉีตอบกลับอย่างรวบรัด
ต่อให้ต้องเสี่ยงนางก็ต้องทำเพราะนางไม่มีเวลาแล้ว
ความจริงแล้วนางก็อยากจะกลับไปเมืองหลวงเพื่อเยี่ยมมารดาของตนแต่เพราะอย่างนี้เลยทำให้ม่อเวิ่นเฉินต้องตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย
ทั้งหมดนี้ล้วนเกิดขึ้นเพราะนางเพราะฉะนั้นนางเอาตัวเองเข้าเสี่ยงนั้นถือเป็เื่ที่สมควรแล้ว
ต่อให้ไม่ได้ทำเพื่อตัวนางเองถ้ารักษาม่อเวิ่นเฉินไม่สำเร็จ ตัวนางเองก็คงไม่มีชีวิตรอดออกไป
คิดมาถึงตรงนี้นางก็กระตุกยิ้มที่มุมปากรอยยิ้มนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกเย้ยหยันที่นางมีต่อตัวเอง
สีหน้าของนางนั้นไม่อาจรอดพ้นจากสายตาของม่อเวิ่นเฉินไปได้แต่ว่าเขากลับทำเสมือนตนมิได้มองเห็นอะไร