“ไม่ทำอะไร แล้วท่านมารบกวนเวลานอนของข้าทำไม?” อันซิ่วเอ๋อร์เหลือบมองเขาอย่างขุ่นเคือง ลุกขึ้นจากกองฟาง รู้สึกไม่พอใจกับการกระทำเมื่อครู่ของเขาอยู่บ้าง เดิมทีคิดจะไม่ใส่ใจ แต่พอเห็นว่าร่างเขาทั้งร่างเปียกโชกไปด้วยน้ำฝน ก็อดเอ่ยถามไม่ได้ “เหตุใดท่านถึงเปียกปอนไปทั้งตัวเช่นนี้?”
“ออกไปข้างนอกมา เปียกฝน” จางเจิ้นอันตอบสั้นๆ แต่สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ร่างของนางไม่วางตา
“ฝนตกหนักถึงเพียงนี้ ท่านจะออกไปข้างนอกทำไมกัน?” อันซิ่วเอ๋อร์ซักต่อ นางคาดเดาว่าเขาคงออกไปหาปลา น้ำเสียงจึงอ่อนลงเล็กน้อย แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะเบือนหน้าหนี เอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงขุ่นๆ “เมื่อวานฝนตกหนักปานนั้น วันนี้น้ำในแม่น้ำคงเชี่ยวกรากน่าดู เรือหาปลาลำเล็กๆ ของท่านจะไปต้านลมต้านคลื่นแรงๆ เช่นนี้ได้อย่างไร”
“ข้าไม่ได้ไปหาปลา ข้าออกไปตามหาเ้า” จางเจิ้นอันตอบเสียงเรียบ
“ตามหาข้าทำไมกัน?” อันซิ่วเอ๋อร์หันขวับกลับมามองเขาเต็มตา “ข้าก็อยู่บ้านดีๆ มีเื่อันใดให้ท่านต้องออกตามหาด้วยเล่า?”
“ข้าบอกให้เ้าล้างหน้าล้างตาแล้วไปกินข้าว ใครใช้ให้เ้ามาแอบนอนหลับปุ๋ยอยู่ตรงนี้? มิหนำซ้ำยังถอดรองเท้าทิ้งไว้กลางลานอีก!” จางเจิ้นอันพอนึกถึงตอนที่เห็นรองเท้านางตกอยู่กลางโคลนแล้วก็พลันโมโหขึ้นมาอีกระลอก “วันก่อนเ้าเพิ่งบอกเองว่าจะเชื่อฟังข้าในฐานะหัวหน้าครอบครัว นี่ผ่านไปไม่กี่วัน ข้าเรียกกินข้าว เ้ากลับทำเป็หูทวนลมเสียแล้ว!”
“แล้วท่านเล่าเคยฟังข้าบ้างหรือไม่ ข้าจะไปฟังท่านทำไม?” อันซิ่วเอ๋อร์แค่นเสียงหึในลำคอ เชิดหน้าตอบอย่างไม่ยอมลดละ “ข้าอยากกินก็กิน ไม่อยากกินก็เื่ของข้า ไม่ใช่ธุระกงการอันใดของท่าน!”
“ไม่ใช่ธุระของข้างั้นรึ? ได้! เ้าคอยดู วันนี้ข้าจะสั่งสอนเ้าให้เข็ด!”
จางเจิ้นอันหน้าดำคล้ำด้วยโทสะ เขาไม่เข้าใจว่าภรรยาเด็กที่ปกติแสนจะว่านอนสอนง่าย เหตุใดจู่ๆ ถึงได้กลายร่างเป็แม่แมวป่าตัวน้อยที่พร้อมจะกางเล็บข่วนได้ทุกเมื่อ เขากวาดสายตามองไปรอบๆ ห้องครัว หาสิ่งใดสักอย่างมาใช้ลงโทษนางให้เข็ดหลาบ
พอนึกขึ้นได้ว่าอันซิ่วเอ๋อร์นั้นกลัวถูกตีที่สุด เขาจึงเอื้อมมือไปหยิบท่อเป่าไฟจากข้างเตาขึ้นมาก่อน ยกมันขึ้นสูงทำท่าจะฟาดลงมา อันซิ่วเอ๋อร์ใหน้าซีด คิดว่าตนคงทำให้เขาโกรธจัดจริงๆ จนเผลอหลับตาปี๋ แต่เขากลับโยนท่อเป่าไฟทิ้งไป แล้วเปลี่ยนไปหยิบเศษท่อนไม้ที่เล็กกว่าเดิมขึ้นมาแทน
เขาถือท่อนไม้นั้นแกว่งไปมาตรงหน้านางสองสามที แล้วก็โยนมันทิ้งไปอีก เปลี่ยนเป็กิ่งฟืนเล็กๆ อันหนึ่ง เขาใช้กิ่งฟืนนั้นลองตีฝ่ามือตนเองเบาๆ รู้สึกว่ายังเจ็บอยู่บ้าง ก็โยนมันทิ้งไปอีก คราวนี้เปลี่ยนไปหยิบกิ่งไม้แห้งเล็กจิ๋วขนาดเท่าตะเกียบมาอันหนึ่ง
อันซิ่วเอ๋อร์มองการกระทำอันแปลกประหลาดของเขาอย่างงุนงง เห็นเขาโยนกิ่งไม้เล็กๆ ทิ้งไปอีกครั้ง แล้วก้มลงดึงฟางข้าวเส้นหนึ่งออกมาจากใต้กองฟางที่นางเพิ่งนอนอยู่ เขาบรรจงเด็ดกิ่งก้านใบรอบๆ ออกจนหมด เหลือเพียงแกนฟางเส้นบางๆ เพียงเส้นเดียว จากนั้นก็ถือแกนฟางนั้นแกว่งไปมาตรงหน้าอันซิ่วเอ๋อร์ คว้าฝ่ามือเล็กของนางมา แล้วแสร้งทำเสียงดุดัน “รู้สำนึกผิดแล้วหรือยัง?”
อันซิ่วเอ๋อร์เม้มปากแน่น ไม่ยอมตอบ เขาแค่นหัวเราะ “ถ้ายังไม่ยอมรับผิด ข้าจะลงโทษเ้าแล้วนะ!”
“จะลงโทษก็เชิญเถิดเ้าค่ะ! ข้ายืนรออยู่ตรงนี้แล้ว!” อันซิ่วเอ๋อร์เชิดหน้ามองเขาอย่างไม่เกรงกลัว จับจ้องมองเขาเงื้อฟางข้าวขึ้นสูง... แล้วใช้มันขีดลงบนฝ่ามือนางเบาๆ ทีหนึ่ง ก่อนจะถามหน้าตาเฉย “เจ็บหรือไม่?”
“เจ็บมาก! ฝ่ามือข้าแดงไปหมดแล้ว” นางตอบเสียงกลั้วหัวเราะ พลางยื่นฝ่ามือขาวผ่องไร้ริ้วรอยใดๆ ไปตรงหน้าเขา “ท่านดูสิเ้าคะ”
“แดงจริงๆ ด้วย ข้าคงลงมือหนักไปหน่อย คราวหน้าเ้าต้องเชื่อฟังมากกว่านี้นะ เข้าใจหรือไม่” เขาจับมือนางไว้มั่น เป่าลมเบาๆ ลงบนฝ่ามือที่ไม่มีร่องรอยใดๆ เลยแม้แต่น้อย แต่กลับทำสีหน้าเหมือนสงสารจับจิตจับใจ ทั้งสองคนต่างเล่นละครตบตากันได้อย่างสมบทบาท
“ท่านต่างหากที่ต้องฟังข้า” อันซิ่วเอ๋อร์ดึงมือกลับ กล่าวด้วยสีหน้าตัดพ้อ “ข้าบอกว่าจะเก็บเงินซ่อมบ้าน ท่านก็ไม่พอใจ หาว่าข้ารังเกียจคนจนชอบคนรวย ทำเป็เมินเฉยไม่พูดจากับข้าตั้งหลายวัน คราวนี้เป็อย่างไรเล่า บ้านรั่วสมใจท่านแล้ว ดูซิว่าคืนนี้ท่านจะไปนอนที่ไหน!”
“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าบ้านมันผุพังถึงเพียงนี้? อีกอย่าง ข้าไม่เคยคิดเลยว่าเ้ารังเกียจความยากจน” จางเจิ้นอันรีบแก้ตัว
“ถ้าท่านไม่ได้คิดเช่นนั้น แล้วเหตุใดถึงทำเมินเฉยข้าตั้งหลายวันเล่า? ข้าพูดด้วยท่านก็ไม่ยอมตอบ” อันซิ่วเอ๋อร์เบือนหน้าหนี ยิ่งคิดก็ยิ่งน้อยใจ
“ข้าไม่ได้เมินเฉยเ้าเสียหน่อย เพียงแต่่นั้นข้าอารมณ์ไม่ดี เลยพลอยทำเ็าใส่เ้าไปบ้าง ข้าขอโทษ ได้หรือไม่เล่า?” จางเจิ้นอันจับไหล่นางให้หันมาสบตากันตรงๆ
“ท่านนี่ช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย แล้วท่านอารมณ์ไม่ดีเื่อันใดกัน?” อันซิ่วเอ๋อร์เงยหน้ามองเขา ถามอย่างไม่ยอมลดละ “หรือว่าปกติพอกินอิ่มนอนอุ่น ท่านก็พาลอารมณ์เสีย พอมาวันนี้ฝนตกหนัก บ้านรั่ว ท่านถึงได้อารมณ์ดีขึ้นมาเสียอย่างนั้น?”
จางเจิ้นอันรู้สึกว่าแม่หนูน้อยผู้นี้ ปกติก็ดูเป็คนพูดจารู้ความดีอยู่หรอก แต่พอถึงเวลาจริงๆ กลับซักไซ้ต้อนเขาจนมุมได้เก่งกาจน่าดู เขาไม่รู้จะอธิบายต่อนางอย่างไร เลยตัดสินใจไม่อธิบาย แต่ยอมรับผิดไปง่ายๆ แทน “ข้าผิดไปแล้ว”
“แล้วท่านผิดเื่อันใดเล่าเ้าคะ?” อันซิ่วเอ๋อร์ยังคงซักไซ้ไม่เลิกรา
คราวนี้จางเจิ้นอันเงียบไป ความอดทนของเขาก็มีขีดจำกัดเช่นกัน หากนางยังเซ้าซี้ไม่เลิกรา เขาคงหมดอารมณ์จะง้องอนนางแล้ว
แต่อันซิ่วเอ๋อร์พอเห็นเขาเงียบไป นางกลับไม่ซักถามต่อ กลับลุกขึ้นไปเติมฟืนเข้าเตาอย่างเงียบๆ แล้วยกเก้าอี้ตัวเล็กมาวางไว้ใกล้ปากเตา “เอาเถิด ท่านไม่อยากพูดข้าก็ไม่ถามแล้ว เห็นท่านเปียกปอนไปทั้งตัว มานั่งผิงไฟตรงนี้เถอะเ้าค่ะ”
จางเจิ้นอันนั่งลงตามที่นางบอกอย่างว่าง่าย แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความงุนงง ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเมื่อครู่นางยังซักไซ้เอาเป็เอาตายอยู่เลย จู่ๆ ถึงได้เลิกราไปเสียดื้อๆ พอนางไม่ถาม เขากลับรู้สึกค้างคาใจ อยากให้นางถามต่ออีกสักหน่อย... นี่มันอาการบ้าอันใดของเขากัน?
อันซิ่วเอ๋อร์เห็นผมเขายังคงเปียกชื้นอยู่ จึงเดินอ้อมไปด้านหลัง ยื่นมือไปแกะเชือกที่มัดผมเขาออก แล้วใช้นิ้วเรียวค่อยๆ สางเส้นผมให้เขาอย่างแ่เบามือ
หัวใจของจางเจิ้นอันค่อยๆ สงบลง เขาจึงเริ่มอธิบายด้วยเสียงแ่เบา “เมื่อครู่ข้าหาเ้าไม่พบ แล้วไปเจอรองเท้าเ้าถูกทิ้งไว้ที่ลานบ้าน ก็นึกไปว่าเ้าคิดสั้นะโน้ำตาย เลยรีบไปดูที่บ้านท่านพ่อตาท่านแม่ยายทีหนึ่ง เมื่อไม่พบก็รีบวิ่งไปที่ริมแม่น้ำ เห็นน้ำเชี่ยวกรากมาก ก็นึกว่าเ้าคงถูกกระแสน้ำพัดพาไปแล้ว ไม่กล้าลงไปตามหา ได้แต่กลับบ้านมาอย่างสิ้นหวัง ไม่นึกเลยว่าเ้าจะมานอนหลับสบายใจเฉิบอยู่ตรงนี้”
“ถ้าเช่นนั้น... หากข้าะโน้ำตายไปจริงๆ ท่านจะทำอย่างไรหรือเ้าคะ?” อันซิ่วเอ๋อร์หาผ้าสะอาดผืนหนึ่งมา ค่อยๆ ซับผมให้เขาจนแห้ง พลางเอ่ยถามด้วยเสียงนุ่มนวล
“ข้าจะทำอันใดได้ ก็คงต้องพยายามเก็บหอมรอมริบ แล้วหาภรรยาใหม่สักคนกระมัง”
น้ำเสียงราบเรียบราวกับกำลังพูดเื่ดินฟ้าอากาศของจางเจิ้นอัน ทำเอาอันซิ่วเอ๋อร์โกรธจนตัวสั่น นางโยนผ้าเช็ดผมใส่มือเขาอย่างแรง “ท่านเช็ดเองเถิด!”
“เป็อะไรไปอีกแล้ว?” จางเจิ้นอันถือผ้าเช็ดผมไว้ในมือ งุนงงกับอารมณ์ที่แปรปรวนราวพายุของนาง
“ท่านถามว่าข้าเป็อันใด? ที่แท้ในใจท่าน ข้าก็เป็เพียงภรรยาที่ท่านใช้เงินซื้อมาเท่านั้นเองใช่หรือไม่?” อันซิ่วเอ๋อร์จ้องมองเขาเขม็ง ขอบตาเริ่มแดงก่ำขึ้นมา
“แล้วมันไม่ใช่หรือ?” จางเจิ้นอันรับผ้ามาถือไว้ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งด้วยสีหน้าไม่เข้าใจอย่างแท้จริง “เดิมทีมันก็เป็เช่นนั้นอยู่แล้วไม่ใช่รึ?”
คำตอบนั้นทำให้อันซิ่วเอ๋อร์ถึงกับพูดไม่ออก นางรู้ดีว่าตามหลักการแล้ว นางก็เป็ภรรยาที่เขาใช้เงินสินสอดซื้อมาจริงๆ แต่เหตุใดในใจมันถึงได้รู้สึกไม่ใช่... มันขัดแย้งจนนางหาคำพูดมาโต้เถียงไม่ได้ ได้แต่ยืนนิ่งงัน ปล่อยให้น้ำตาหยดเผาะลงมาอย่างเงียบเชียบ
พอเห็นนางหลั่งน้ำตา เขาก็เริ่มทำตัวไม่ถูก นึกขึ้นได้ว่าตนเองคงพูดจาไม่เข้าหูภรรยาเด็กผู้นี้อีกแล้ว จึงลองเอ่ยถามดู “แล้ว... เ้าอยากจะเป็อันใดของข้าเล่า?”
“ข้าไม่รู้” อันซิ่วเอ๋อร์ส่ายหน้า แต่ลึกๆ ในใจนางคิดมาตลอดว่าตนเองควรจะเป็คนสำคัญที่สุดสำหรับเขา แต่พอเพิ่งมารู้แจ้งว่าตนเองอาจถูกแทนที่ได้ทุกเมื่อ ความเสียใจระคนน้อยใจก็ถาโถมเข้ามาอย่างไม่อาจต้านทานได้
“ช่างเถอะเ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์ปาดน้ำตาทิ้ง เดินกลับมาหยิบผ้าเช็ดผมในมือเขาไปอีกครั้ง แล้วลงมือเช็ดผมให้เขาต่ออย่างเงียบงัน
“เ้าหายโกรธแล้วรึ?” จางเจิ้นอันยังคงเอ่ยถาม
“ข้าจะโกรธเื่อันใดกัน?” อันซิ่วเอ๋อร์ฝืนยิ้มบางๆ ตอบ “คนเราแต่งงานก็เพื่อมีเสื้อผ้าอาภรณ์สวมใส่ มีข้าวปลาอาหารกิน สองสิ่งนี้ท่านก็มอบให้ข้าได้ ข้าควรจะดีใจเสียด้วยซ้ำ จะไปโกรธเคืองท่านได้อย่างไร เมื่อครู่เป็ข้าเองที่ไม่ถูกไม่ควร”
“แล้วตำแหน่งของข้าในใจเ้าเล่า... อาจจะถูกแทนที่ได้ทุกเมื่อเช่นกันอย่างนั้นรึ เ้าไม่โกรธเลยหรือ?” คราวนี้กลับเป็เขาที่เอ่ยถามกลับ ปกติเห็นนางใส่ใจ ดูแลเขาอย่างดีในทุกรายละเอียด แต่วันนี้ท่าทีเฉยชาไม่ทุกข์ร้อนของนาง ทำให้เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าในใจนางนั้นมีเขาอยู่จริงหรือไม่
มือของอันซิ่วเอ๋อร์ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะตอบ “ข้าไม่คิดสั้นะโน้ำตายหรอกน่า ถ้าข้ายังมีลมหายใจอยู่ คนสำคัญที่สุดในใจท่านก็ต้องเป็ข้าตลอดไปอยู่แล้ว... ไม่ใช่หรือเ้าคะ?”
จางเจิ้นอันนิ่งเงียบไป คำถามนี้... เขาก็ไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะตอบเช่นไร
อันซิ่วเอ๋อร์แม้จะมองไม่เห็นสีหน้าเขา แต่ก็ััได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง นางจึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ข้าก็แค่พูดไปเรื่อยเปื่อยเ้าค่ะ จริงๆ แล้ว ตำแหน่งของท่านพ่อท่านแม่ต่างหากที่น่าจะสำคัญที่สุดในใจท่านกระมัง”
“อ้อ ใช่แล้ว ข้าถามเื่ในอดีตของท่านได้หรือไม่เ้าคะ? เหตุใดท่านถึงได้มาปักหลักอยู่ที่หมู่บ้านชิงสุ่ยแห่งนี้ได้?” อันซิ่วเอ๋อร์ถือโอกาสเอ่ยถามด้วยเสียงแ่เบา
บรรยากาศเงียบงันไปชั่วขณะ นานพอสมควร จางเจิ้นอันจึงตอบด้วยน้ำเสียงขรึมตามแบบฉบับของเขา “เื่เ่าั้เ้าไม่ต้องสนใจ รู้เพียงว่าตอนนี้ข้าอยู่ที่นี่ก็พอแล้ว”
“แต่ว่า…” อันซิ่วเอ๋อร์เอ่ยอย่างลังเล คิดอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจพูดสิ่งที่อยู่ในใจลึกๆ ออกมา “ข้าเพียงแต่กลัวว่า... ท่านที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นมา ก็อาจจะจู่ๆ หายตัวไปได้เหมือนกัน”
“ท่านบอกข้าได้หรือไม่ ว่าท่านจะไม่หายไปไหนอย่างกะทันหัน?”
จางเจิ้นอันชะงักไป เขารู้ว่านาง้าคำยืนยัน แม้จะเป็เพียงคำพูดง่ายๆ แต่เขาก็ใช้เวลาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบออกมาเพียงสองคำสั้นๆ “ไม่ไป”
“เช่นนั้นก็ดีแล้วเ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์ดูโล่งใจขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เื่อื่นๆ นางก็ไม่ซักไซ้ต่ออีก
ถึงแม้นางจะไม่ใช่คนฉลาดหลักแหลมอันใดนัก แต่นางก็รู้จักประมาณตน ไม่เคยเซ้าซี้เื่ราวในอดีตของเขามากเกินไป ที่เอ่ยถามในวันนี้ก็เพราะบทสนทนามันพาไปเท่านั้น แม้ในใจจะยังคงสงสัยใคร่รู้เพียงใด นางก็เลือกที่จะอดทนรอต่อไป หากวันใดเขาพร้อมที่จะเล่า ไม่ต้องให้นางเอ่ยถาม เขาก็คงเล่าออกมาเอง
บรรยากาศกลับสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง จางเจิ้นอันถอดเสื้อคลุมตัวนอกที่เปียกชื้นออก พาดไว้ใกล้ๆ เตาผิงไฟ อันซิ่วเอ๋อร์ก็ตักน้ำอุ่นจากในหม้อมาใส่กะละมังใบเล็ก แช่เท้าของตนเองเพื่อคลายความหนาวเย็น
“เ้ามีรองเท้าคู่สำรองหรือไม่?” เขาเอ่ยถามขึ้น
อันซิ่วเอ๋อร์ส่ายหน้า “ที่ซักไว้ยังไม่แห้งเลยเ้าค่ะ”
เขาจึงลุกขึ้น ไปหยิบรองเท้ากับถุงเท้าของนางที่ตากไว้ตรงชายคาเข้ามา แล้วนั่งลงช่วยผิงไฟให้แห้ง
เสียงฟืนในเตาประทุดังเปรี๊ยะๆ เป็ระยะ น้ำในกะละมังค่อยๆ ร้อนขึ้นแล้วก็ค่อยๆ เย็นลง อันซิ่วเอ๋อร์ยกเท้าเปล่าขาวผ่องพาดไว้บนขอบกะละมัง จางเจิ้นอันก้มหน้าก้มตาช่วยนางตากรองเท้า พลางเอ่ยขึ้น “ขยับมานั่งใกล้ๆ นี่สิ จะได้ไม่หนาว”
เห็นนางยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม เขาก็วางของในมือลง เดินไปอุ้มเก้าอี้ทั้งตัวพร้อมกับคนนั่ง มาวางไว้ข้างเตาอย่างง่ายดาย ไฟในเตาส่องสว่างเรื่อเรือง นางก้มหน้าลง แสงไฟตกกระทบบนใบหน้า แต่กลับมองไม่เห็นสีหน้าของนางได้ชัดเจนนัก
เนิ่นนานผ่านไป ในที่สุดรองเท้าและถุงเท้าของนางก็แห้งสนิท จางเจิ้นอันส่งคืนให้นาง ส่วนตนเองก็หยิบเสื้อผ้าที่ผิงจนแห้งดีแล้วขึ้นมาสวม “ตอนเช้าเ้ายังไม่ได้กินอันใดเลย ข้าจะไปยกโจ๊กมาให้ ถือโอกาสอุ่นตรงนี้เลยแล้วกัน”
นางรับรองเท้าและถุงเท้ามาสวมใส่อย่างเงียบๆ ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธคำพูดของเขาแต่อย่างใด
เขายกชามโจ๊กกลับมาอีกครั้ง หาที่รองนึ่งทำจากไม้ไผ่มาวางบนหม้อน้ำร้อน แล้วจึงวางชามโจ๊กนึ่งไว้้า ฝนด้านนอกยังคงตกพรำ ไม่ขาดสาย อากาศยิ่งทวีความเย็นลง ทั้งสองคนได้แต่นั่งผิงไฟอยู่ข้างเตาอย่างเงียบงัน ไม่มีผู้ใดเอ่ยคำใดออกมาอีกเลย
