“จื้อเกาเสียค่าเล่าเรียนปีละสามตำลึงเงิน นี่ไม่ทันไรก็ได้เงินสามตำลึงเงินแล้ว เป็วาสนาใหญ่ของตาเฒ่าบ้านข้าแล้ว น้องจ้าว ขอบคุณครอบครัวเ้าจริงๆ” เฟิงซื่อรีบเข้าไปขอบคุณจ้าวซื่อ จ้าวซื่อจึงได้รู้ว่าครอบครัวหาเงินได้มากมาย ทั้งยังทำเงินให้หวังไห่อีกด้วย
จ้าวซื่อเป็คนจริงใจ พูดยิ้มๆ ว่า “สามีท่านเป็หัวหน้าหมู่บ้าน มีเขาเป็คนกลางเช่นนี้พวกเราก็วางใจ”
ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงยามจ้าวซื่อก็เขียนสัญญาเสร็จ จ้าวซื่อเป็ตัวแทนของบ้านหลี่ ซึ่งเป็ฝ่ายผู้ขาย หวังไห่เป็ตัวแทนคนกลาง ส่วนหูเอ้อร์และเหอซานเป็ตัวแทนผู้ซื้อ ทั้งสามเซ็นสัญญาประทับรอยนิ้วมือร่วมกัน
หูเอ้อร์และเหอซานได้รับสัญญามาเรียบร้อยแล้ว ก็จ่ายเงินตรงนั้นเลย ตั๋วเงินสามสิบตำลึงเงินถูกส่งให้ครอบครัวหลี่ ก้อนเงินสามตำลึงเงินถูกส่งให้หวังไห่
หวังไห่ไม่เคยได้รับเงินก้อนใหญ่อย่างง่ายดายเพียงนี้มาก่อนจึงรู้สึกยินดียิ่งนัก สายตาที่มองไปทางครอบครัวหลี่ก็ดูสนิทสนมมากขึ้นไปอีก
หลี่หรูอี้พาหูเอ้อร์และเหอซานเข้าไปในครัว สอนวิธีทำแป้งย่างใส่ไข่ให้พวกเขาด้วยตนเอง
หูเอ้อร์และเหอซานจึงค่อยเข้าใจกระจ่าง “ที่แท้แป้งย่างใส่ไข่ต้องใช้แป้งลวกนี่เอง”
หลี่หรูอี้กล่าวว่า “เมื่อลวกแป้งเรียบร้อยแล้ว ให้แบ่งแป้งออกเป็แผ่นเล็กและแผ่นใหญ่ นำแป้งแผ่นเล็กไปจุ่มน้ำมัน แล้วนำแป้งแผ่นใหญ่ไปห่อกับแผ่นเล็ก จากนั้นจึงนำแป้งลงย่าง รอให้พองขึ้นมาก่อนแล้วใช้ตะเกียบเจาะรู จากนั้นจึงกรอกแป้งย่างลงไปข้างใน ห้ามมีรูรั่วเป็อันขาด ย่างอีกเล็กน้อยก็จะเป็แป้งย่างใส่ไข่แล้วเ้าค่ะ”
หูเอ้อร์และเหอซานอดรนทนไม่ไหว ลงมือทำแป้งย่างใส่ไข่ด้วยตนเองเดี๋ยวนั้นเลย
เดิมทีทั้งสองก็เป็พ่อครัวใหญ่ที่ถนัดอาหารประเภทแป้งอยู่แล้ว พวกเขาขอรับคำสั่งสอนอย่างถ่อมตัว เมื่อมีหลี่หรูอี้เป็คนชี้แนะให้ด้วยตนเอง ไม่นานก็ทำสำเร็จ
“แป้งย่างใส่ไข่ดูเหมือนง่าย แต่ความจริงมีจุดสำคัญอยู่สองอย่างก็คือ ต้องใช้แป้งลวกและต้องนำแป้งแผ่นใหญ่มาห่อแป้งแผ่นเล็ก”
“ก่อนหน้านี้พวกเราสองพี่น้องทดลองทำกันนานมาก แต่ก็ไม่สำเร็จ ไม่รู้เลยว่ามีจุดสำคัญอยู่สองจุดเช่นนี้”
เสียงหัวเราะเบิกบานใจของทั้งสองดังแว่วออกมาจากในครัว ทั้งยังมีเสียงของหลี่หรูอี้กล่าวชมเชยเจือมาด้วย “ท่านอาทั้งสองทำแป้งย่างใส่ไข่ได้ดีกว่าข้าอีกเ้าค่ะ”
ตอนนี้ทั้งสองไม่กล้ามองว่า หลี่หรูอี้เป็สตรีชาวบ้านธรรมดาอีกแล้ว “พวกข้าขอตัวก่อน”
“วันหน้าหากมีวาสนาค่อยพบกันใหม่ พวกเราสามารถแลกเปลี่ยนความรู้กันได้”
ก่อนจากไปทั้งสองไม่ได้บอกฐานะที่แท้จริง เพราะกลัวว่าจะมีปัญหาที่ไม่จำเป็ตามมาภายหลัง
หวังไห่ หลี่อิงฮว๋า และหลี่ิ่หาน พาคนทั้งสองออกไปส่งถึงปากทางหมู่บ้าน เมื่อทั้งคู่ขี่ม้าจากไปแล้ว คนในหมู่บ้านก็พากันล้อมเข้ามาสอบถาม
“พวกเขาไม่ใช่ญาติของพี่น้องหลี่ซาน เป็เพียงคนในหมู่บ้านเดียวกันเท่านั้น พวกเขารีบเร่งมาไม่ทันเตรียมของขวัญมาให้บ้านหลี่ จึงอยู่กินแป้งย่างไม่กี่แผ่น แล้วก็รีบกลับไปหาหลี่ซานที่เมืองเยี่ยน” หวังไห่พูดโกหกราวกับเป็เื่จริง
“ที่แท้พวกเขาก็เป็คนหมู่บ้านเดียวกับหลี่ซาน”
“ข้าได้กลิ่นแป้งย่างใส่ไข่โชยมาจากห้องครัวของบ้านหลี่ด้วย บ้านหลี่ไม่ได้ของขวัญอะไร แต่ก็ทำอาหารให้ทั้งสองคนนั้นกินหรือ”
“พวกเขาสวมชุดผ้าไหมทั้งยังขี่ม้าตัวใหญ่ แต่กลับขี้งกไม่ยอมซื้อของขวัญมาให้บ้านหลี่สักชิ้น”
“ไม่เคยเห็นผู้ใดขี้งกเพียงนี้มาก่อน ญาติจากทางไกลมาเยี่ยมมือเปล่า แล้วยังมาขอข้าวกินอีก”
สตรีปากยื่นปากยาวหลายคนในหมู่บ้านจงใจพูดค่อนแคะหูเอ้อร์และเหอซานทางด้านหลังของหลี่อิงฮว๋าและหลี่ิ่หาน
หวังไห่กล่าวเสียงดัง “ข้าบอกแล้ว ทั้งสองไม่ใช่ญาติของครอบครัวหลี่ เป็แค่คนในหมู่บ้านเดียวกัน คนในหมู่บ้านเดียวกันจะต้องให้ของขวัญกันทำไม อ้อ... ปกติพวกเ้ามาหาภรรยาข้าเพื่อพูดคุยเื่ทั่วไป ก็นำของขวัญมาให้ด้วยหรือ”
สตรีปากยื่นปากยาวหลายคนหัวเราะไม่ออก
เฟิงซื่อยืนอยู่ที่หน้าประตูบ้านของตน เมื่อเห็นหลี่อิงฮว๋าและหลี่ิ่หานเดินผ่านมา จึงรีบหยิบตะกร้าใส่ถั่วลิสงขึ้นมา เดินเข้าไปพูดยิ้มแย้มว่า “ข้าเพิ่งคั่วเสร็จเมื่อครู่นี้ ยังร้อนอยู่เลย พวกเ้าเอากลับบ้านไปกินเป็ของว่างเถิด”
หวังไห่เห็นเฟิงซื่อรู้ความเช่นนี้ก็รู้สึกยินดี เดินเข้าไปในบ้านของตนแล้วตรงไปยังห้องโถง นำก้อนเงินสามตำลึงเงินไปมอบให้นาง
เฟิงซื่อกล่าวอย่างซาบซึ้งใจ “นี่เป็ค่าเรียนให้จื้อเกาของพวกเราได้หนึ่งปีพอดี”
หวังไห่หัวเราะเสียงดัง
เฟิงซื่อกล่าวอย่างลำพองใจว่า “ก่อนหน้านี้ข้าให้น้องจ้าวหยิบยืมเงินไป ไม่คิดว่าจะได้รับการตอบแทนจากนางด้วย นางเป็คนที่รู้จักบุญคุณจริงๆ ท่านดูเอาเถิด ไม่ว่ามีเื่ดีอะไรนางก็มาหาข้าก่อน แม้แต่หม่าซื่อก็ยังสำคัญน้อยกว่าข้า”
หวังไห่ยิ้มบางๆ “ข้ายังไม่ทันได้บอกเ้า เมื่อวานมีสองครอบครัวในตำบลจินจีจะก่อเตียงเตา พวกเขาให้ข้าพาคนไปพรุ่งนี้ นี่เป็ครั้งแรกที่พวกเราจะไปสร้างเตียงเตาข้างนอก ข้าต้องรีบไปตรวจสอบสักหน่อย ไปั้แ่เช้า คงจะกลับมืดๆ”
เฟิงซื่อกล่าวอย่างยินดี “ยังไม่ทันจะเข้าฤดูหนาวก็มีคนขอให้ท่านสร้างเตียงเตาแล้วหรือ”
หวังไห่พูดยิ้มๆ “ใช่แล้ว ข้าก็คิดไม่ถึงว่าจะรวดเร็วเช่นนี้ สองครอบครัวนั้นให้เงินมัดจำมาแล้วแปดสิบทองแดง เดี๋ยวพอข้าตื่นนอนค่อยไปตามคนมาขุดดินทีู่เา”
“ข้าจะไปซื้อเนื้อในตำบลสักหน่อย ตอนเย็นจะทำเนื้อผัดที่ท่านชอบที่สุดให้กิน แล้วจะซื้อสุรากลับมาให้ด้วย” หลังจากแยกบ้านกันแล้ว ยังไม่เคยซื้อเนื้อกินกันสักครั้ง วันนี้ได้รับวาสนาจากครอบครัวหลี่ ไม่ทันไรก็ได้เงินสามตำลึงเงิน จะต้องกินดีๆ สักมื้อ
หวังไห่มองแผ่นหลังอันผอมบางของเฟิงซื่อ กล่าวเสียงดังว่า “รอข้าก่อเตียงเตาหาเงินได้ก่อน จะซื้อผ้าไหมมาตัดเย็บชุดใหม่ให้พวกเ้าสามแม่ลูก”
หวังเยี่ยนยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องโถงได้ยินบทสนทนาของพ่อแม่เข้าพอดี ในใจรู้สึกยินดียิ่ง ทั้งยังซาบซึ้งต่อบ้านหลี่มากขึ้นด้วย
เฟิงซื่อถาม “เยี่ยนเอ๋อร์ เ้าไปที่ตำบลกับข้าสักหน่อยเป็อย่างไร”
หวังเยี่ยนยิ้มตอบ “ประเดี๋ยวข้าจะไปต้มชาเก๊กฮวยให้ท่านพ่อเ้าค่ะ ท่านพ่อตื่นมาจะได้มีกิน”
หวังไห่ที่อยู่ในห้องโถงกล่าวเสียงดัง “เยี่ยนเอ๋อร์ รอข้าก่อเตียงเตาหาเงินได้เสียก่อน จะเพิ่มเงินสินเดิมให้เ้า”
“ขอบคุณเ้าค่ะท่านพ่อ” หวังเยี่ยนยินดียิ่งนัก นี่เป็ครั้งแรกที่หวังไห่กล่าวเช่นนี้
บ้านของหวังลี่ตงอยู่ติดกันเพียงกำแพงกั้น ชวีหงใช้สองมือเท้าสะเอว ก่นด่าหวังซานนิวบุตรีคนที่สามที่กำลังจะแต่งงานไปว่า “เ้าผลาญเงินทองมากมายเพียงนี้ ยังมีหน้ามาขอให้เพิ่มสินเดิมอีกหรือ”
“สินเดิมของพี่รอง แค่เงินก็ห้าตำลึงเงินแล้ว ข้าได้เพียงห้าร้อยทองแดง น้อยกว่าตั้งสิบเท่า…” หวังซานนิวอายุสิบห้าแล้ว นางมีรูปร่างบอบบาง ใบหน้าดูละม้ายคล้ายกับหวังลี่ตงมากๆ แต่ดูดีกว่าชวีหงตอนสาวๆ มากนัก เพียงแต่ผิวดำไปสักหน่อยทำให้ดูไม่ดี ดูเป็สตรีที่ทำงานหนักตรากตรำ
ชวีหงเลิกคิ้วขึ้น “ข้าไม่มีบุตรชาย ต้องเก็บเงินไว้ใช้ยามแก่เฒ่า เ้าไม่ได้สืบทอดสกุล ไม่ได้เลี้ยงดูข้ายามแก่เฒ่า ต่อให้เ้าร้องไห้เพียงใดข้าก็ไม่เพิ่มให้เ้าแม้แต่ทองแดงเดียว ้าเพิ่มสินเดิมหรือ หากมีความสามารถก็ไปขอกับปู่ของเ้าโน่น”
หวังลี่ตงมองไปยังใบหน้าที่บูดเบี้ยวของชวีหง ตำหนิว่า “เ้าพูดให้มันน้อยๆ หน่อย”
สายตาดุดันของชวีหงมองมาทางหวังลี่ตง กล่าวค่อนแคะไปว่า “เ้าก็อีกคน ี้เีแทบตายแล้ว ไม่ยอมไปสร้างกำแพงเมือง ไม่ยอมไปทำงานที่ตำบล เอาแต่นอนี้เีอยู่ที่บ้าน หลังเก็บเกี่ยวฤดูร้อนก็ไม่ได้หาเงินกลับมาสักทองแดงเดียว ข้านี่โชคร้ายจริงๆ ที่มาแต่งกับเ้า!”
หวังลี่ตงตวาดกลับ “ว่าแต่ข้า ดูตัวเองก่อนเถิด วันๆ ก็เอาแต่นั่งอยู่ในบ้านไม่ทำอะไรไม่ใช่หรือ”
“ข้าเป็สตรี เ้าเป็บุรุษ ยังมาตำหนิที่ข้าไม่ทำงานอีก ไร้สาระจริงๆ ข้าไม่ทำ” ชวีหงทิ้งตัวนั่งลงกับพื้นอย่างโกรธเกรี้ยว
หากเป็ในยามปกติหวังซานนิวต้องเข้าไปประคองชวีหงเป็แน่ แต่ระยะนี้เื่แต่งงานและเื่สินเดิมทำให้นางเสียใจจึงไม่ยอมทำเช่นเดิม นางเดินกระแทกเท้าไปที่ลานด้านหน้าเพื่อไปหาหวังไห่
หวังเยี่ยนเห็นหวังซานนิวผู้เป็หลานสาวของตนก็ยื่นมือไปขวางไว้ กล่าวเสียงอ่อนโยนว่า “ซานนิว ท่านพ่อกำลังหลับ เ้ามีอะไรก็รอเขาตื่นก่อนค่อยพูดเถิด”
หวังซานนิวไม่เคยให้ความเคารพหวังเยี่ยนมาั้แ่เด็กแล้ว รวมกับที่ตนอายุมากกว่าหวังเยี่ยน จึงไม่เห็นสตรีผู้นี้อยู่ในสายตา ตะคอกไปว่า “ไม่ได้ ข้ามีเื่เร่งด่วน้าพบท่านปู่”
“ให้นางเข้ามาเถิด” ในน้ำเสียงของหวังไห่ไม่มีความยินดีหรือขุ่นเคืองแม้แต่น้อย
“หลีกทาง!” หวังซานนิวผลักหวังเยี่ยน จากนั้นจึงเปิดประตูห้องนอนเดินเข้าไป เห็นหวังไห่นั่งขมวดคิ้วอยู่ข้างเตียงจึงคุกเข่าลงร้องห่มร้องไห้ “ท่านปู่ หลานสาวท่านได้สินเดิมน้อยนัก ท่านต้องเพิ่มให้ข้านะเ้าคะ”
.......................................