เดินออกจากห้องของเฉินเฟิงด้วยความรู้สึกดั่งยกูเาออกจากอก แต่ทว่าตอนที่ฉันเดินออกจากห้องของเฉินเฟิง และปิดประตูลง ทันใดนั้นฉันพบว่า บนผนังกำแพงห้องของเฉินเฟิง ได้เขียนตัวอักษรภาษาอังกฤษสีเืไว้แถวหนึ่งว่า REDRUM
เมื่อกี้ล้วนไม่มีใครสังเกตเห็นตัวอักษรที่อยู่บนผนัง แต่ทว่าฉันก็มองเพียงแค่แวบเดียว หลังจากนั้นก็ปิดประตูห้อง ยังไงทุกอย่างก็ล้วนสิ้นสุดลงแล้ว ฉันก็ไม่จำเป็ต้องคิดอะไรมาก
เมื่อออกมาจากบ้านของเฉินเฟิงแล้ว ฉันรีบเปิดดูโทรศัพท์มือถือ พบว่าฉันถูกผู้ดูแลกลุ่มถีบออกจากกลุ่มแล้วจริงๆ ในที่สุดตอนนี้ก็หลุดพ้นจากเกมนี้แล้ว
“พวกเรากลับไปกันเถอะ” ตวนมู่เซวียนปริปากพูดอย่างเฉยเมย ใบหน้าเขาไม่มีความดีอกดีใจ โดยเฉพาะมีความเสียใจอยู่บ้าง หลังจากนั้นพวกเราทั้งสามคนก็นั่งอยู่บนรถ แล้วก็เริ่มกลับไปที่โรงเรียน
หลังจากกลับมาที่ห้องเรียน เพื่อนๆ ที่รอพวกเราอยู่ได้ทำการต้อนรับเหมือนกับเป็ฮีโร่ แทบจะทุกคนที่ร้องไชโยแล้วกระโจนเข้ามาหาพวกเรา
“พวกเธอเก่งสุดๆ ไปเลย ครั้งนี้สำเร็จแล้ว ในที่สุดพวกเราก็หลุดพ้นแล้ว”
“อายุยืนหมื่นๆ ปี เยี่ยมสุดๆ ไปเลย”
“ใช่ ทุกอย่างล้วนสิ้นสุดลงแล้ว!”
คนในห้องเรียนร้องด้วยความดีอกดีใจกัน แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่ล้วนไปหากวานเหยาและตวนมู่เซวียน แต่ทว่าฉันยังไงก็ได้ สายตาของฉันไปรวมกันอยู่ที่เย่รั่วเซวี่ย แต่ว่าสิ่งที่ทำให้ฉันประหลาดใจก็คือ สีหน้าของเย่รั่วเซวี่ยมีความสับสนอยู่บ้าง จริงๆ แล้วไม่กล้ามองฉัน ซึ่งทำให้ในใจฉันคาดคิดไม่ถึง ลางสังหรณ์ที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่กำลังหมุนอยู่ในหัวฉัน
แต่ทว่าฉันยังคงฝืนยิ้ม และเริ่มฉลองกับเพื่อน ความคึกคักนี้ได้ติดต่อกันหลายชั่วโมง หลังจากสองสามชั่วโมง ทุกอย่างก็กลับมาสงบเงียบ
นักเรียนทุกคนล้วนมีสีหน้าที่ดีอกดีใจ ตอนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ทุกคนล้วนกำลังหารือกันว่า จะฉลอง
“วันนี้ทุกคนดีอกดีใจกัน ฉันตัดสินใจแล้ววันนี้ฉันจะเลี้ยงอาหารเย็นทุกคน หลังจากนั้นไปคาราโอเกะด้วยกัน” หวางอู่ยืนขึ้นแล้วะโ ก็คงมีแค่เขาเท่านั้นแหล่ะที่มีกำลังทรัพย์ขนาดนี้ ถึงเชิญคนทั้งห้องไปบริโภคได้
เพื่อนๆ ร้องขึ้นมาด้วยความดีอกดีใจ ผู้หญิงจำนวนไม่น้อยยิ่งมองหวางอู่ด้วยสายตาที่เลื่อมใส และฉันคนที่ช่วยพวกเขาคนนี้ เหมือนกับว่าได้ถูกลืมไปแล้ว ซึ่งทำให้ใจฉันรู้สึกหมดหวังอยู่บ้าง
หลี่โม่ฟ๋านถือโอกาสนี้เดินเข้ามาพูดว่า “เฮ้ยๆ ลูกพี่ ดีที่มีนาย มิฉะนั้นแล้วพวกคงไม่สามารถที่จะหลุดพ้นออกจากคำสาปได้”
“พอเถอะ ความดีความชอบเป็ของตวนมู่เซวียนน่ะ” ฉันส่ายหน้าพลางพูด การไปครั้งนี้ ฉันก็ไม่ได้ช่วยอะไรจริงๆ หากไม่ใช่เพราะว่าตวนมู่เซวียนซ่อมให้คอมพิวเตอร์ดีขึ้นได้แล้วล่ะก็ พวกเราก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากคำสาปนี้ได้หรอก
“ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ฉันกับหยางย่าซินก็ถือว่าดีที่มีนายช่วยไว้” หลี่โม่ฟ๋านพูด ฉันพยักหน้า ถึงแม้ในใจจะมีความสิ้นหวังอยู่บ้าง แต่ทว่าจะดีหรือร้ายฉันก็หลุดพ้นจากคำสาปแล้ว โดยเฉพาะยังได้สหายอีกสองสามคน ก็ถือว่าไม่เลวเลย
นึกถึงจุดนี้แล้ว ฉันก็รีบส่งข้อความไปให้เย่รั่วเซวี่ยหนึ่งข้อความว่า “วันนี้ตอนเย็น พวกเราไปทานอาหารด้วยกันดีไหม?”
“ขอโทษด้วย ฉันไม่มีเวลาน่ะ” เย่รั่วเซวี่ยตอบกลับ
“ได้” ฉันเก็บโทรศัพท์มือถืออย่างเลี่ยงไม่ได้ ก็แค่รู้สึกไม่สบายอยู่บ้าง แต่ว่าไม่นานฉันก็พูดคุยกับหลี่โม่ฟ่าน และหยางย่าซินก็เพิ่มเข้ามา
ถึงแม้เกมจะสิ้นสุดลงแล้ว แต่ทว่าท่าทางที่เขามีต่อฉันไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงใดๆเลย และยังคงพูดพลางยิ้มว่า “ลูกพี่ วันนี้เป็วันดี ตอนเย็นพวกเราไปกินปิ้งย่างกันดีไหม”
“ตามที่นายสะดวกเลย” ฉันพูดอย่างยิ้มแย้ม
“ใช่แล้ว จะเชิญพี่สะใภ้ไปด้วยไหม” หยางย่าซินถาม
“เธอไม่ว่างน่ะ” ฉันยักไหล่พลางพูด
“พูดอีกก็ถูกอีก ตอนนี้เกมได้สิ้นสุดลงแล้ว ทุกคนควรจะกลับมาใช้ชีวิตปกติได้แล้ว ใน่เวลานี้ก็ถ่วงไปหลายวิชาแล้ว” หยางย่าซินพูด
“อืม ที่พูดมาก็ใช่” ฉันพยักหน้า แต่แค่ในใจมีความผิดหวังที่พูดไม่ออก เพราะว่าหลังจากที่กลับมาใช้ชีวิตปกติแล้วนั้น ฉันก็จะกลับไปอยู่ในตำแหน่งที่ต่ำที่สุดในชั้นเรียน ก็เหมือนกับทุกอย่างไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเลย
หลังจากที่ต่อเนื่องกันสองคาบเรียน อารมณ์ของทุกคนก็คงที่ขึ้น ต่างคนต่างก็เริ่มมีท่าทางกลับไปเป็ปกติดั่งเดิม ทั้งชั้นเรียนนอกจากว่าจำนวนคนจะขาดไปสองสามคนแล้ว แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนกลับไปเป็เหมือนเมื่อก่อน
และในเวลานี้ หวางอู่ได้เดินเข้ามา ข้างๆ เขายังมีลิ่วล้ออีกสองสามคน ทันใดนั้นฉันก็รู้สึกว่าไม่ได้การแล้ว และหลี่โม่ฟ๋านยิ่งอยากที่จะวิ่งหนี แต่กลับถูกพวกเขาหยุดเอาไว้
“หลี่โม่ฟ๋าน จางเว่ย พวกนายสองคนไปสนามกีฬากับฉัน” หวางอู่แสยะยิ้มพูด และลิ่วล้อที่อยู่ด้านหลังอีกสองสามคน ยิ่งเต็มไปด้วยใบหน้าที่ภาคภูมิใจ ตัวฉันมีอาการสั่นเทา ดวงตาคู่นั้นได้เต็มไปด้วยความขมขื่น
“อย่าทำเช่นนี้สิ จะดีหรือร้ายฉันก็เคยช่วยพวกเราไว้น่ะ” ฉันพูดด้วยอาการสั่น แต่หวางอู่กลับหัวเราะอย่างดูถูกว่า “เหอๆ นายช่วยพวกเราเหรอ? อย่าตลกเลย เหมือนกับว่าเป็ตวนมู่เซวียนที่เปิดคอมพิวเตอร์น่ะ นายไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น”
“หวางอู่ นายกล้าลองทำลูกพี่ฉันสิ” หยางย่าซินพุ่งเข้ามาด้วยความโกรธ แต่กลับถูกลิ่วล้อสองสามคนของหวางอู่หยุดไว้ ซึ่งในนั้นมีจ้าวเฉินเห้ออยู่ด้วย เขามองฉันพลางแสยะยิ้มเช่นกัน
“เหอๆ ท่าทางโง่ๆ อย่างนี้ยังมีหน้าเป็ลูกพี่แกอีกเหรอ” หวางอู่แสยะยิ้มแล้วตบหน้าฉันทีหนึ่ง สายตาฉันเยือกเย็น แต่กลับไม่กล้าต่อต้าน เพราะว่าฉันในตอนนี้ ข่มขู่อะไรเขาไม่ได้แม้แต่น้อย
“แกนี่แม่ง!” หลังจากที่หยางย่าซินเห็น และได้จ้องจนตาแตก เขาจึงพยายามดิ้นรนจะไปสู้ตายกับหวางอู่ และหลี่โม่ฟ๋านก็้าที่จะเข้าไปต่อยกับหวางอู่เช่นกัน แต่ทว่าทันใดนั้นพวกเขาทั้งสองก็ถูกดึงไว้
หวางอู่มองฉันพลางแสยะยิ้ม และพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่เห็นค่าว่า “จางเว่ย นายคิดว่าตอนนี้ฉันจะยังกลัวนายเหรอ?”
ฉันเงียบกริบไม่พูดอะไร เพียงแค่สายตามองไปที่เย่รั่วเซวี่ย เธอเป็ความอบอุ่นเพียงหนึ่งเดียวของฉันแล้ว แต่เวลานี้เย่รั่วเซวี่ยกลับหันหลัง แค่จะมองฉันสักหน่อยก็ยังไม่มองเลย
ใจฉันชาไปครึ่งหนึ่ง ตัวฉันดั่งกับเป็หุ่นกระบอกที่นั่งอยู่ที่โต๊ะ และกวานเหยาก็พุ่งเข้ามา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ฮึกเหิมว่า “หวางอู่ นายกำลังทำอะไร? จางเว่ยก็เป็คนที่ช่วยทุกคนไว้เหมือนกัน ทำไมต้องทำกับเขาแบบนี้ด้วย?”
“เหอๆ ถึงมันจะช่วยทุกคนแล้วจะทำไมล่ะ? ในเมื่อฉันจะต่อยมันยังไงก็ต้องต่อยมันอยู่ดี!” หวางอู่แสยะยิ้มพูด เมื่อพูดจบก็ตบหน้าฉันทีหนึ่ง ใบหน้าฉันเต็มไปด้วยความโกรธ ในขณะเดียวกันก็ได้โต้ตอบกลับไป แต่ทว่ากำปั้นฉันกลับถูกหวางอู่จับไว้
“ทุกคนทำอะไรกันอยู่ ทำไมไม่ช่วยจางเว่ยกันเลยล่ะ? เป็เขาที่ช่วยพวกเราไว้นะ” กวานเหยาทนไม่ไหวะโใส่คนที่อยู่โดยรอบ แต่ทว่าสิ่งที่ทำให้คาดไม่ถึงก็คือ ในชั้นเรียนไม่มีใครยอมยื่นมือเข้ามาช่วยแม้แต่คนเดียว ทุกคนล้วนลังเลอยู่ สีหน้าล้วนมีความลำบากใจอยู่บ้าง
ณ เวลานี้ ฉันรู้สึกว่าในใจเต็มไปด้วยความขมขื่น ฉันสืบหามานานขนาดนี้แล้ว พยายามหาความจริง ก็เพื่อที่จะช่วยทั้งชั้นเรียน แต่แล้วในที่สุด เมื่อฉันตกที่นั่งลำบาก ในชั้นเรียนไม่มีใครยอมที่จะช่วยฉันสักคน
นอกจากหลี่โม่ฟ๋าน หยางย่าซินและกวานเหยาแล้ว คาดไม่ถึงว่าเวลานี้ฉันจะโดดเดี่ยวไร้การช่วยเหลือ
“เป็เช่นนี้นี่เอง จริงๆ แล้วคนกลุ่มนี้ไม่มีคุณสมบัติที่จะได้รับการช่วยเหลือแล้วล่ะสิ” ฉันพูดพึมพำด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น หลังจากนั้นหวางอู่ก็ลากฉัน และพาหยางย่าซินกับหลี่โม่ฟ๋านออกไป
เมื่อมาถึงสนามกีฬา หวางอู่โบกมือไปตามใจชอบพลางพูดว่า “ปล่อยพวกมัน” หลังจากนั้นนักเรียนชายสองสามคนก็ปล่อยหลี่โม่ฟ๋านกับหยางย่าซิน
“มาสิ วันนี้ฉันจะให้พวกแกคิดบัญชีเอง” หวางอู่โบกมือพลางแสยะยิ้มพูดว่า “อย่ามาว่าฉันไม่ได้ให้โอกาสพวกแกล่ะ ให้พวกแกสามคนมาต่อยฉันคนเดียว”
พวกเราสามคนมองหน้ากัน หลังจากนั้นก็กระโจนเข้าใส่หวางอู่ ในพวกเราสามคนพละกำลังในการต่อสู้ของหยางย่าซินแข็งแกร่งที่สุด และฉันอ่อนแอที่สุดในนี้ แต่ทว่าเมื่อพวกเราสามคนร่วมมือกันแล้ว ก็ยังถือว่าร้ายกาจมากอยู่เหมือนกัน
ถึงแม้หวางอู่จะมีร่างกายกำยำล่ำสัน กำลังในการต่อสู้แข็งแกร่ง แต่ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีของพวกเราทั้งสามแล้วล่ะก็ เขาก็ยังคงรับไม่ไหวอยู่บ้าง หลังจากที่ทนติดต่อกันหลายมัด เขาก็ะโด่านักเรียนชายที่ยืนมองอยู่โดยรอบว่า “มองกันทำบ้าอะไร ยังไม่รีบจัดการอีก!”
หลังจากนั้นผู้ชายสองสามคนก็พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว แล้วปิดล้อมพวกเราไว้ เวลานี้พวกเราไม่ใส่ใจอะไรทั้งนั้นแล้ว ไม่ว่าจะเป็ฉันและหยางย่าซิน พวกเราทั้งสามคนล้วนเริ่มชกต่อยกับพวกคนเหล่านี้
ร่างกายฉันผอมและอ่อนแอมาั้แ่เด็ก ด้วยเหตุนี้จึงชกต่อยไม่เป็ ไม่นานฉันก็ถูกถีบล้มลงไปกับพื้น ไม่รู้ว่ามีกี่เท้า ที่กระทืบลงมาที่หลังฉัน และหลี่โม่ฟ๋านกับหยางย่าซินก็มีบทสรุปเช่นนี้
ฉันปกป้องใบหน้าไว้อย่างสุดชีวิต ความเ็ปที่หลังเกือบทำให้ฉันหายใจไม่ออก หลังจากที่ทั้งเตะทั้งต่อยติดกันเป็เวลา 10 นาที หวางอู่พูดไปด่าไปพร้อมทั้งพาคนเ่าั้จากไป และจ้าวเฉินเห้อคือคนที่จากไปคนสุดท้าย เขาเปรียบดั่งนักแปลภาษาซากุระที่อยู่ในละคร พูดด้วยน้ำเสียงที่ภาคภูมิใจว่า “ครั้งนี้พี่หวางปล่อยแกแล้ว แต่ครั้งหน้า แกอาจจะไม่โชคดีอย่างนี้ พี่หวางได้พูดไว้แล้วว่า หากแกยังอยู่ในโรงเรียนนี้อยู่ เห็นแกเมื่อไหร่ก็จะต่อยแกเมื่อนั้น!”
และแล้วก็เหลือแค่พวกเราสามคนที่ทรุดอยู่กับพื้น
“พวกนายไม่เป็ไรใช่ไหม” ฉันฝืนยืนขึ้นพลางพูด
“ไม่เป็ไรยังตายไม่ได้ ลูกพี่นายไม่เป็ไรใช่ไหม” หยางย่าซินยืนขึ้นพลางพูด เขาเจ็บหนักที่สุด ใบหน้าถูกตีเต็มไปด้วยเื ดูท่าทางสยดสยอง หากไม่ใช่เขาที่ปกป้องฉันสุดชีวิต เกรงว่าฉันคงต้องาเ็สาหัส
“ขอบใจนายนะ” ฉันพูดกับหยางย่าซินด้วยน้ำตา
“ไม่เป็ไร ชีวิตฉันนายเป็คนช่วยไว้ เื่แค่นี้ไม่คณามือหรอก” หยางย่าซินส่ายหน้าพลางพูดอย่างไม่ใส่ใจ หลังจากนั้นเขาก็ดึงมือหลี่โม่ฟ๋าน “ไป พวกเราไปห้องพยาบาลกัน”
“พวกนายไปก่อนเถอะ ฉันรอสักครู่ค่อยไป” ฉันพูดอย่างสงบนิ่ง ฉันรู้ว่าเมื่อล่วงเกินหวางอู่แล้ว ในชั้นเรียนนี้ฉันคงอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว แต่ทว่าฉันยังคงสละเย่รั่วเซวี่ยไปไม่ได้ และอยากที่จะกลับไปดูสักหน่อย
ยังไงเย่รั่วเซวี่ยก็เป็รักแรกของฉัน และฉันยังสละชีวิตตั้ง 2 ครั้งเพื่อช่วยเธอ
หยางย่าซินพยักหน้าแต่ไม่พูดอะไร แล้วก้าวเดินไปอย่างยากลำบาก ทั้งยังได้พาหลี่โม่ฟ๋านไปด้วย และฉันกำลังเตรียมที่จะกลับไปที่ชั้นเรียนเพื่อพบกับเย่รั่วเซวี่ยอีกสักครั้ง
ตอนที่ฉันเดินกลับมาที่ชั้นเรียน นักเรียนหญิงในห้องเรียนกำลังถกปัญหากัน
“เย่รั่วเซวี่ย แฟนเธอถูกหวางอู่พาไปแล้ว เธอไม่เป็ห่วงเหรอ?”
“จริงๆ ฉันไม่ได้เป็อะไรกับเขาทั้งนั้น เขาไม่ใช่แฟนฉัน”
“ไม่ใช่มั่ง งั้นพวกเธอทำไมถึงใกล้ชิดขนาดนี้ล่ะ?”
“อย่างไรก็ตามฉันก็รู้สึกขอบใจเขามาก แต่ทว่าพวกเราไม่ได้เป็แฟนกัน”
“ฮ่าๆ ใช่ กระต่ายหมายจันทร์” ทันใดนั้นในชั้นเรียนก็มีเสียงหัวเราะคิกคักของนักเรียนหญิงดังขึ้น และรอยยิ้มของฉันก็ได้แข็งกระด้าง ฉันคิดไม่ถึงว่าจะเป็เช่นนี้
คิดไม่ถึงว่าเย่รั่วเซวี่ยจะพูดว่าเธอไม่ได้เป็อะไรกับฉันทั้งนั้น? หรือเธอไม่คิดที่จะคบกับฉันั้แ่แรกแล้วน่ะ? คิดไปคิดมามันก็ใช่จริงน่ะ ในชั้นเรียนเย่รั่วเซวี่ยได้รับการต้อนรับขนาดนั้น
ทำไมตอนแรก ถึงได้มาหาฉันล่ะ? หรือว่าเธอ้าจะใช้ประโยชน์จากฉันั้แ่แรกแล้ว? ตอนนี้เกมก็สิ้นสุดลงแล้ว ฉันก็หมดประโยชน์แล้วเหรอ?
นึกถึงจุดนี้แล้ว น้ำตาฉันก็ไหลไม่หยุด และก้าวต่อไปไม่ไหว ฉันรู้ว่า ชั้นเรียนนี้ไม่มีที่ยืนสำหรับฉันแล้ว บางที่ฉันควรที่จะจากไปจริงๆ แล้วสิ