ตอนที่ฝึกฝนบทเรียนด้วยตัวเองของ่เย็น ฉันได้โดดเรียน ยังมีหลี่โม่ฟ๋านและหยางย่าซินที่โดดเรียนกับฉัน แม้แต่แฟนของเขาอย่างโก่วหงหยุนก็มาด้วยกัน ตอนเย็น พวกเรากินปิ้งย่างกันอยู่ที่ร้านปิ้งย่างร้านหนึ่ง
“ลูกพี่อย่าโกรธเลย ผู้หญิงอย่างนั้นไม่มีค่าพอหรอก” หลี่โม่ฟ๋านพูด และก็ส่งปลาหมึกให้ฉันไม้หนึ่ง ฉันพยักหน้า แล้วกินด้วยสีหน้าที่เฉยเมย
“ใช่ ด้วยคุณสมบัติอย่างลูกพี่น่ะ จะหายังไงก็ได้อยู่แล้ว” หยางย่าซินก็พูดเช่นเดียวกัน ฉันส่ายหน้า แล้วดื่มเบียร์ไปอึกหนึ่ง จริงๆ แล้วฉันดื่มเหล้าไม่เป็
ฉันดื่มไปแค่อึกเดียว ก็แสบจมูกมาก แต่ทว่าในเมื่อเป็เช่นนี้แล้ว ฉันยังคงดื่มอย่างหนักขึ้น หวังว่าจะทำให้ฉันหลุดพ้นจากความทุกข์ได้
วันนี้ฉันแทบจะสูญเสียทุกอย่าง หากไม่มีสหายสองสามคนนี้อยู่เป็เพื่อน ฉันก็คงไม่รู้ว่าตนเองจะรับไหวไหม กินปิ้งย่างพร้อมซดเหล้า จิตใจฉันก็ยิ่งสับสนเลือนรางขึ้น
“อย่าดื่มมากขนาดนี้เลย ลูกพี่ กินให้เยอะหน่อยจะดีกว่า”
“ตอนนี้ฉันยังจะมีคุณสมบัติอะไรเป็ลูกพี่พวกนายได้ล่ะ” ฉันพูดอย่างขมขื่น
“อย่าทำแบบนี้สิ ในใจฉันน่ะยังมีนายเป็ลูกพี่ตลอดไป” หยางย่าซินรีบพูด ฉันก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง และก็ดื่มเบียร์ต่อ พร้อมทั้งกินปิ้งย่างที่มีรสเผ็ดฉุน
หลี่โม่ฟ๋านเงียบกริบอย่างน่าประหลาด ฉันรู้ว่าเขาเป็กังวลอยู่ เพราะว่าตอนนี้ พวกเราไม่มีที่ยืนในชั้นเรียนแล้ว และตอนนี้หวางอู่ก็สามารถจัดการพวกเราได้ตลอดเวลา
ฉันกินปิ้งย่างอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งดื่มเบียร์ และสีหน้าฉันก็ยิ่งเมินเฉยขึ้น จริงๆ แล้วฉันควรจะเดาได้ั้แ่แรกแล้วว่า ที่เย่รั่วเซวี่ยเข้ามายุ่งกับฉันแน่นอนว่าต้องมีเป้าหมาย แต่ทว่าตอนนั้นฉันกลับไม่สังเกต หรือว่าสังเกตแล้ว แต่แกล้งทำเป็ไม่รู้
สถานการณ์ของฉันตอนนี้ จริงๆ แล้วเป็ฉันที่ก่อขึ้นเอง จะโทษใครก็ไม่ได้ เพราะฉันมันไร้เดียงสาเกินไป
ฉันดื่มเบียร์อย่างต่อเนื่อง ในหัวก็ยิ่งเคลิบเคลิ้มขึ้น ไม่ว่าหยางย่าซินจะเตือนยังไงก็ไม่มีประโยชน์ ดังนั้นเขาจึงกัดฟันพูดว่า “ในเมื่อเป็เช่นนี้ งั้นฉันก็จะดื่มเป็เพื่อน ไม่เมาไม่เลิก” เมื่อพูดจบก็ดื่มเบียร์ไปอึกหนึ่ง
หลี่โม่ฟ๋านก็พยักหน้า และก็เริ่มซดเบียร์อย่างดุเดือด โก่วหงหยุนมองพวกเราด้วยความรู้สึกเลี่ยงไม่ได้ เธอไม่ดื่มแม้แต่น้อย ทำได้แค่นั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ข้างๆ
ตอนที่พวกเรากำลังดื่มกันอย่างมึนเมา ทันใดนั้นโก่วหงหยุนก็ปริปากพูดด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปมากว่า “พวกนายดูสิ! เหมือนกับว่าพวกเรายังอยู่ในกลุ่มอยู่น่ะ!”
ฉันกำลังดื่มอย่างสุดชีวิต ทันใดนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไป และแย่งโทรศัพท์มือถือมาจากมือของโก่วหงหยุนอย่างบุ่มบ่าม ดวงตาคู่นั้นของฉันจ้องมองโทรศัพท์มือถืออย่างไม่ห่าง ใบหน้าของฉันเผยความสับสน ทั้งยังดีใจเป็บ้า
ไม่ผิด พวกเราทุกคนล้วนกลับมาอยู่ในกลุ่มอีกครั้ง ทุกคนได้ปรากฏใหม่อีกครั้งในกลุ่ม เหมือนกับว่าทุกอย่างไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด นี่เป็ฝันร้าย ไม่มีทางที่จะหลุดพ้นจากฝันร้ายได้
แต่ไม่รู้ว่าทำไม ฉันกำลังหัวเราะอยู่ โดยเฉพาะหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง แม้แต่ฉันก็พูดไม่ได้ว่าฉันกำลังทำอะไรอยู่กันแน่
“มีความหมายจริงๆ มันยิ่งมีความหมายจริงๆ ” ฉันถือโทรศัพท์มือถือทั้งยิ้มทั้งพูดไปด้วย และเวลานี้ในกลุ่มได้เกิดความวุ่นวายอย่างหนัก
“นี่มันยังไงกัน? ทำไมพวกเราถึงเข้ามาอีกล่ะ?”
“ใช่ ทำไม? ก็ไม่ใช่ว่าจบสิ้นแล้วเหรอ?”
“เชี่ย ทำไมถึงเป็เช่นนี้ได้? เป็ใครกันแน่ที่ลากพวกเราเข้ามา?”
“นี่มันจะจบหรือไม่จบน่ะ ฉันรับไม่ไหวแล้ว ฉัน้าออกจากกลุ่ม!”
ในกลุ่มได้เกิดความวุ่นวายกันยกใหญ่ และหลี่โม่ฟ๋านกับหยางย่าซินก็สร่างเมากันขึ้นมาทันที และใช้สายตาเพ่งมองกลุ่มที่อยู่เบื้องหน้า กลุ่มที่เดิมทีได้หายไปแล้วนั้น ได้กลับมาปรากฎอีกครั้ง
“ทำไมถึงเป็เช่นนี้? ไม่ใช่ว่าสิ้นสุดลงแล้วเหรอ?”หลี่โม่ฟ๋านพูดพึมพำ
“ใช่ น่าจะสิ้นสุดลงแล้ว” หยางย่าซินก็พูด
“ดูท่าพวกเราไม่จำเป็ต้องไปแล้ว เพราะว่าพวกเราหนีไม่พ้นแล้ว” หยางย่าซินพูด หลังจากนั้นก็นำโทรศัพท์มือถือโยนให้โก่วหงหยุน เดิมทีสีหน้าที่หมดหวังของฉันก็ค่อยๆ หายไป แต่กลับถูกแทนที่ด้วยความมั่นใจ
“มา ทุกคนมากินกันต่อ วันนี้ฉันดีใจจัง” ฉันพูดอย่างยิ้มแย้ม หลังจากนั้นกัดปลาหมึกคำหนึ่งอย่างดุดัน พวกหลี่โม่ฟ๋านล้วนมองฉันด้วยความประหลาดใจ อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ลุกพี่ ยังไงพวกเราก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ยังจะมีอะไรต้องดีใจอีก”
“ไม่มีอะไร” ฉันพูดอย่างยิ้มแย้ม หลังจากนั้นก็กินปลาหมึก พร้อมกับดื่มเบียร์อย่างหนำใจ
หลังจากพูดจบ ฉันให้หยางย่าซินไปคิดเงิน หลังจากนั้นก็หันหลังกลับบ้านไป หยางย่าซินก็ไม่มีใจที่จะไปส่งฉันแล้ว ยังไงตอนนี้กลุ่มของชั้นเรียนก็ปรากฏขึ้นอีกแล้ว
ในกลุ่มยังคงมีคนวุ่นวายกันอยู่ และเหมือนกับว่าเย่รั่วเซวี่ยได้ส่งข้อความให้ฉัน 1 ข้อความ แต่ทว่าแค่จะมองสักหน่อยฉันก็ไม่มองแล้วก็ปิดไปเลย ระหว่างเดินกลับบ้าน ฉันเริ่มครุ่นคิดขึ้นมา
่เวลานี้ เหมือนกับว่าฉันมีอารมณ์ฉุนเฉียวเกินไป ถึงทำให้เกิดข้อผิดพลาดมากมายขนาดนี้ และทำให้ฉันตกอยู่ในสถานการณ์แห่งความตายอยู่หลายครั้ง โดยเฉพาะฉันควรจะสังเกตเห็นั้แ่แรกว่า ท่าทางที่เย่รั่วเซวี่ยมีต่อฉันนั้นได้เปลี่ยนไปแล้ว
ผีร้ายที่อยู่ตรงทางเดินครั้งก่อน ก็ทำให้ฉันเกือบตายไปแล้ว แต่ทว่าหลังจากที่ฉันฟื้นขึ้น คนแรกที่ฉันเห็นกลับเป็หลี่โม่ฟ๋าน หากพูดตามเหตุผลแล้ว ฉันได้รับาเ็เพื่อเธอ เธอควรจะเฝ้าไข้ฉันถึงจะถูก แต่เื่ราวกลับตรงกันข้าม จริงๆ แล้วตอนนั้นฉันได้สังเกตเห็นแล้ว แต่กลับใช้หลี่โม่ฟ๋านเป็ข้ออ้างเพื่อให้ตนเองสบายใจ
เพราะความรัก ทำให้ฉันปิดหูปิดตาตัวเอง จึงไม่สังเกตเห็นเื่ราวที่เกิดอยู่เบื้องหน้า หากฉันยังเป็เช่นนี้ต่อไปอีก เช่นนั้นไม่เพียงแค่ฉันต้องตาย แม้แต่สหายของฉันก็คงจะต้องตายไปด้วย
ดังนั้นฉันจะต้องเปลี่ยนแปลงแล้ว ฉันพูดกับตัวเองเช่นนี้
กลับมาถึงบ้าน ฉันปิดประตู แล้วขดตัวอยู่บนเตียง สายตามองไปที่รูปที่อยู่ที่ผนังอย่างสงบนิ่ง ฉันกอดขาตัวเองไว้ แล้วค่อยๆ หลับตาลง แต่ในหัวกลับยังครุ่นคิดอยู่
การหักหลังของเย่รั่วเซวี่ย และการหักหลังของเพื่อนๆ ทั้งห้องทำให้ฉันเข้าใจว่า ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่พึ่งได้ และที่จะพึ่งพาได้เพียงหนึ่งเดียวก็คือตัวเอง แต่ฉันในตอนนี้กลับไร้เดียงสา และอ่อนแอเช่นนี้
ฉันหยิบเข็มทิศไท่กงออกมา เวลานี้ก็มีเพียงแค่สิ่งนี้เท่านั้นที่จะช่วยฉันได้ ฉันกัดนิ้วมือเบาๆ เข็มทิศไท่กงเริ่มมีแสงสีเืสว่างขึ้นมา และตัวอักษรโบราณสีเืก็เริ่มลอยขึ้นมาอย่างช้าๆ
“เป็ไปตามชะตาฟ้าลิขิต หรือพลิกชะตาฟ้าลิขิต”
“เดิมทีเป็เช่นนี้ ฉันเข้าใจแล้ว” ฉันมองดูอักษรประโยคนี้พลางพูด หลังจากนั้นหลับตา แล้วเข้าสู่การครุ่นคิดต่อ
ค่ำนี้ ฉันนอนไม่หลับตลอดทั้งคืน
ค่ำนี้ ในหัวฉันได้คิดถึงคำพูดต่างๆ วนไปมา มีของหวางอู่ ของจ้าวเฉินเห้อ และก็มีของเย่รั่วเซวี่ยเหมือนกัน ความสับสนที่อยู่ในหัว บีบให้ฉันเกือบจะเป็บ้า
“จริงๆ แล้วฉันไม่ได้เป็อะไรกับเขาทั้งนั้น เขาไม่ใช่แฟนของฉัน”
“จางเว่ย นายได้ล่วงเกินฉันแล้ว ทั้งชั้นเรียนไม่มีที่สำหรับนายแล้ว”
“พี่หวางได้พูดไว้แล้วว่า หากแกยังอยู่ในโรงเรียนนี้อยู่ เห็นแกเมื่อไหร่ก็จะต่อยแกเมื่อนั้น!”
“กระต่ายหมายจันทร์! ฮ่าฮ่าฮ่า!”
ตลอดทั้งคืน เสียงเหล่านี้ล้วนสะท้อนติดอยู่ในหัว ฉันเหมือนกับอยู่ในนรก พยายามดิ้นรนอย่างต่อเนื่อง แต่กลับไม่มีประโยชน์เลย
“พอแล้ว! พวกนายพอแล้ว! ” ฉันกุมหัวไว้ และร้องด้วยความเวทนาอย่างไม่หยุด ความเ็ป ความสิ้นหวัง ตัวการที่น่ากลัวที่สุดนี้ล้วนวนเวียนอยู่ในใจฉัน ทำให้ฉันเหมือนกับสัตว์ป่าที่ได้รับาเ็
ท้องฟ้าค่อยๆ สว่างขึ้น แต่กลับลบล้างความมืดมิดในใจฉันไม่ได้
“ฟ้าสว่างแล้วเหรอ?” ฉันมองไปด้านนอกหน้าต่างพลางบ่นพึมพำ ความทรมานในคืนนี้ กลับไม่ได้ทำให้ฉันมีจิตใจหงอยเหงาเศร้าซึม ฉันเวลานี้ เข้าใจอะไรชัดเจนกว่า่เวลาไหนๆ อีก คืนนี้ ในชีวิตฉัน ก็ยาวนานกว่า่เวลาไหนๆ และจิตใจที่ได้ผ่านค่ำคืนที่ยาวนานนี้ ได้แข็งแกร่งและทรหดกว่า่เวลาไหนๆ ซึ่งล้วนน่ากลัว
ฉันยืนขึ้นอย่างช้าๆ แล้วขยับแขนที่ชาอยู่สักครู่ หลังจากนั้นเดินออกจากห้องนอนไป แต่ไม่ได้ทานอาหารเช้า ฉันเริ่มหาในตู้
“ลูกหาอะไรอยู่!” พ่อนอนอยู่บนเตียงพลางถาม เขากำลังนอนหลับสนิท เมื่อวานตอนเย็นเขาทำงานล่วงเวลา ด้วยเหตุนี้จึงนอนั้แ่เช้า
“ตอน่ปีใหม่ เสื้อที่พ่อซื้อให้ฉันอยู่ที่ไหนน่ะ?”
“อ่อ อยู่ในตู้น่ะ” พ่อพูด
“อ่อ” ฉันพยักหน้า หลังจากนั้นก็หาในตู้ไปมา ไม่นานฉันก็พบเสื้อแล้ว นี่เป็เสื้อนอกกันลมสีแดงตัวหนึ่ง และก็เป็เสื้อที่พ่อฉันซื้อให้ตอน่ปีใหม่
เป็เสื้อที่ฉันชอบที่สุด ราคาก็แพงมากเหมือนกัน ซึ่งทำให้ตลอดปีใส่แค่ไม่กี่ครั้งเอง ปกติเสื้อที่ฉันใส่ล้วนเป็เสื้อเก่าๆ
“ไม่เลวเลย” ฉันมองเสื้อนอกกันลมที่อยู่เบื้องหน้าพลางพูด หลังจากนั้นก็ถอดเสื้อ แล้วเปลี่ยนใส่เสื้อกันลมสีแดงตัวนี้
“พ่อ ผมไปก่อนล่ะ” ฉันพูดกับพ่อ
“ลูกไม่กินข้าวแล้วเหรอ?” พ่ออยู่ด้านหลังถามฉัน แต่ฉันกลับไม่ตอบ และปิดประตูลงอย่างเบาๆ แล้วแววตาก็ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เดินอยู่บนทางที่จะไปโรงเรียน ลมหนาวยามเช้าตรู่พัดเสือนอกกันลมเบาๆ ทำให้มีเสียงดังออกมา แต่ทว่าฉันกลับรู้สึกดีอกดีใจอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ขอบใจพวกที่เคยรังแกฉันเ่าั้ และคนที่เคยหักหลังฉัน ซึ่งพวกเขาทำให้ฉันหาเหตุผลที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้แข็งแกร่งได้ และต้องมีสักวัน ฉันจะให้พวกเขาชดใช้อย่างสาสม เพราะว่าพวกเขาได้ทำให้ฉันเกิดใหม่จากความเ็ป!