“เ้าได้เรียนรู้สิ่งใดบ้างจากเหตุการณ์เมื่อครู่”
“แผนร้าย หลอกลวง โง่เขลา”
“รนหาที่ตาย”เสียงของบุคคลที่สามที่เงียบฟังมาตลอดเอ่ยขึ้นอย่าง้ามีส่วนร่วม ทำให้เด็กชายและหญิงสาวต่างหันไปมองชายชราเป็ตาเดียว มิใช่ว่าท่านจะรับฟังอย่างเดียวหรอกหรือ
ชายผมสีเงินยวงไปทั้งศีรษะเดินหลังค่อมเล็กน้อยบ่งบอกว่าเขาเป็ผู้สูงอายุมากแล้ว ตัวเขากระแอมเพื่อให้ลำคอโล่งสองมือซุกอยู่ในแขนเสื้อก้าวเดินช้าๆ เว่ยเจิงฟังมาจนถึงบัดนี้จะห้ามใจตนเองไม่ให้มีส่วนร่วมคงจะไม่ได้
“นี่เ้าหนูไม่คำนับใต้เท้าเว่ยเป็อาจารย์เสียเลยล่ะ หากกล่าวถึงประสบการณ์ในราชสำนักคงไม่มีผู้ใดทัดเทียมท่านเว่ยเจิงผู้นี้ เร็วอย่าให้เสียเวลา”
เว่ยเจิงที่กำลังพยักหน้าเห็นด้วยกับคำชมเชยของเด็กรุ่นเหลนอยู่นั้นก็ต้องใจนสะดุ้งโหยง แก่ชราจนปูนนี้แล้วแม้แต่บุตรหลานเขายังไม่คิดที่จะสั่งสอน นับประสาอะไรกับหลานตาของฮ่องเต้ที่เป็ถึงฮ่องเต้แคว้นเหลียวผู้นี้ ไม่ใช่อะไรหรอกเขาไม่ชอบเด็กเล็กๆ เช่นนี้เป็ที่สุด!
“ท่านอาจารย์ทวด”หลี่ซื่อหมินกล่าวออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ เป็การปิดตายคำปฏิเสธที่กำลังจะออกจากปากของชายชรา โถ่...์
“ลุกขึ้นๆ ไปกันได้หรือยัง ตีเหล็กต้องตีตอนร้อนๆ ศิษย์น้อยตามมาอย่าให้ห่าง แล้วเ้าจะกระจ่างถึงคำว่า ‘รนหาที่ตาย’ ”คิดซะว่ามีลูกหมาตัวน้อยๆ เดินตามหลังต้อยๆ เชื่อฟังคำสั่งเช่นนี้ก็ดี ชายชราลูบเคราสีเงินพลางโคลงศีรษะไปมา
“ศิษย์ทราบแล้วขอรับ”
หนึ่งชายชรา หนึ่งเด็กน้อย เดินตามกันไป
ทางด้านซ่างกวนจือหลินก็รู้สึกดีในรอบหลายวันที่ผ่านมา จัดการเ้าตัวปัญหาน้อยๆ ไปหนึ่ง!
ไม่นานบุคคลทั้งสามก็เดินมาถึงท้องพระโรง เมื่อเข้าประจำที่ของตนเรียบร้อยแล้วฝ่าาก็เสด็จมาถึง ทุกคนคุกเข่าทำความเคารพก่อนจะเริ่มว่าราชการต่อ
ก่อนที่ผู้ได้จะได้กล่าวสิ่งใดนั้นใต้เท้าเว่ยก็ก้าวออกมาพร้อมกับฎีกาในมือ
“ฝ่า-บาท!!!”เสียงของชายชราดังก้องกังวานเล่นเอาหลายคนใจนสะดุ้ง
“ขุนนางเว่ยมีสิ่งใดจะรายงานเช่นนั้นหรือ”การเป็ฮ่องเต้นี่ไม่ง่ายจริงๆ ดูเถิดแต่ละวันต้องได้รับความใไม่รู้กี่หน เขาอยากจบเื่นี้ให้เสร็จสิ้นสักที ส่วนเ้าลูกโง่ที่กำลังคุกเข่าั้แ่เข้ามา หลี่เจิน ไม่แม้แต่จะให้ความสนใจ
“วังหลังมิอาจยุ่งเื่ราชกิจบ้านเมืองหลักการนี้มีมาช้านาน สตรีสกุลเจียงดำรงตำแหน่งกุ้ยเฟย กลับไม่ทำตนให้เป็แบบอย่าง ขอฝ่าาทรงลงโทษเจียงกุ้ยเฟยในสถานหนัก”เว่ยเจิงคุกเข่าลงกล่าวด้วยท่าทีจริงจังเห็นได้ชัดว่าหากฮ่องเต้ตัดสินอย่างไม่เป็ธรรมเขาก็กล้าที่จะทำทุกสิ่ง
“ใต้เท้าเว่ยช่างกล่าววาจาได้รุนแรงยิ่งนัก เป็ที่แน่ชัดว่าพระสนมทรงเสียพระทัยกับสิ่งที่ตระกูลเจียงกระทำลงไปจนถึงขั้นทำให้พระนาง้าใช้ชีวิตของตนเองเพื่อชดใช้ความผิดแทนคนสกุลเจียง
ทุกท่านในที่นี้ต่างก็ทราบดีเจียงกุ้ยเฟยมีเมตตา เปี่ยมไปด้วยคุณธรรม ปฏิบัติตนตามกฎของวังหลังด้วยดีเสมอมา ครั้งนี้เพียงเพราะความร้อนใจจนกระทำการโดยเลอะเลือน พระนางลอบสืบข่าวในท้องพระโรงมีความผิดจริง ทว่าก็ไม่สมควรลงโทษอย่างรุนแรง อย่างไรเสียกุ้ยเฟยก็เป็สมาชิกราชวงศ์พระองค์หนึ่ง”เสนาบดีลู่จิ่งหยวนก้าวออกมากล่าวทัดทานคำร้องของผู้ตรวจการเว่ยด้วยหลักการและเหตุผลจนทำให้ขุนนางน้อยใหญ่ต่างเริ่มคล้อยตาม
หึ...หึ...หึๆ
เสียงหัวเราะอย่างขบขันดังขึ้น คล้ายกับว่าคนที่เปล่งเสียงหัวเราะออกมานั้นจะกลั้นมันเอาไว้อย่างสุดความสามารถแล้ว ไหล่บอบบางของอิสตรีสั่นไหวเล็กน้อยในขณะที่เ้าตัวก้มหน้ามองพื้นจึงไม่มีผู้ใดเห็นสีหน้าของนางอย่างชัดเจน จะได้ยินก็แต่เสียงหัวเราะเท่านั้น กว่าที่เ้าตัวจะหยุดได้ก็ต้องใช้เวลาเป็ครู่หนึ่ง
“ลู่จิ่งหยวนเอ๋ย...ลู่จิ่งหยวนข้าเข้าใจถึงความพยามยามของเ้าเป็อย่างดี แต่ว่ายิ่งเ้าดิ้นรนมากเท่าไหร่ข้าก็ยิ่งขายหน้าแทนเ้าเท่านั้น”
“ท่านอ๋อง้าที่จะกล่าวสิ่งใดหรือ”แม้จะจะถูกล่าววาจายั่วยุทว่าบุคคลเช่นเสนาบดีลู่ก็มิได้นำมาใส่ใจยังแสดงออกถึงท่าทีของขุนนางาุโเช่นเดิม
“ลอบสืบข่าวบ้านเมือง กระทำครั้งแรกยังพอให้อภัยได้ ทว่าวันนี้ในราชสำนักกำลังถกกันเื่หมูหมาเป็ดไก่เช่นนั้นหรือ?”
“...”
“อา--ต้องไม่ใช่อยู่แล้ว ในราชสำนักวันนี้ เพลานี้ กำลังถกกันถึงเื่ฏขายชาติ ขุนนางสารเลวที่ข่มเหงกดขี่ชีวิตของประชาชนมาเป็เวลาหลายปี แล้วท่านคิดว่าชีวิตของสตรีนางหนึ่งมีค่าอันใดให้กล่าวถึง หรือว่าเป็เพราะนางคือ กุ้ยเฟย? หรือว่าเป็เพราะนางคือมารดาของฉินอ๋อง ฮ่องเต้ทำความผิดยังต้องรับโทษเฉกเช่นสามัญชน
แล้วสตรีสกุลเจียงที่เป็เพียงสนมต่ำศักดิ์ มีค่าอันใดมาเรียกร้องความสนใจ? หากนางคิดที่จะตายจริงๆ ข้าก็พอจะเห็นใจอยู่บ้าง...แต่นี่บุคคลที่ดำรงตำแหน่งกุ้ยเฟยกลับกล้าใช้แผนการตบตา นางคิดว่าคนทั่วทั้งต้าซ่งแห่งนี้เป็คนไร้สมองเช่นนั้นหรือ!! มีอย่างที่ไหนบ่าวไพร่เต็มตำหนัก นางปิดประตูจะผูกคอตายแต่กลับไม่ลั่นดาล นางบอกว่านางแขวนคอปลิดชีพแต่บนลำคอกลับไร้ซึ่งรอยเชือก ไม่มีร่องรอยการดิ้นทุรนทุราย นางเพียงแค่ขึ้นไปแขวนคอแน่นิ่งไปแล้วสลบไสลไม่ยอมพื้นจนต้องมาตามฝ่าาที่กำลังตัดสินโทษฏร้ายแรงอยู่ให้ปลีกตัวออกไป
กิจสำคัญที่ส่งผลต่อความมั่นคงของบ้านเมืองต้องหยุดชะงัก นี่ไม่นับว่าร้ายแรง?
ที่ข้าและทหารต้องหลั่งเืเนื้อปกป้องผืนแผ่นดินต้าซ่งเอาไว้กลับไม่สำคัญเท่าชีวิตของสตรีไร้ค่าผู้หนึ่ง ข้าขอถามเ้า ลู่จิ่วหยวนเ้ายังมีคุณสมบัติที่จะเป็ขุนนางอยู่อีกหรือ”
“ฝ่าาพระองค์ต้องทรงให้ความเป็ธรรมแก่กระหม่อม ฟ้าดินเป็พยานว่าจิตใจของกระหม่อมจงรักภักดีต่อต้าซ่งเพียงใด”ลู่จิ่งหยวนที่โดนไล่ต้อนจนหาข้อทัดทานไม่ได้ก็จำต้องคุกเข่าขอความเมตตาจากฮ่องเต้
“ออกไป!ให้พ้นหน้าเรา ไปคุกเข่าหน้าท้องพระโรงสามวัน หักเบี้ยหวัดหนึ่งปี”ฮ่องเต้โปกพระหัตถ์ไล่ด้วยความเหลืออด ในใจก็คิดทบทวน หลานสาวภรรยาผู้นี้ไม่ธรรมดา ไม่ธรรมดาจริงๆ
“กระหม่อมขอพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณ”ลู่จิ่วหยวนโขกศีรษะสามครั้งอย่างแรงแล้วถอยออกไปอย่างเร่งรีบ
“รัชทายาทเ้ามีความคิดเห็นเช่นไรเื่ฏ”ฮ่องเต้หันไปถามความคิดเห็นจากบุตรชายคนโตที่ยืนนิ่งฟังมาั้แ่ต้น
“ทูลฝ่าา จากหลักฐานที่ซางหยางอ๋องนำมานั้นถูกต้องรัดกุม สมควรลงโทษตามกฎหมายเพื่อเป็เยี่ยงอย่างพะยะค่ะ”หลี่หยวนเฉิงกราบทูลตามความเป็จริงไม่รักษาน้ำใจผู้ใดแม้แต่น้อย
“อืม...แล้วขุนนางทุกท่านมีผู้ใดจะคัดค้านหรือไม่”
“ฝ่าาทรงพระปรีชา ได้โปรดลงโทษผู้กระทำความผิด”
ได้โปรดลงโทษผู้กระทำความผิด...
ทุกคนต่างคุกเข่าแสดงความเห็นชอบ เว้นก็แต่ซ่างกวนจือหลินเท่านั้นที่กำลังยืนหลับตาสงบนิ่งอยู่
“เก้าชั่วโคตร”
“ซางหยางอ๋อง้าจะเสนอความคิดเื่บทลงโทษเช่นนั้นหรือ”ฮ่องเต้ทรงเอ่ยถามอ๋องคนใหม่ของเขาเพื่อความแน่ใจ
“ปะาเก้า...เก้าชั่วโคตร”
ประ-หาร-เก้า-เก้า-ชั่ว-โคตร
“!!!”
การปะาชีวิตแบบเก้าเก้าชั่วโคตร เป็การลงทัณฑ์ขั้นสูงสุดมีบัญญัติมาั้แ่ก่อตั้งแคว้น ทว่าจำนวนครั้งที่นำออกมาพิพากษานั้นน้อยจนนับจำนวนครั้งได้ ขุนนางทั้งหลายรวมถึงเชื้อพระวงศ์แม้กระทั่งรัชทายาทต่างคุกเข่าลงเมื่อได้ยินว่ามีผู้้านำบทลงทัณฑ์สูงสุดนี้ออกมาใช้กับสกุลเจียง
“ซ่างกวนจือหลินอย่าให้มันมากเกินไปนัก! เ้า้าจะปะาบุตรชายและสนมของเราไปด้วยหรือ”ฮ่องเต้ชี้หน้าเด็กสาวด้วยมืออันสั่นเทา เขาโกธรจนไม่รู้จะทำเช่นไรแล้ว สามหาวนัก!!!
“ฝ่าาอย่าได้ทรงกังวลไปหม่อมฉันย่อมไม่ใช่คนโหดร้ายเช่นนั้น แน่นอนว่า ฉินอ๋องและกุ้ยเฟยที่ไม่รู้เื่ราวใดๆ ย่อมต้องได้รับการละเว้น
ทว่าคนสกุลเจียงนั้นไม่เหมือนกัน หากปล่อยพวกมันให้เหลือรอดเพียงหนึ่งก็อาจจะมีความคิดล้างแค้นหรือกลับมากระทำผิดซ้ำสอง คนเราหากว่ายังมีลมหายใจต่อให้ถูกขังอยู่ในหลุมลึกยังยังสามารถปีนป่ายขึ้นมาได้ เช่นนั้นแล้วต้องกำจัดเนื้อร้ายชิ้นนี้ไห้สิ้นซาก ตระกูลสายหลัก ตระกูลสายรอง คนที่แต่งออกไป ไม่ว่าจะบุรุษ สตรี คนแก่ เด็ก บุตรบุญธรรมหรือผู้ที่สกุลเจียงเคยให้การช่วยเหลือ ต้องสังหารให้สิ้น สุสานสกุลเจียงนับขึ้นไปเก้ารุ่นจะต้องขุดขึ้นมา แล้วทำการปะาที่หน้าประตูเสวียนอู่!!!”
“...!”ตอนนี้ฮ่องเต้หลี่เจินรู้สึกว่าตัวเขากำลังจะมีโทสะจนตาย ได้แต่หลับตาลงด้วยความปลดปลง แล้วจะทำเช่นใดได้เล่าฮ่องเต้อย่างเขาก็คงต้องทำตามเพียงเท่านั้น เห็นทีว่าเขาต้องถูกตราหน้าว่าเป็หนึ่งในผู้ที่โหดร้ายเืเย็นในประวัติศาสตร์
“ฝ่าาอย่าได้ทรงกังวลราษฎรจะต้องซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดไม่ได้ ในครั้งนี้ที่ฝ่าาทรงมอบความเป็ธรรมให้แก่ไพร่ฟ้าโดยมิได้สนใจเื่ส่วนพระองศ์”เป็อิงกั๋วกงผู้เฒ่าที่ก้าวออกมาพูดปลอบใจฮ่องเต้ของเขา
และเื่ราวก็ได้บทสรุปเป็ที่ชัดเจน
ตระกูลเจียง แน่นนอนว่าต้องถูกกวาดล้าง
เจียงกุ้ยเฟย ถูกลดขั้นเป็เจียงเจี๋ยอวี๋(ฝ่ายในขั้นสี่)
แน่นอนว่าฉินอ๋องเป็ผู้เดียวที่รอดพ้นจากเื่ทั้งหมด แต่ในเื่ความเชื่อใจที่ฝ่าามีให้เขานั้นคาดว่าน่าจะลดน้อยลงไปหลายส่วน ถึงอย่างไรฉินอ๋องก็เป็โอรสของฝ่าา หากไร้ซึ่งหลักฐานมัดตัวอย่างแน่ชัดก็ไม่อาจกล่าวโทษได้
ส่วนพระสนมเจียงเจี๋ยอวี๋ผู้นั้นถูกลดขั้นจากฝ่ายในขั้นหนึ่งชั้นโท มาเป็ชั้นสี่ชั้นตรีเพียงเท่านี้ก็ถือว่าฝ่าาทรงเห็นแก่ไมตรีที่มีให้กันมาตลอดหลายสิบปีแล้ว กับสตรีที่โง่เง่าเช่นนี้ขุนนางที่ฉลาดหลักแหลมย่อมไม่นำมาใส่ใจ
ราชโองการถูกประกาศออกไปทั่วแคว้นอย่างรวดเร็ว
บทลงโทษที่ดุดันเด็ดขาดแสดงให้เห็นว่าฮ่องเต้หลี่เจินไม่ได้อ่อนปวกเปียกดังเช่นทุกคนคิด
ส่วนคนสกุลเจียงอยากจะหลบหนีก็หนีไม่รอด
คนที่ต้องปลดก็โดนปลด
คนที่ต้องปะาก็โดนส่งเข้าคุกหลวงรอวันพิพากษา
กองทัพิญญาพยัคฆ์เคลื่อนพลออกไปตั้งค่ายทางทิศบูรพาห่างจากตัวเมืองหลวงสามสิบลี้ พวกเขาทำว่าจะปักหลักอยู่ที่นั่นไม่ไปไหนจนกว่าจะมีคำสั่งจากท่านอ๋องผู้บัญชาการทัพ
นี่สร้างความหวาดผวาให้ชาวเปี้ยนจิงไม่น้อย...นั่นเป็ความคิดของคนที่ไม่รู้เื่ราวใดๆ ส่วนตระกูลที่เก่าแก่ต่างก็วางใจที่ตระกูลซ่างกวนหวนคืนสู่อำนาจดังเช่นอดีตที่ผ่านมา
ตอนนี้บุคคลที่กำลังตกเป็หัวข้อวิพากษ์วิจารณ์ของชาวเมืองกำลังยืนอยู่หน้าประตูจวนขนาดใหญ่ ประตูสีแดงคล้ำบ่งบอกว่ามันผ่านกาลเวลามายาวนาน ด้านหน้ามีพยัคฆ์ที่แกะสลักจากศิลานั่งเฝ้าอยู่แสดงให้เห็นถึงความเก่าแก่ มีมนต์ขลัง รวมถึงความดุดันห้าวหาญสมกับที่เป็จวนแม่ทัพ
ซ่างกวนจือหลินที่ออกมาจากวังหลวงก็ตรงมาที่จวนอิงกั๋วกงทันที หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองป้ายสีทองที่สลักตัวอักษรเอาไว้ ‘จวนแม่ทัพพิทักษ์แผ่นดิน’
“คุณหนูท่านรอสิ่งใดอยู่เ้าคะ”ตงเอ๋อร์ที่ไม่ได้ติดตามคุณหนูของนางเข้าวังด้วยแต่นางรออยู่ด้านนอกกับกองทัพิญญาพยัคฆ์
“ข้าทำใจอยู่น่ะ”
ไม่ให้ทำใจได้เช่นไรครั้งสุดท้ายที่นางมาเยือนจวนแห่งนี้ในชาติที่แล้ว สร้างความวุ่นวายไปไม่น้อยยามนี้ได้มายืนตรงจุดเดิมอีกครั้งก็รู้สึกประหม่าอยู่บ้าง
ทหารยามที่ยืนมองผู้มาเยือนด้วยสายตาระแวดระวังอย่างที่สุด บุคคลที่อยู่เบื้องหน้าของพวกเขาไม่มีผู้ใดในเปี้ยนจิงไม่รู้จัก...ซางหยางอ๋อง ขุนศึกปีศาจเส้นผมสีเงิน เปี่ยมไปความโเี้อำมหิตหากนางบอกว่าตนเองเป็ที่สองก็ไม่มีผู้ใดกล้าตั้งตนเป็ที่หนึ่ง
ระยะเวลาสั้นๆไม่ถึงหนึ่งวันก็มีสมยานามที่ใช้เรียกท่านอ๋องผู้นี้ไม่น้อย
อ๋องปีศาจ
แม่ทัพหญิงอำมหิต...