“เอ๋ เด็กน้อย ตัวอ้วนขึ้นอีกแล้วสินะ” หญิงชราผู้นั้นยื่นมือออกมาบีบแขนเล็กของหลี่ชุ่ยฮัว แล้วหันไปเอ่ยกับป้าหลี่ซานเสิ่น “สะใภ้ซานหลู หลานชายข้าชอบเล่นในหมู่บ้าน แล้วยังชอบเอ่ยถามข้าว่า เหตุใดจึงไม่ค่อยเห็นชุ่ยฮัวบ้าง?”
คำพูดนี้หมายความเช่นไร?
หลี่ชุ่ยฮัวไม่พอใจจึงหันศีรษะไปอีกทาง เห็นหลิวเต้าเซียงกำลังปีนขึ้นมาพอดี โดยมีจางกุ้ยฮัวอุ้มหลิวชุนเซียงไว้ในอ้อมอกแล้วจึงปีนขึ้นรถวัว
ระหว่างทางหลิวเต้าเซียงบอกกับนางว่า ได้เตรียมไข่ไว้หนึ่งฟองแลกกับการนั่งรถเข็นวัว ดังนั้นให้จางกุ้ยฮัวนั่งอย่างสบายใจได้
นางเพิ่งคลอดลูกเสร็จ ถึงแม้ว่าร่างกายจะได้รับการบำรุงจนดีขึ้นแล้ว แต่ก็ยังคงอ่อนแอ เมื่อเดินเท้าด้วยระยะทางสั้นๆ เหงื่อก็ยังซึมทั่วร่าง
“นี่ ข้าว่า เ้าน่ะมีปัญญานั่งรถวัวนี่ด้วยหรือ?” หญิงชราพูดจาได้น่าชิงชังยิ่งนัก
หลิวเต้าเซียงโมโหอย่างทนไม่ได้ “แม่ข้าจะมีปัญญานั่งหรือไม่ เกี่ยวกับอะไรกับป้าด้วย? มีปัญญานัก ป้าก็อย่ามานั่งรถเข็นวัว ไปนั่งรถม้านู่น!”
ก็แค่จ่ายเงินแค่หนึ่งอีแปะไม่ใช่หรือ? เหตุใดต้องทำตัวกร่างราวกับว่าใช้เงินหลายหมื่น
“ผู้ใหญ่พูดคุยกัน เด็กแส่อะไร เกิดมาแม่ไม่สั่งไม่สอนเลยหรือไร นางเด็กบ้า!” หญิงชราจุกกับคำพูดตอกกลับของหลิวเต้าเซียง ผ่านไปครู่หนึ่งก็ด่ากราดออกมา
คนทั้งคันรถมองไปที่หญิงชรา โน้มน้าวนางว่าอย่าถือสาเด็ก
หลิวเต้าเซียงยังคิดจะพูดต่อ แต่จางกุ้ยฮัวคว้ามือเล็กของนาง แล้วส่ายศีรษะเบาๆ
หลี่ชุ่ยฮัวที่อยู่ข้างๆ เริ่มเป็กังวล รอให้หลิวเต้าเซียงนั่งกับที่ก็ชักผ้าห่มม้วนกลับมา จากนั้นออดอ้อนมารดาของตนให้ช่วยย้ายเตาไฟมานั่งข้างหลิวเต้าเซียง ส่วนตนเองก็อุ้มผ้าห่มกระเตงก้นมาทางเพื่อน
ป้าหลี่ซานเสิ่นยิ้มให้หญิงชราด้วยความอับอายและพูดว่า “เด็กน้อยมักชอบเล่นกับเด็กด้วยกันน่ะ”
หลังจากพูดเช่นนั้นก็ไม่ได้ให้ความสนใจหญิงชราผู้นั้นอีก แล้วช่วยบุตรสาวหิ้วเตาไฟมาทางนี้ จากนั้นนั่งลงข้างนาง ส่วนหลี่ชุ่ยฮัวก็นั่งชิดกับหลิวเต้าเซียงที่ช่วยอุ้มหลิวชุนเซียง จางกุ้ยฮัวก็โอบหลิวเต้าเซียงไว้ ทั้งห้าคนจึงได้ห่มผ้าห่มอุ่นๆ ด้วยกัน
เมื่อมองไปที่ใบหน้าของหญิงชรานั้น ขณะนี้ช่างดูน่าเกลียด หลิวเต้าเซียงถูกอกถูกใจยิ่งนัก
เพื่อนอย่างหลี่ชุ่ยฮัวช่างใจถึงใจเหลือเกิน ต่อไปหากตนเองมีเนื้อกิน ย่อมต้องพานางให้มาดื่มน้ำแกงด้วยกันแน่นอน
“เต้าเซียง ปกติเ้านิสัยเหมือนูเาไฟะเิไม่ใช่หรือ? เหตุใดวันนี้จึงไม่ต่อปากต่อคำเล่า ทางที่ดีเอาให้ป้าคนนั้นโมโหตาย เ้าน่ะ คลาดสายตาข้าเป็ไม่ได้ ดูสิวันนี้เ้าถูกผู้อื่นข่มเหงอีกแล้ว คราวหน้าหากถูกกระทำเช่นนี้อีกก็ต้องแว้งกัดให้สาสม”
“เด็กคนนี้นี่ พูดจาไร้สาระอะไร? ห้ามพูดไปเรื่อย” ป้าหลี่ซานเสิ่นตบท้ายทอยของหลี่ชุ่ยฮัวเบาๆ
“แม่ เช่นนี้จะทำให้ข้าโง่นา ถึงตอนนั้นพ่อจะต้องโมโหท่านแม่จนตาแดงแน่”
ป้าหลี่ซานเสิ่นเอื้อมมือออกไปดีดตรงกลางหน้าผากหลี่ชุ่ยฮัวหนึ่งที “อาศัยว่ามีพ่อเ้าคอยให้ท้าย ตอนนี้ช่างกล้านักนะ”
จางกุ้ยฮัวมองดูแล้วก็เจ็บแปลบในใจ หากว่าครอบครัวตนเองแยกออกมาอยู่ บุตรสาวคนรองขณะนี้คงกำลังออดอ้อนอยู่ในอ้อมอกตนเองเช่นเดียวกัน ไหนเลยจะเหมือนเช่นตอนนี้ ใบหน้าตึงเครียดจริงจัง แล้วยังมีท่าทางอย่างเป็ผู้เฒ่า
หลิวเต้าเซียงไม่รู้ถึงความชอกช้ำของแม่ผู้แสนดี ตลอดทางเอาแต่พูดคุยกับหลี่ชุ่ยฮัวเพราะว่านางพูดเป็หลัก ส่วนตัวนางก็ชอบฟัง คำพูดเพื่อนคนนี้มักจะมีข่าวที่เป็ประโยชน์อย่างมาก
อย่างเช่น บ้านไหนที่ชอบเอาเปรียบ เห็นแก่ได้ ไม่ขอก็จะเอาไปเอง หรือบ้านไหนที่หญิงชราแอบได้เสียกับสามีเพื่อนบ้าน หรือบางทีก็เป็เื่ที่ครอบครัวสามีภรรยาไปหาเงินแล้วทิ้งยายกับลูกหลานไว้ที่บ้านตามลำพัง
หลี่ชุ่ยฮัวสนทนากับนางตลอดทาง ทำให้เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
หนึ่งชั่วโมงต่อมา รถเข็นวัวได้มาถึงใต้ต้นไหวที่ปากทางเข้าตำบล คนทยอยลงจากรถเข็นวัวและจ่ายเงินให้ลุงหวัง
หญิงชราที่เดิมทีนั่งอยู่ตรงข้ามหลิวเต้าเซียงและแย่งที่นั่งกับนาง กำลังยืนตาขวางเบ้ปากอยู่ใต้ต้นไหว มองดูอย่างจริงจังว่าสองแม่ลูกจะจ่ายเงินด้วยวิธีใด
หลิวเต้าเซียงรู้สึกยุ่งยากเล็กน้อย หากนางเอาไข่ออกมาเพื่อให้เป็ค่าโดยสารในเวลานี้ หญิงชราคนนี้จะต้องคาบข่าวเอาไปบอกหลิวฉีซื่อเป็แน่ ถึงแม้ว่าไข่นี่จะไม่ใช่ของย่า แต่ก็ต้องถูกเหมารวมว่าเป็ไข่ที่ขโมยมาใต้หลังเตียงแน่นอน
“เต้าเซียง ลงจากรถเถอะ” หลี่ชุ่ยฮัวอารมณ์ร่าเริง คิดว่าอีกเดี๋ยวจะได้เจอพ่อกับพี่ชาย และได้กินขนมต่าไป๋ถัง
หลิวเต้าเซียงมีความคิดแล่นเข้ามา ออกแรงสะกิดหลี่ชุ่ยฮัวเบาๆ แล้วเอ่ยเสียงค่อย “เ้าอย่าเอ็ดไป รอข้าพูดจบก่อน เดิมทีข้า้าจะใช้ไข่แลกกับค่ารถเข็นวัว แต่ว่าป้าผู้นั้น เกรงว่านางจะอยากหาเื่ เอาเช่นนี้ ข้าเอาไข่ให้เ้า ให้แม่เ้าช่วยข้าออกเงินก่อนหนึ่งอีแปะเป็เช่นไร? หลังจากข้าสะสางทุกอย่างได้เงินมา แล้วค่อยแลกเงินหนึ่งอีแปะกลับคืนให้”
หลี่ชุ่ยฮัวชูมือซ้ายขึ้น เดิมอยากตบหน้าอกตนเองเพื่อรับประกัน แต่ต่อมาคิดดู แม่นางบอกว่าต้องแสดงกิริยาให้สมเป็กุลสตรี เช่นนี้แล้วอย่างน้อยเพื่อนของนางก็จะได้หัดเลียนแบบไว้ด้วย
ด้วยเหตุนี้ นางก็เปลี่ยนท่าทีแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงสดใส “ตกลง ไม่มีปัญหา เ้าไม่ต้องเอาเงินแลกกลับคืนมาก็ได้ ่นี้ไก่บ้านข้าไม่ออกไข่ พ่อข้ากับพี่ใหญ่กำลังกังวลว่าจะไม่มีไข่กิน อีกอย่าง ข้าเอาเปรียบเ้า เ้าห้ามไม่พอใจนะ”
ค่าโดยสารเป็หนึ่งอีแปะ แต่ราคาไข่คือหนึ่งอีแปะครึ่ง
หลิวเต้าเซียงเข้าใจความหมายของหลี่ชุ่ยฮัวทันทีแล้วซาบซึ้งอย่างมาก “ก็แค่ไข่นี่นา เ้าพูดเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นข้าไม่ขอกลับคืนมาก็ได้ จะได้ประหยัดเงินหนึ่งอีแปะไว้ด้วย ถึงเวลาจะได้ซื้อต่าไป๋ถังกินเสียหน่อย”
หลี่ชุ่ยฮัวกอดเกี่ยวแขนของป้าหลี่ซานเสิ่นไว้แล้วกระซิบเสียงเบากับนาง
ป้าหลี่ซานเสิ่นก่นด่า “เ้าเด็กคนนี้นี่”
หลังจากพูดจบนางก็ล้วงเงินจากอ้อมอกมาสองอีแปะ แล้วแอบยื่นไปด้านล่างผ้าห่มให้กับหลิวเต้าเซียง
ป้าหลี่ซานเสิ่นเป็คนรอบคอบมากกว่าที่คิด ถ้านางออกเงินแทนจางกุ้ยฮัว เกรงว่าป้าคนนั้นเห็นเข้าคงจะหาเื่แขวะอีก ยิ่งไปกว่านั้น หากว่าหลิวฉีซื่อได้ยินเข้าจะหาว่าไม่ไว้หน้านาง
แต่หากหลิวเต้าเซียงเป็คนให้เงินเอง ไม่แน่ว่าเด็กคนนี้อาจจะไปหาเงินได้มาจากไหนเอง ใครจะรู้!
เดาว่าหลิวฉีซื่อก็คงไม่มีทางหน้าด้านมายึดเงินแค่หนึ่งอีแปะจากหลานสาวตนเพื่อเลี้ยงครอบครัวหรอกนะ หากข่าวกระจายออกไป คงถูกคนหัวเราะเยาะจนฟันร่วง
หลังลงจากรถ ป้าหลี่ซานเสิ่นก็จ่ายค่าโดยสารและกล่าวคําอําลากับครอบครัวของหลิวเต้าเซียง แล้วไปยังร้านตีเหล็กก่อน
“นี่ ข้าว่าหลิวเต้าเซียง เงินหนึ่งอีแปะนี้เ้าคงไม่ได้ขโมยย่าเ้ามาหรอกนะ”
จางกุ้ยฮัวเพิ่งอุ้มหลิวชุนเซียงมาจากมือหลิวเต้าเซียง เมื่อได้ยินหญิงชราพูดจาไม่น่าฟัง จึงชักสีหน้าทันใด “ข้าว่าป้าจ้าว นี่ท่านพูดอะไรกัน? ในมือบุตรสาวข้าจะมีเงินสักสองอีแปะมันเป็เื่ผิดหรืออย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น ข้าว่าเมื่อครู่ที่ป้าจ้าวควักเงินออกมาจ่าย คงไม่ได้แอบหยิบของลูกสะใภ้มาหรอกนะ?”
ป้าจ้าวคนนี้เองก็เหลือเกิน ไม่รู้ว่าไปหาหญิงสาวที่หน้าตาพอใช้ได้แต่สมองไม่ค่อยดีมาจากไหน เด็กสาวบริสุทธิ์ที่น่าสงสาร ถูกนางจับมาแต่งงานกับบุตรชายที่ป่วยออดๆ แอดๆ หลังแต่งงานกันได้หนึ่งปีครึ่งก็ได้อุ้มหลานชาย หากเพียงแค่นั้น คงนับว่าเด็กสาวคนนั้นชาติที่แล้วคงทำบุญมามาก
แต่ใครจะคาดคิด ป้าจ้าวคนนี้กลับเจรจากับเ้าของหอนางโลมหนึ่งเดียวในตำบล แล้วสั่งให้ลูกสะใภ้มาทำงานหาเงินในหอนางโลม แต่ป้าจ้าวเป็คนที่ใช้จ่ายมือเติบ หลังจากจัดการจับลูกสะใภ้เข้าไปอยู่ในสถานที่น่าอับอายเช่นนั้น ที่บ้านถึงได้มีไร่นาสองแปลง ในที่สุดก็หลุดพ้นจากการเป็ผู้เช่า และกลายเป็ราษฎรธรรมดาของราชวงศ์โจว
ด้วยเหตุนี้ นางอยู่ในหมู่บ้านสามสิบลี้จึงชอบดูถูกชาวนารอบข้าง รู้สึกว่าตนเองอยู่สูงส่งกว่าผู้เช่านาทั้งหลาย ขณะเดียวกันก็อิจฉาตระกูลหลิว เพราะว่าในหมู่บ้านสามสิบลี้ตระกูลหลิวนับว่าเป็คนรวยหนึ่งเดียวในหมู่บ้าน
ยิ่งไปกว่านั้นบุตรชายทั้งสี่ของครอบครัวของหลิว นอกจากหลิวซานกุ้ยบุตรชายคนที่สามที่ไม่ได้เื่ อาศัยอยู่กับครอบครัว บุตรชายคนโต คนรองของตระกูลหลิวก็ทำงานภูมิฐาน ส่วนคนเล็กก็เป็ผู้มีการศึกษา ได้ข่าวว่าปีนี้ไปลองสนามแล้ว ปีหน้าจะเข้าสอบชิ่วไฉ [1] อย่างเป็ทางการ
ป้าจ้าวนั้นทั้งอิจฉาและเกลียดตระกูลหลิวเข้ากระดูกดำ แต่นางไม่กล้าไปกระตุกหนวดเสืออย่างหลิวฉีซื่อ จึงชอบมาแซะจางกุ้ยฮัวที่เป็สะใภ้ผู้ซื่อตรง
หลิวเต้าเซียงยื่นเงินหนึ่งอีแปะให้เหล่าหวัง แล้วจึงค่อยๆ เดินไปข้างหน้าป้าจ้าว จากนั้นทำสีหน้าขึงขังเอ่ยถาม “ข้าว่าป้าจ้าว ร้านค้าขายเกลือในราชวงศ์โจวเป็ร้านของป้าหรือ”
“นางเด็กตัวดี อย่าพูดจาไปเรื่อยนะ” เมื่อได้ยินหลิวเต้าเซียงพูดเกริ่นไปถึงเบื้องบนที่นางได้แต่มองดูจากองศาที่แหงนขึ้น ป้าจ้าวมิใช่คนที่ไร้มันสมอง รู้ดีว่า ราษฎรทั่วไปไม่สามารถเป็ปฏิปักษ์ต่อองค์ฮ่องเต้
หลิวเต้าเซียงใช้สายตากวาดมองนางั้แ่หัวจรดเท้าอย่างเ็า แล้วจึงเอ่ยพร้อมกับขำเยือกเย็น “ข้าก็นึกว่าบ้านป้าเป็คนเปิดเสียอีก? ไม่เช่นนั้น ทุกคนลองพิจารณาดูสิ เงินในกระเป๋าผู้ใดมีเท่าไร ที่มาของเงินเป็เช่นไร ยังต้องมารายงานกับป้าอย่างนั้นหรือ อ้อ ไม่ใช่สิ หรือว่าป้าจ้าวเป็พวกชอบสอดแนมเื่ชาวบ้าน วันๆ เอาแต่จ้องกระเป๋าเงินผู้อื่นหรืออย่างไร? มิเช่นนั้น เหตุใดจึงรู้ที่มาของเงินได้ชัดเจนยิ่งกว่าข้าเสียอีก?”
นางพาคนทั้งหมู่บ้านให้มาเกี่ยวข้องด้วย เดิมทีชาวบ้านหลายคนเพียงแค่อยากดูทั้งสองฝ่ายทะเลาะกันจึงยังไม่ได้แยกย้าย
แต่ในเวลานี้เมื่อได้ยินหลิวเต้าเซียงพูดเช่นนั้น สายตาที่จ้องมองป้าจ้าวก็ดูแปลกไป
ปฏิเสธได้ยากว่าที่บุตรสาวคนรองของหลิวซานกุ้ยพูดมานั้นไม่เป็ความจริง มิเช่นนั้น เหตุใดนางจึงรู้ว่าเงินของผู้อื่นมีที่มาเยี่ยงไร?
“แม่ กลับไปเราต้องบอกกับย่าเสียหน่อย ป้าจ้าวรู้ว่านางเอาเงินซ่อนไว้ที่แห่งใด เฮ้อ แค่ลำพังในกระเป๋าข้ามีเงิน นางถึงกับคำนวณได้เสร็จสรรพ ก็รู้ได้ว่าในโอ่งเก็บเงินของย่าน้อยไปหนึ่งอีแปะ? นี่ช่างน่าอัศจรรย์เหลือเกิน”
“นี่ ข้าว่าป้าจ้าว เ้าหลอกลวงลูกสะใภ้ไปทำงานขายเนื้อหนังในตำบลยังไม่พอ แต่ยังชอบมองคนอื่นในแง่ร้าย เ้าคิดว่าผู้อื่นนั้นไร้ยางอายเหมือนป้าหรือไร”
ไม่รู้ว่าป้าคนที่เอ่ยคำพูดนี้มีความแค้นกับป้าจ้าวมาก่อนหรืออย่างไร
“นั่นสิ มิเช่นนั้นจะรู้ได้อย่างไรว่าเต้าเซียงเอาเงินมาจากไหน?”
“นางน่ะพวกโลภมาก มิเช่นนั้นจะกล้าทำเื่ผิดศีลธรรมเช่นนั้นได้หรือ”
เมื่อเห็นชาวบ้านพากันขุดคุ้ยไปถึงไหนต่อไหน ป้าจ้าวเองก็เริ่มถูกผู้คนต่อว่าจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ใด จากนั้นจึงตีมึนรีบเดินจากไป
หลิวเต้าเซียงมองไปที่ชาวบ้านที่ยังไม่แยกย้าย แล้วทำเป็ทอดถอนใจกับตนเอง “เฮ้อ ข้าก็แค่เก็บเงินได้ระหว่างทางที่เข้าตำบลหนที่แล้ว แม่ข้าเพิ่งออกเดือน ร่างกายอ่อนแอ ข้าในฐานะบุตรสาวก็ต้องกตัญญูมิใช่หรือ?”
ในจังหวะนั้น บางคนที่สงสัยนางอยู่ก็รู้สึกว่าภาพลักษณ์ของหลิวเต้าเซียงสูงส่งขึ้นมาอย่างมาก
แต่ละคนเอาแต่พูดว่าจางกุ้ยฮัวนั้นมีบุญวาสนา ได้บุตรสาวดี
หลิวเต้าเซียงเดินตามจางกุ้ยฮัวเข้าเมือง มองดูผู้คนขวักไขว่ไปมา บรรยากาศคึกคักกว่าการจ่ายตลาดปกติ เดาว่าคงเพราะใกล้ถึงเทศกาลเชงเม้ง ทุกคนจึงออกมาจับจ่ายของเซ่นไหว้เข้าบ้าน
-----
เชิงอรรถ
[1] ชิ่วไฉ 秀才xiucai คือผู้ที่สอบผ่านระดับท้องถิ่น โดยไล่จากระดับถงเซิง ชิ่วไฉ จวี่เหริน (ผู้แต่งได้บรรยายเปรียบเทียบกับปัจจุบันในเล่ม 2 ตอนที่ 51)
ถงเซิง (อังกฤษ: tongsheng, จีน: 童生, พินอิน: Tóngshēng, แปลตามตัวอักษรว่า "นักศึกษาเด็ก" (child student) ") คือผู้ที่สอบผ่านระดับต้น หรือระดับท้องถิ่นในขั้น เซี่ยนชื่อ (county exam) และ ฝู่ชื่อ (prefecture exam) โดยไม่ว่าผู้สอบผ่านนั้นจะมีอายุเท่าใดก็ตามก็จะถูกเรียกด้วยคำนี้ เป็การสอบที่เทียบได้กับการสอบเพื่อเข้าศึกษาต่อในปัจจุบัน[17]
เซิงหยวน (อังกฤษ: shengyuan, จีน: 生員, พินอิน: Shēngyuán, แปลตามตัวอักษรว่า "สมาชิกนักศึกษา (student member) ") หรืออีกชื่อหนึ่งที่นิยมใช้เรียกมากกว่า คือ ชิ่วไฉ (อังกฤษ: xiucai, จีน: 秀才, พินอิน: Xiùcái, แปลตามตัวอักษรว่า "ผู้มีพร์ (distinguished talent) ") คือผู้ที่สอบผ่านระดับต้น หรือระดับท้องถิ่นในขั้น ย่วนชื่อ (college exam)
จวี่เหริน (อังกฤษ: juren, จีน: 舉人, พินอิน: Jǔrén, แปลตามตัวอักษรว่า "ผู้ได้รับการแนะนำ (recommended man) ") คือผู้ที่ผ่านการสอบคัดเลือกในระดับมณฑล (provincial exam) ซึ่งจัดขึ้นทุก ๆ 3 ปี