“ท่านแม่ ข้าไม่อยากไปโรงปัก”
จางกุ้ยฮัวที่กำลังอุ้มหลิวชุนเซียงเบียดเสียดอยู่กับกลุ่มคน เมื่อได้ยินบุตรสาวคนรองพูดเช่นนั้นจึงเอ่ยอย่างกังวล “ไม่ได้ หากว่าเจอกับโจรลักพาตัวเข้าจะทำเยี่ยงไร? วันนี้ตลาดนัดคนมากมายเกินไป”
“ท่านแม่ ท่านวางใจได้ ข้าจะไม่ปล่อยให้พวกโจรลักพาตัวจับข้าไป ข้าแค่้าไปบ้านแม่หญิงคนรวยเ่าั้ ดูสิว่าจะได้ค่าจ้างวิ่งแรงงานสักหน่อยหรือไม่ ท่านแม่ ท่านอย่าลืมสิ อีกประเดี๋ยวเรายังต้องอุ้มทั้งน้องสามกับหิ้วเนื้อหมูอีกห้ากิโลกรัมเชียวนะ”
หลิวเต้าเซียงโยนคำถามออกมาตรงหน้าอย่างคมคาย ใจของจางกุ้ยฮัวก็เริ่มเป็กังวล ตอนนี้ร่างกายของนางอ่อนแอจริง หลังจากซื้อมันหมูเสร็จ ไม่แน่ว่าอาจจะไม่สามารถฝืนพาบุตรสาวสองคนกลับถึงบ้านได้
“ไม่ได้อยู่ดี ที่นี่โจรลักพาตัวเยอะเกินไป”
เมื่อเทียบกับการทํางานหนัก จางกุ้ยฮัวกลัวการสูญเสียบุตรสาวคนรองมากกว่า
หลิวเต้าเซียงหมดหนทางเมื่อเห็นว่าผู้เป็แม่ยืนกรานไม่เห็นด้วย จึงได้แต่เดินตามหลังนางไป แล้วค่อยคิดหาทางใหม่
ขณะนั้นก็เดินผ่านโรงเตี๊ยมชั้นดีที่หลิวเหรินกุ้ยทำงานอยู่
“ท่านแม่!” หลิวเต้าเซียงดึงชายเสื้อของจางกุ้ยฮัว เป็ตายก็ไม่ยอมเดินหน้าต่อ
“มีอะไรหรือ?” จางกุ้ยฮัวอุ้มหลิวชุนเซียงเดินได้ระยะหนึ่งก็เริ่มหายใจหอบ แต่ยังเอ่ยถามบุตรสาวคนรองอย่างมีความอดทน
“ข้าเดินไม่ไหวแล้ว เจ็บเท้า”
จางกุ้ยฮัวไม่ทันสังเกต วันนี้คนเดินจ่ายตลาดค่อนข้างมาก ตอนลงรถก็เสียเวลาไปพักหนึ่ง ขณะนี้ คนในตลาดเพิ่มมากขึ้น หากนางไม่รีบไปซื้อมันหมู เกรงว่าคงหมดก่อน ไม่มีให้ซื้อ กลับบ้านต้องถูกหลิวฉีซื่อตำหนิเป็แน่
“เต้าเซียง เด็กดี เดินหน้าอีกสักหน่อย ไม่ไกลนักก็จะถึงที่ขายเนื้อแล้วนะลูก”
โกหกใครกัน เห็นนางเป็เด็กเจ็ดขวบจริงๆ หรือ หลายวันมานี้เอาแต่วิ่งเข้าเมือง นางหรือจะไม่รู้ว่าร้านเนื้ออยู่ที่ใด?
แต่จนท้ายที่สุดแม่ก็คือแม่ ไม่เหมือนหลิวฉีซื่อที่มองเพียงว่านางเป็เด็กรับใช้เอาแต่สั่งงาน ไม่เคยสนใจว่าจะถูกโจรลักพาตัวไปหรือไม่
“แม่ ข้าเข้าไปหาลุงรองดีกว่า ประเดี๋ยวข้าจะไปหาท่านแม่ที่โรงปัก”
โรงเย็บปักถักร้อยอยู่ห่างจากโรงเตี๊ยมนี้ไม่ไกลนักในย่านเดียวกัน
จางกุ้ยฮัวเห็นว่าสายมากแล้ว แต่ภายใต้ความเหนื่อยหน่ายจึงได้แต่กำชับบุตรสาวให้ทำตัวว่าง่าย อย่าเพิ่มปัญหาให้ลุงรอง
“เข้าใจแล้ว แม่ รีบไปเถอะ ข้ายืนพักที่นี่สักครู่ แล้วจะเข้าไปหาลุงรอง”
เมื่อเห็นจางกุ้ยฮัววางใจแล้วเบียดเข้าไปในฝูงชน หลิวเต้าเซียงเบ้ปาก ให้นางไปหาหลิวเหรินกุ้ยที่สายตาเฉียบคมน่ะหรือ ไม่มีทาง
นางเขย่งเท้ามองเข้าไปในฝูงชน พบว่าจางกุ้ยฮัวยืนอยู่ไม่ไกลและกำลังแอบมองมาทางนี้ ที่แท้แม่ของตนก็ไม่วางใจ
นางคิดดู จากนั้นก็หันทิศทางเท้า แล้วค่อยๆ เดินเยื้องย่างไปทางเข้าโรงเตี๊ยม เมื่อเหยียบขึ้นบันได นางก็หันขวับไปมอง
ตามคาด จางกุ้ยฮัวโดนนางหลอกเข้าให้ ขณะนี้กำลังอุ้มหลิวชุนเซียงเดินมุ่งหน้าไปต่อแล้ว เห็นทีนางคงคิดว่าหลิวเต้าเซียงจะไปหาหลิวเหรินกุ้ยจริง
หลิวเต้าเซียงยังมีไก่ตัวผู้อยู่ในห้วงมิติอีกหนึ่งตัว ขอเพียงขายไก่ตัวผู้นี้ออกไป ก็จะมีเงินในกระเป๋า จึงเริ่มมีความมั่นใจมากขึ้น
นางจำได้ว่าเมื่อวานหลิวฉีซื่อบ่นพึมพำว่าการไหว้บรรพบุรุษต้องฆ่าไก่ แล้วยังบอกว่ากับข้าวไม่พอ บ้านเราต้องซื้อไก่ตัวผู้อีกหนึ่งตัวไว้ต้อนรับครอบครัวของหลิวสี่กุ้ยกับหลิวเหรินกุ้ยที่กำลังจะกลับบ้านด้วย
คำพูดนี้หากเป็ผู้อื่นได้ยิน ก็คงคิดเพียงว่าเทศกาลเชงเม้งจะมีกับข้าวอร่อยๆ ทาน ในกระเพาะคงมีน้ำมันตกถึงท้องบ้าง
แต่หลิวเต้าเซียงจับใจความได้ว่า เทศกาลเชงเม้งนับว่าเป็เื่ใหญ่ของราชวงศ์โจว เป็พิธีกรรมที่ได้รับความสำคัญอย่างยิ่ง
นางกลับไปยังตรอกที่เคยขายฟืนให้กับแม่เฒ่าจางเมื่อออกจากโรงเตี๊ยมชั้นสูง เหลียวซ้ายแลขวาก่อนจะตรงดิ่งไปยังที่บ้าน
นางเคยได้ยินจากคําพูดของแม่เฒ่าจางว่า คนฝั่งนั้นน่าจะทำมาค้าขายร่ำรวย คราวนี้ต้องมีเงินไหลมาเทมาอย่างแน่นอน
ตอนที่ไปถึง ทุกบ้านต่างปิดประตูเงียบ เดาว่าคงยังไม่ถึงเวลากลับมา
นางจึงเลือกเข้าไปในซอยตันและแคบซึ่งไร้ผู้คน จากนั้นก็เรียกไก่ตัวผู้ออกมาจากห้วงมิติ
“ขายไก่จ้า ขายไก่ ไก่ตัวผู้ทั้งอ้วนและใหญ่”
คงเพราะไม่มีคนอยู่บ้าน นางะโอยู่หลายครั้งจนเดินสุดถนนเส้นนี้ ก็ไม่มีบ้านไหนเปิดประตู หลิวเต้าเซียงจึงหาจุดลับตาคนในซอยแล้วมุดเข้าห้วงมิติ ในเมื่อตอนนี้ยังมีเวลาว่าง ก็เข้าไปปรนนิบัติลูกไก่ทั้งสามตัวในห้วงมิติดีกว่า
ตอนนี้ปีกของลูกไก่ทั้งสามเริ่มเติบโต ขนหนา และในอีกสิบวันไก่จะสามารถวางไข่ได้
หลังจากยุ่งกับงานในห้วงมิติสักพัก ในที่สุดก็จัดการทุกอย่างเสร็จสิ้น ไก่สามตัวะโอย่างมีชีวิตชีวา เติบโตแข็งแรงสมบูรณ์ คงเพราะความหนาแน่นเป็เหตุ จึงไม่ต้องทำรายงานกับฝ่ายผลิตเพื่อขอยากำจัดแมลง
เมื่อนางทำงานเสร็จก็ออกมาจากห้วงมิติ ไม่นานนักก็เดินไปตามทางดินโคลนจนสุดทางถนน มองเห็นเงาร่างของคนสองคนจากที่ไม่ไกลนัก มองดูแล้วคุ้นตา
หลิวเต้าเซียงรีบอุ้มไก่และเดินไปข้างหน้าอย่างลําบาก “ขายไก่จ้า ไก่ตัวใหญ่ที่แข็งแรงและอ้วน เลี้ยงด้วยข้าวโพดนะจ๊ะ”
คนที่อยู่อีกฟากหนึ่งอาจได้ยิน
ตามคาด มีคนๆ หนึ่งเดินไปหานาง เมื่อเข้าใกล้หญิงชราก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาก่อน
“สาวน้อย เหตุใดจึงเป็เ้าอีกแล้ว? คราวนี้ไม่ได้ขายฟืน แต่ขายไก่อย่างนั้นหรือ?”
“จ้ะ ท่านป้าสบายดีนะเ้าคะ ข้าขายทุกอย่างเพื่อหารายได้ช่วยที่บ้าน ไหนเลยจะเทียบกับบ้านของท่านป้าได้ ”
พูดถึงตรงนี้ นางก็อุ้มไก่ตัวผู้ขึ้นอย่างยากลำบาก โชคดีที่สัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดเตือนไว้ก่อน เมื่อวานจึงหาเชือกในห้วงมิติและมัดขาทั้งคู่ของไก่ไว้ได้
“ท่านป้า ้าซื้อไก่หรือไม่ ดูหงอนไก่นี่สีแดงสดสวยงาม เท้าก็มีเรี่ยวแรง กระดูกแข็งมาก นี่เป็ไก่ที่เลี้ยงมานานกว่าหนึ่งปี”
“เด็กคนนี้ปากหวานเสียจริง ช่างเถอะ ข้าเองกำลังเตรียมตัวออกไปซื้อข้างนอก เ้าช่างมีไหวพริบ หิ้วมาขายถึงนี่ได้” แม่เฒ่าจางมีเงินในมือ จึงไม่ได้ตระหนี่
นางยกไก่ตัวผู้ในมือหลิวเต้าเซียงขึ้นมาดู แล้วเอ่ย “เอ๋ นี่น่าจะหนักราวห้ากิโลกรัมได้”
จากนั้นก็พลิกไก่ออกดู ดวงตาของไก่ตัวนี้แวววาวไม่ขุ่นมัว ขนมีประกาย ดูมีพลังชีวิต น่าจะเป็ไก่ตัวผู้ที่ดูดีทีเดียว
“ไก่ตัวนี้มีน้ำหนักมากกว่าห้ากิโลกรัม” หลิวเต้าเซียงตอบอย่างว่าง่าย
“ก็ถูก บ้านเ้าชอบทำการค้าเล็กๆ เห็นทีน่าจะเป็ของชั้นดี” แม่เฒ่าจางไม่ได้รู้สึกว่าคำตอบของหลิวเต้าเซียงมีปัญหาตรงไหน
ดังนั้น การพูดคุยกับคนที่มองขาดนั้นเป็เื่ที่ทั้งง่ายดายและไม่สิ้นเปลืองแรง
“ท่านแม่ เมื่อวานฮูหยินบอกว่าจะซื้อไก่ตัวผู้ตุ๋นน้ำแกงให้กุ้ยฮูหยินท่านนั้นบำรุงร่างกายไม่ใช่หรือ?” ลูกสะใภ้ของแม่เฒ่าจางเห็นทีน่าจะเป็ที่ชื่นชอบของแม่สามี เมื่อเห็นไก่ตัวผู้ก็รีบเตือน
รอยยิ้มตรงหางตาของแม่เฒ่าจางชัดยิ่งกว่าเดิม แล้วเอ่ยถามลูกสะใภ้ของตน “แม่เ้าว่าเยี่ยงไรนะ?”
ลูกสะใภ้ตระกูลจางรีบตอบอย่างนอบน้อม “แม่ข้าคอยดูแลจัดการทุกอย่างในโรงครัว เช้านี้ข้าได้ยินนางบอกว่า ยัง้าไก่ตัวผู้ตัวโตเพื่อมาบำรุงเืลมให้แก่กุ้ยฮูหยินท่านนั้น นับั้แ่วันนั้นเป็ลมอยู่ด้านหน้าห้องโถง สีหน้าก็ไม่ได้ดีขึ้นเท่าใด”
แม่เฒ่าจางไม่ได้สนใจว่าหลิวเต้าเซียงยืนอยู่ข้างๆ หรือไม่ จึงเอ่ย “ได้ข่าวว่าบุตรชายของนางหายตัวไปยังหาไม่เจอ นี่ก็หลายวันมาแล้ว”
“อืม ได้ยินว่าหายตัวไปราวหนึ่งเดือนได้ กุ้ยฮูหยินท่านนั้นได้ข่าวก็รีบเดินทางข้ามวันข้ามคืนมายังตำบลของเรา ทำได้เพียงส่งคนออกไปตามหา แต่กลับหาคุณชายท่านนั้นไม่เจอ ไม่รู้ว่าหายไปอยู่ที่ใด”
แม่เฒ่าจางไม่อยากไปยุ่มย่ามเื่ของเบื้องบน จึงยิ้มแย้มและอุ้มไก่ตัวผู้ในมือ ก่อนจะหันไปถามหลิวเต้าเซียง “สาวน้อย ไก่ตัวนี้ขายอย่างไร?”
หลิวเต้าเซียงขายฟืนให้กับนางหนที่แล้ว รู้ว่านางเอาฟืนไปขายต่อ น่าจะได้กำไรไม่น้อย จึงเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม “ป้าจาง ท่านเองก็รู้ ตอนนี้ใกล้จะถึงเทศกาลไหว้บรรพบุรุษแล้ว ไก่ตัวเมียก็สู้ไก่ตัวผู้นี้ไม่ได้ มีแต่คนอยากแย่งกันซื้อ”
แม่เฒ่าจางรู้ว่าหลิวเต้าเซียงกล่าวความจริง จึงเอ่ย “ยามปกติไก่ตัวนี้คงราคายี่สิบห้าอีแปะต่อครึ่งกิโลกรัม หรือไม่ เ้าให้ราคานี้กับข้า หากต่อไปบ้านเ้ามีไก่วางไข่ หากว่ามีไก่ตัวเมีย ข้ารับไว้หมด เ้าส่งมาที่นี่ได้เลย”
หลิวเต้าเซียงไม่รู้ว่าไก่ในตลาดตอนนี้ราคาเป็เช่นไร เดาว่าคงไม่ใช่แค่ยี่สิบห้าอีแปะ แต่นางเป็เด็กไม่สามารถไปเช่าแผงในตลาดได้ ในเมื่อแม่เฒ่าจางเอ่ยออกมาเช่นนี้ นางเองก็พร้อมคล้อยตาม การเจรจาค้าขายกับแม่เฒ่าจาง ย่อมดีกว่าเอาไปขายด้านนอก เช่นนั้นมันเอิกเกริกเกินไป หากคนในชุมชนเห็นเข้าแล้วไปถึงหูของหลิวฉีซื่อ เงินนี่คงเก็บซ่อนไว้ไม่อยู่
“ในเมื่อท่านป้าจางคุยง่ายเช่นนี้ ข้าจะไม่รับปากก็คงมิได้ เด็กน้อยอย่างข้าคงต้องขอความเอ็นดูจากท่านป้าจางนับจากนี้อีกมากมาย ชาวนาคิดจะทำการค้าขายช่างไม่ใช่เื่ง่ายดายเสียจริง”
แม่เฒ่าจางยิ้มและพูดว่า “โชคดีที่เ้าไม่ได้ไปขายที่ตลาด ค่าภาษีของไก่ตัวนี้คงแพงน่าดู จะได้ไม่ต้องจ่ายค่าส่วยให้คนเ่าั้ เ้าขายให้ข้าราคาถูก ข้าย่อมไม่ให้เ้าเสียเปรียบอย่างแน่นอน”
แม่เฒ่าจางรู้ว่าราคาไก่วันนี้ในตลาดสูงถึงยี่สิบแปดหยวน อีกทั้งไปช้าก็อาจจะหมดก่อน
บ้านเ้านายของนางนั้นร่ำรวย นางส่งต่อสิ่งของไปยังโรงครัวของบ้านเ้านาย แล้วแม่ของลูกสะใภ้ตนเองก็ทำงานอยู่ที่นั่น เงินที่ได้ย่อมสูงกว่าที่ได้รับจากข้างนอก หากคนทั้งหลายร่วมมือกัน แล้วมาเฉลี่ย คงแบ่งกันได้ไม่น้อย
แม่เฒ่าจางเองก็อยากหาเงิน เพียงแต่ไปที่ตลาดก็ต้องไปต่อราคาอยู่ดี ไม่แน่ว่าจะหากำไรได้ สู้ให้เด็กน้อยนี่ส่งของมาถึงบ้าน ขอราคาที่ถูกหน่อย จากนั้นค่อยส่งต่อไปขายให้บ้านเ้านายหลังนั้น
“หากว่าเ้าสามารถส่งไก่หรือไข่เ่าั้มาได้ ข้ารับรองว่าของของเ้าข้าจะรับไว้หมด”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ก็เอ่ยกับหลิวเต้าเซียงอีก “ไก่นั่นราคาตามนี้ ส่วนไข่ก็ใบละหนึ่งอีแปะครึ่ง”
หากไม่ใช่วันตลาดนัก ไก่ในตำบลก็ไม่ได้มีเยอะมากมาย อีกทั้งลักษณะของไก่ก็ดูไม่ดี
ในอดีต บ้านเ้านายของนางมักจะส่งนางไปซื้อในชนบทแล้วส่งเข้ามาในจวน ถึงจะให้ค่าแรง อีกทั้งทางชนบทเป็ดินโคลนเดินทางยาก ตอนนี้ถือว่านางเองก็ไม่ต้องไปลำบาก
นางเองก็ใช่ว่าไม่เคยคิดเื่เปิดร้านขายให้เป็รูปธรรม เพียงแต่ไก่ในชนบทที่เลี้ยงไว้นั้นมีน้อย อีกทั้งส่วนน้อยที่จะยอมขาย เพราะส่วนใหญ่มักจะเก็บไว้ให้วางไข่ แล้วเอาไข่ไปแลกเกลือและน้ำมัน
“ตกลง ป้าจาง กว่าข้าจะส่งไก่มาอีก คงต้องหนึ่งเดือนให้หลัง” นางคิดอยู่ว่าไก่กับไข่ในห้วงมิติน่าจะมีมากพอ จึงตอบรับ
แม่เฒ่าจางกำชับนางว่า “เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน เ้าค่อยๆ เลี้ยง ยามปกติข้าไม่ได้้ามากนัก หลักๆ จะเป็่เทศกาลไหว้บะจ่าง วันไหว้พระจันทร์จะใช้เยอะหน่อย”
จากนั้นนางก็หยิบเงินจากอ้อมอกออกมานับอย่างระมัดระวัง
หลิวเต้าเซียงมีแผนการอยากจะกระชับความสัมพันธ์ จึงยิ้มแล้วเอ่ย “เช่นนั้นถือว่าเป็ความเคารพของข้าที่มีต่อป้าจาง คิดเป็เลขกลมๆ ตามกิโลกรัมก็พอเ้าค่ะ”
ชัดเจนว่านางยอมให้แม่เฒ่าจางได้มีกำไรขึ้นอีกหลายอีแปะ
“หืม ข้ารู้อยู่แล้วว่าเ้าเป็คนทำการค้าขายเป็ ทั้งหมดสองร้อยห้าสิบอีแปะ รับไว้” แม่เฒ่าจางไม่ได้รู้สึกว่าการได้กำไรจากสาวน้อยเป็เื่ที่น่าอายแต่อย่างใด
“คราวหน้าก่อนส่งไก่มา เ้ามาบอกข้าที่บ้านก่อน เ้ารู้ว่าบ้านข้าอยู่ที่ใด”
“เข้าใจแล้วเ้าค่ะ” หลิวเต้าเซียงตอบเสียงใสกังวาน
แอบคิดว่า บ้านเ้านายของแม่เฒ่าจางน่าจะเป็ตระกูลใหญ่ มิเช่นนั้น จะละเลยกับช่องโหว่ที่ให้ข้ารับใช้ได้แอบหารายได้เช่นนี้หรือ
หลังจากรับเงินหนึ่งร้อยอีแปะสองพวง กับเศษเงินห้าสิบอีแปะจากมือแม่เฒ่าจาง หลิวเต้าเซียงแอบนับหนึ่งรอบ ครบห้าสิบเหรียญ แม่เฒ่าจางไม่ได้เอาเปรียบนาง
-----