“ท่านพูดจริงเหรอเ้าคะ ที่ว่าจะยกข้าขึ้นเป็ฮูหยินเทียบเท่ากับซูซิน” น้ำเสียงของนางเริ่มใจอ่อน ก่อนใต้เท้าหลี่จะพยักหน้า แล้วดึงร่างเล็กเข้าไปสวมกอด ท่ามกลางสายตาสั่นไหวของฟางเหมย จะสัดส่ายไปมาด้วยความหวาดหวั่น
‘เหตุใดท่านแม่กับใต้เท้าหลี่จึงทำเช่นนี้...หากเื่นี้รู้ไปถึงซินหยางล่ะก็...ท่านแม่กับข้าต้องตายแน่ ๆ’ นางอุทานด้วยความหวาดหวั่น หญิงสาวกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ไม่มีแรงก้าวเท้าเดินต่อ ดวงตากลมสัดส่ายไปมาอย่างไม่ยอมรับความจริง ขณะที่หิมะยังคงร่วงลงมาไม่ขาดสาย ทว่าความหนาวเหน็บไม่อาจทำให้ฟางเหมยสั่นสะท้านได้ ความคิดและความหวาดหวั่นถาโถมเข้ามาในเวลาเดียวกัน ก่อนด้านมืดในใจ จะทำให้ฟางเหมยหลุดยิ้มเมื่อคิดบางอย่างขึ้นมาได้
‘แต่เหตุใดข้าต้องกังวล...หากท่านแม่ได้เป็ฮูหยินรองของสกุลหลี่ ข้าก็มีฐานะไม่ต่างจากซินหยาง ไปที่ใดก็จะมีแต่คนนับหน้าถือตา ไม่ถูกมองด้วยสายตาเหยียดหยาม ไม่ต้องเป็รองซินหยางอีกต่อไป ไยข้าต้องหวาดหวั่น!’ สิ้นความคิด ฟางเหมยก็สลัดความกลัวออกจากใจ ตั้งมั่นเดินตามความ้าของตัวเอง ที่เคยใฝ่ฝันว่าต้องมีจวนหลังใหญ่ มีบ่าวรับใช้คอยดูแล เป็ที่ยอมรับของทุกคน หญิงสาวยกยิ้ม แล้วเบี่ยงตัวเดินกลับเข้าห้องไปอย่างเงียบ ๆ
หลังจากนั้นราวสองเดือน สกุลหลี่ก็ต้องลุกเป็ไฟ เมื่อฮูหยินซูซินจับได้คาหนังคาเขา ว่าเพื่อนรักอย่างเซิ่นหลานและสามี ลอบมีสัมพันธ์กัน เสียงโวยวายดังลั่นมาจากห้องนอนของเซิ่นหลาน ทำให้ซินหยางที่กำลังนั่งนับเงินใส่หีบรีบวางมือ แล้วลุกขึ้นยืน พลันหันไปยังบ่าวไพร่ที่อยู่บริเวณนั้น
“เกิดอันใดขึ้น”
“เสียงของฮูหยินเ้าค่ะ ดังมาจากห้องของแม่นางเซิ่นหลาน” ซินหยางจำได้ว่าเสียงกรีดร้องนั้นเป็ของมารดา นางรีบเก็บของทุกอย่างเข้าที่ แล้วมุ่งตรงไปยังห้องของเซิ่นหลานในทันทีไม่รอช้า
เพียงแค่ก้าวเท้าเข้าไปในห้อง พบกับอาหารที่มารดาเพิ่งถือเข้ามากระจายเต็มพื้น เสียงของซูซินยังสะอื้นไห้แทบขาดใจ
“ท่านแม่เกิดอันใดขึ้น” ยังไม่ทันสิ้นคำถาม สายตาของซินหยางก็เลื่อนไปยังเตียงนอน พลันเบิกตากว้างหัวใจแทบหยุดเต้น เมื่อเห็นบิดาและเซิ่นหลานนั่งอยู่บนเตียงด้วยตัวเปลือยเปล่าไร้อาภรณ์สวมใส่ คำถามมากมายวนเวียนในหัว ทว่าไม่มีแรงจะเอ่ยถาม เมื่อภาพชัดเจนแทนคำตอบทุกอย่าง
“นังสารเลว!” ซินหยางขยับปากแล้วหลุดพูด ขณะที่ซูซินยังคงร้องไห้ออกมาด้วยความเ็ป เมื่อเห็นสามีและเพื่อนรักนอนร่วมเตียงเดียวกัน
“ฟังข้าก่อน!” เซิ่นหลานพยายามอธิบาย หากแต่ความโกรธของซินหยางปะทุขึ้นอย่างขาดสติ สองเท้าจ้ำอ้าวไปดึงศีรษะของเซิ่นหลานออกมา พลันฟาดมือลงไปยังใบหน้าของเซิ่นหลานหลายครั้ง ก่อนนางจะทิ้งตัวลงบนพื้นในลักษณะเปลือยเปล่า ใต้เท้าหลี่ที่กำลังสับสนอยู่ชะงักนิ่ง มองดูซินหยางตบตีเซิ่นหลานอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนฝีเท้าของฟางเหมยจะรีบวิ่งเข้ามาผลักซินหยางออกจากมารดา ก่อนนางจะดึงผ้าห่มมาคลุมกายให้หญิงกลางคนด้วยความรีบร้อน
“ชั่วช้า!” เสียงด่าของซินหยางดังลอดออกมาจากห้อง ก่อนซูซินจะดึงตัวลูกสาวออก ทว่านางสะบัดตัวออกจากมารดา แล้วปรี่เข้าไปกระชากร่างของเซิ่นหลานอีกครั้ง ทว่าคราวนี้ฟางเหมยไม่อาจทนได้ นางเดินมาดักหน้าไว้ จับจ้องมองซินหยางอย่างไม่ยอมแพ้
“หากเ้าทำร้ายแม่ข้าอีกครั้งเดียว อย่าหาว่าข้าไม่เตือน!” ซินหยางทอดสายตาสั่นไหวมองไปยังฟางเหมย แล้วพูดบางอย่างออกมา
“เ้ารู้หรือไม่ ว่าแม่ของเ้า ทำชั่วช้ากับครอบครัวข้า!” ฟางเหมยยกยิ้ม
“ตอนนี้ แม่ของข้าเป็เมียใต้เท้าหลี่ ย่อมมีฐานะเป็ฮูหยินรองของสกุลหลี่ เ้าจะโวยวายไปให้ได้อะไรขึ้นมา ไม่กลัวอับอายต่อหน้าบ่าวไพร่งั้นรึ” ซินหยางได้ยินดังนั้น ก็ฟาดมือไปที่หน้าของอีกฝ่าย เมื่อเห็นว่าไม่มีท่าทีสำนึกผิด ฟางเหมยจึงตอบโต้กลับ ทว่าด้วยแรงของซินหยางที่เต็มไปด้วยความโกรธ จับมือของฟางเหมยไว้ได้ทัน ก่อนจะตบอีกฝ่ายลงไปกองที่พื้นรวมกับมารดา
น้ำตาของซินหยางเอ่อขึ้น ด้วยความผิดหวังอย่างถึงที่สุด เลื่อนสายตามองไปยังบิดาที่นางเคารพรัก พลันพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“เหตุใดท่านพ่อจึงทำกับท่านแม่เช่นนี้ อะไรเข้าสิงกายท่านพ่อ จึงทำสิ่งไม่ควรเช่นนี้ในจวนของเรา!” ใต้เท้าหลี่ค่อย ๆ ได้สติ เขาหันไปหยิบเสื้อ มาคลุมตัวแล้วลุกขึ้นจากเตียง เดินตรงมายังซินหยางและซูซินด้วยความรู้สึกผิด ทว่าสายตาของใต้เท้าหลี่ในตอนนี้เหลือบมองสองแม่ลูกที่นั่งอยู่กับพื้น คล้ายอาลัยอาวรณ์ผิดกับนิสัยเดิมเป็อย่างมาก
“ข้าจะให้บ่าวโบยพวกมันคนละสามสิบที แล้วไล่ให้พวกมันพ้นจวนเราไป!” ซินหยางพูดจบ ก็หันใบหน้าเปื้อนน้ำตากลับมายังสองแม่ลูกอีกครั้ง ด้วยความผิดหวัง
“ยามที่พวกเ้าลำบาก ข้าโง่เขลาเห็นแก่ความสัมพันธ์อันดี มอบความสุขสบายให้พวกเ้าสองแม่ลูก แต่พวกเ้ากลับตอบแทนเช่นนี้! เลวทรามต่ำช้าเป็ที่สุด! พวกเ้าไม่สมควรอยู่ที่จวนสกุลหลี่อีกต่อไป!” สิ้นเสียงของซินหยาง ใต้เท้าหลี่ก็ก้มหน้าลงช้า ๆ แล้วตัดสินใจพูดบางอย่างกับทุกคนด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
