ทั้งสามเดินตามกันเข้าไปในประตูใหญ่ของจวนเยี่ยน แน่นอนว่ามีบ่าวรับใช้ที่รอรับรองอย่างกระตือรือร้น รีบมานำทางอาจารย์อวี้เข้าไปยังโถงบุปผาที่จัดไว้เพื่อเขาโดยเฉพาะ อีกด้านหนึ่งเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วและเยวี่ยเจาหรานก็เดินคอตกตามมาอยู่ข้างหลัง เหมือนนักเรียนที่ทำความผิดมาอย่างไรอย่างนั้น
เมื่อก้าวเข้าสู่ประตูของโถงบุปผา อาจารย์อวี้ก็พาตัวเองไปนั่งที่ตำแหน่งประธาน การกระทำนั้นยั่วโทสะของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วอย่างมาก โชคดีที่มีเยวี่ยเจาหรานลอบออกแรงดึงอยู่ข้างๆ จึงยับยั้งอารมณ์หุนหันพลันแล่นของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วลงได้บ้าง
ด้วยความพยายามของเยวี่ยเจาหราน เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็นั่งลงบนที่นั่งข้างๆ อย่างว่าง่าย เยวี่ยเจาหรานมองซ้ายมองขวาเล็กน้อย ยกมือสั่งให้คนยกชามา แล้วประคองส่งให้อาจารย์อวี้ด้วยตนเอง คำนับเสร็จก็ถอยหลังออกมาแล้วเอ่ยเสียงเนิบนาบ “ท่านอาจารย์อวี้เดินทางมาไกลลำบากแล้ว นี่เป็ชาหลงจิ่งก่อนฝน [1] ที่เก็บใหม่ในปีนี้ ไม่ทราบว่าท่านจะดื่มได้หรือไม่”
ว่ากันว่าชาหลงจิ่งก่อนฝนชั้นหนึ่งนี้ ที่ใช้ในจวนแม่ทัพใหญ่เยี่ยนนั้นนับว่าเป็ระดับที่สามารถใช้ในวังหลวงได้เลยทีเดียว ไม่มีทางทำให้อาจารย์อวี้ผู้นี้เสียหน้าอย่างแน่นอน ต่อให้เขาจะมากสามารถแค่ไหนก็เป็เพียงแค่อาจารย์ส่วนตัวผู้หนึ่ง ย่อมเข้าใจฐานะของตน รับรองด้วยชานี้ก็นับว่าเป็การให้เกียรติอย่างมากแล้ว
แต่เขากลับยังหยิ่งทะนง ไม่มองชานั้นอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย
อาจารย์อวี้ส่งเสียงอืมออกมาคำหนึ่ง แล้วถือถ้วยชาขึ้นมาจิบเบาๆ น้ำเสียงสงบนิ่ง ทั้งยังแฝงความเฉยเมย “ก่อนฝนนับว่าชั้นยอด ทว่าก่อนิจึงจะนับว่าล้ำค่า ชาไม่เลว แต่เครื่องใช้ด้อยไปสักหน่อย”
เมื่อคำพูดนั้นเอ่ยออกมา ก็ทำให้เยวี่ยเจาหรานที่เคารพกฎมารยาทเริ่มขุ่นเคืองขึ้นบ้างแล้ว แต่อย่างไรอาจารย์อวี้ผู้นี้ก็เป็ผู้ที่ฮ่องเต้บัญชามาด้วยพระองค์เอง นอกจากนี้ ถึงอย่างไร ‘เยี่ยนอวิ๋นเฟย’ เ้าบ้านในนามของตนก็ต้องเรียกเขาว่าอาจารย์ แบกชื่อพี่ชายเอาไว้ย่อมไม่อาจหักหน้าเขาตรงๆ ได้ จึงต้องอดทนอดกลั้นเอาไว้ ไม่อาจระบายออกมา
“ท่านอาจารย์อวี้ช่างรอบรู้เื่ชา ชนรุ่นหลังอย่างข้าเองที่อวดดี” เยวี่ยเจาหรานยิ้มอย่างขออภัยไปด้วย จากนั้นเขาก็ถอยกลับอย่างช้าๆ แต่กลับได้ยินเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่อยู่ข้างๆ ส่งเสียงแค่นหัวเราะอย่างไม่แยแส แล้วเอ่ยอย่างเ็าอีกครั้ง “ก็นั่นน่ะสิ ในเมื่อท่านอาจารย์อวี้เองก็รู้ว่าชาก่อนิเป็สิ่งล้ำค่า เช่นนั้นของล้ำค่าก็ย่อมต้องให้ผู้ที่คู่ควรดื่มสิ ท่านว่าถูกหรือไม่? ไม่เช่นนั้นชาดีก็เสียของหมด!”
เยวี่ยเจาหรานถอยไปข้างกายเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วได้ทันเวลา เขาดึงแขนเสื้อของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเบาๆ เพื่อบอกนางไม่ให้พูดมากไปกว่านี้ เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเบะปาก แล้วไม่เอ่ยอะไรอีก
“ใช่แล้ว ชานั้นมีจิติญญา คนที่คู่ควรเท่านั้นจึงจะได้ดื่ม หากคนไม่รู้แสร้งทำเป็รู้ก็ทำได้แค่ดื่มอย่างวัว [2] ต่อให้ชาดีแค่ไหนก็ได้แต่เสียรสชาติเท่านั้น”
แม้คำพูดของทางฝั่งเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วจะฟังไม่ไพเราะ แต่อาจารย์อวี้ที่นั่งสูงตระหง่านอยู่นั้นกลับยังหน้าไม่เปลี่ยนสี ราวกับแสดงได้แต่สีหน้าที่เหมือนเป็อัมพาตเช่นนี้ได้เท่านั้น ทั้งยังเอ่ยคำพูดได้อย่างเหมาะเจาะ เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วคิดว่าเขาคงเกรงกลัวตนจนไม่กล้าเอ่ยปากตอบโต้ ยิ่งคิดก็ยิ่งลำพองใจ ไม่อาจซ่อนรอยยิ้มบนใบหน้าไว้ได้
ไม่นึกว่าน้ำเสียงของอาจารย์อวี้จะไปเปลี่ยนอย่างไม่คาดคิด เขาเสริมขึ้นทิ้งท้าย “แม้ว่าเงินทองฐานะจะซื้อหาชาชั้นดีมาได้ แต่เมื่อลงท้องขุนศึกห่าม ก็กลายเป็มูลที่ไร้ค่า น่าเสียดาย น่าเสียดาย”
“เ้า...!” แม้ว่าเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเรียนหนังสือมาไม่มาก แต่คำพูดที่ด่าคนทั้งครอบครัวชัดเจนเช่นนี้จะฟังไม่ออกได้อย่างไร? นางตบโต๊ะลุกขึ้นทันที ยกมือขึ้นชี้ไปที่อาจารย์อวี้และกำลังจะต่อว่าด่าทออย่างดุเดือด ทำให้เยวี่ยเจาหรานต้องรีบร้อนเกลี้ยกล่อมอย่างเต็มที่อีกครั้ง
อาจารย์ผู้นี้กับเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว เดิมทีก็เป็คนที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เป็ดวงชะตาที่เข้ากันไม่ได้ ใครมองใครก็ไม่รื่นหูรื่นตา ไม่รู้ว่าฮ่องเต้เหตุใดจึงมีดัชนีทองคำเช่นนี้ เพียงชี้นิ้วก็สั่งคนที่ต่างกันสุดขั้วมาอยู่ในหลุมเดียวกันได้...
ทางฝั่งเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วถูกเกลี้ยกล่อมจนนั่งลงอีกครั้ง แต่พริบตาอาจารย์อวี้ผู้นั้นก็หาเื่ขึ้นมาอีก เขากระแอมเบาๆ และพูดด้วยใบหน้าที่ดูเป็ธรรมชาติ “วันนี้เมื่อข้ามาถึงจวนเยี่ยน ก็นับว่าเป็อาจารย์ของคุณชายเยี่ยนอย่างเป็ทางการแล้ว เล่าเรียนคารวะขงจื่อ คารวะอาจารย์ [3] นี่เป็ประเพณีที่มีมาช้านาน”
คำพูดนั้นหมายความว่าอะไรกัน? เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วตวัดสายตามองไปยังอาจารย์อวี้ ‘ผู้สูงส่ง’ อย่างไม่เข้าใจระคนหยามเหยียด เผยความเคลือบแคลงออกมาอย่างชัดเจน
เยวี่ยเจาหรานกลับเข้าใจความหมายของเขา เอ่ยในใจ… ไม่ได้การ ต้องเกิดความวุ่นวายขึ้นมาอีกแน่
“เอาล่ะ คุณชายเยี่ยนอวิ๋นเฟย คารวะอาจารย์เสีย” อาจารย์อวี้สะบัดแขนเสื้อ ปลายนิ้วชี้ไปยังเบื้องหน้าของตน สื่อให้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเริ่มพิธีคารวะอาจารย์ั้แ่บัดนี้
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วลุกขึ้นมาจากที่นั่งทันที นางโกรธจนขำ แล้วก็หัวเราะออกมาจริงๆ “คารวะอาจารย์? คารวะเ้าน่ะหรือ?” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วนั้นรำคาญบัณฑิตปัญญาชนมาั้แ่ไหนแต่ไร โดยเฉพาะเมื่อเจอกับอาจารย์อวี้ผู้หยิ่งยโสเข้ากระดูกขนาดนี้ก็ยิ่งขัดหูขัดตา นางจึงสวนขึ้นมาอย่างไร้กาลเทศะ ไม่มียั้งคิดเลยแม้แต่น้อย
อาจารย์ก็ยังไม่โกรธเคือง เพียงแค่พยักหน้าอย่างเฉยเมย ส่งเสียงอืมทุ่มต่ำคำหนึ่ง แล้วก็ไม่มีความเคลื่อนไหวอื่นใดอีก
เยวี่ยเจาหรานที่ราวกับมีม้าเป็พันหมื่นตัวควบวิ่งอยู่ในใจ ก็ตกตะลึงจนไม่กล้าเอ่ยปากพูด เพียงแค่ฟังเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วแค่นเสียงเฮอะอย่างเ็าแล้วชี้ไปที่พื้น นางเอ่ยเสียงเย็น “ข้าผู้นี้คารวะฟ้าดินคารวะพ่อแม่ เ้าเป็อาจารย์หน้าไหนถึงมาสั่งให้ข้าคุกเข่า? ฝันไปเถอะ!”
เมื่อพูดจบก็สะบัดแขนเสื้อจากไป ไม่รั้งรอแม้ชั่วครู่
เดิมทีเยวี่ยเจาหรานก็คิดว่าเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วนั้นโมโหก็ส่วนโมโห ถึงอย่างไรก็ต้องรักษาภาพลักษณ์ ให้เกียรติซึ่งกันและกัน แต่กลับคาดไม่ถึงว่านางจะเดือดดาลเช่นนี้จริงๆ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับอาจารย์เพียงลำพัง เขาก็พลันยืนขึ้นอย่างลนลาน มองซ้ายทีขวาที กลับเห็นเพียงเงาหลังที่จรลีจากไปของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว และสีหน้าที่เฉยเมยไม่ยี่หระของอาจารย์อวี้
“ท่านอาจารย์อวี้ คือว่า...” เยวี่ยเจาหรานเพียงกำลังจะเอ่ยปากอธิบายแทนเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว กลับถูกหยุดลงด้วยสายตาของอาจารย์ เมื่อมองไปยังอารมณ์บนใบหน้าอันลึกล้ำยากหยั่งถึงของอาจารย์อวี้ที่นั่งอยู่นั้น เยวี่ยเจาหรานพลันเป็กังวลแทนเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล อาจารย์อวี้ผู้นี้ น่ากลัวว่าคงจะไม่ธรรมดาอย่างที่คิดเอาไว้เสียแล้ว...
หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก็ไม่มีเวลาเหลือมากนัก เยวี่ยเจาหรานยกมือเรียกสาวใช้มาสองคน แล้วเอ่ยอย่างขออภัยกับอาจารย์อวี้ด้วยรอยยิ้ม “วันนี้ท่านเองก็เหนื่อยมากแล้ว เชิญกลับไปพักผ่อนที่ห้องก่อนเถิดเ้าค่ะ”
เดิมทีเขานึกว่าอาจารย์อวี้คงไม่ปล่อยตนง่ายๆ แน่ คาดไม่ถึงว่าเมื่อเขาดื่มชาหมดถ้วยก็ลุกขึ้นอย่างว่าง่าย ปัดเสื้อผ้าที่เดิมก็ไม่มีฝุ่นสักนิด พยักหน้าแล้วเดินตามสาวใช้จากไปโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนเลย
ไม่ธรรมดา ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ มองเห็นแผ่นหลังของอาจารย์อวี้ค่อยๆ ห่างไกลออกไป ในใจของเยวี่ยเจาหรานพลันยิ่งมั่นใจในความคิดของตน สามารถเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ได้โดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยน แม้จะเห็นูเาไท่ซานพังทลายลงตรงหน้าก็ตาม [4] คุณสมบัติของจิตใจเช่นนี้ ย่อมไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปจะสามารถฝึกฝนได้ในสามปีห้าปีแน่นอน
ความสุขุมและมั่นใจเช่นนี้ จำเป็ต้องมีความสามารถอย่างแท้จริง จึงจะไร้ซึ่งความหวั่นเกรงได้ นอกจากนี้ อาจารย์อวี้ก็เป็ผู้ที่ฮ่องเต้เลือกมาด้วยพระองค์เอง คิดดูแล้ว เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของท่านผู้นี้อย่างแน่นอน...
ส่งคนกลับไปแล้ว เยวี่ยเจาหรานก็ไม่คิดจะรั้งอยู่ต่อ จึงสั่งให้คนมาเก็บกวาดความวุ่นวาย แล้วพาตัวเองกลับเรือนไปหาเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเพื่อหารือวิธีการรับมือทันที
เชิงอรรถ
[1] ชาหลงจิ่งก่อนฝน (雨前龙井) ชาหลงจิ่งเป็ชาชั้นยอดที่มีชื่อเสียงและเป็ที่นิยมอย่างมากมาั้แ่สมัยก่อน ชาหลงจิ่งจะมีการเก็บเกี่ยว 2 รอบคือ ่ก่อนชิงิ/เช็งเม้ง (่ก่อนหรือต้นฤดูใบไม้ผลิ) และ่ก่อนฝน ว่ากันว่าชาหลงจิ่งก่อนฝนนั้นชั้นยอด แต่ชาหลงจิ่งก่อนิ (明前龙井) นั้นล้ำเลิศยิ่งกว่า
[2] ดื่มอย่างวัว (牛饮) กระดกดื่มอึกใหญ่เหมือนกับวัว
[3] คารวะขงจื่อ คารวะอาจารย์ (拜孔子、拜师尊) เป็พิธีไหว้ครู (拜师礼) ของในจีนสมัยก่อน
[4] ไท่ซานทลายลงตรงหน้าสีหน้าก็ไม่เปลี่ยน กวางปรากฏมาข้างกายตาก็ไม่กะพริบ (泰山崩于前而色不变,麋鹿兴于左而目不瞬) หมายถึงคนที่มีจิตใจสงบนิ่ง ไม่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอก ไม่ตื่นตระหนกแม้เกิดเหตุอันไม่คาดฝัน