บทที่ 125 เมืองชุยเสวี่ย
“พี่ซินเหยา หลังจากผ่านความยากลำบากทั้งหมดมา ในที่สุดข้าก็มาถึงแล้ว! ท่านต้องรอข้านะ!”
ฉู่อวิ๋นที่กำลังจะเข้าไปในเมืองก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
เขามองไปด้านข้างผ่านหน้าต่างรถ มองเห็นกำแพงเมืองที่สูงตระหง่าน สง่างดงามและมีบรรยากาศเคล้าโบราณ
เมืองชุยเสวี่ย เมืองระดับสองที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของราชวงศ์เซี่ยตะวันออก ครอบคลุมพื้นที่กว้างใหญ่มาก งดงามตระการตา เป็จุดตัดของถนนหลายสายทอดยาวไปทุกทิศทุกทาง และเป็เมืองที่ค่อนข้างเจริญรุ่งเรือง
สาเหตุที่เมืองใหญ่แห่งนี้ถูกเรียกว่า “ชุยเสวี่ย[1]” ไม่ใช่เพราะสภาพอากาศที่หนาวเย็น แต่เนื่องจากถูกปกครองโดยตระกูลโบราณ จึงได้ชื่อนี้มา
ตระกูลที่ทรงพลังนี้คือตระกูลเสวี่ย
ใน่ไม่กี่ปีที่ผ่านมาภายใต้การปกครองของตระกูลเสวี่ย เมืองชุยเสวี่ยได้กลายเป็เมืองการค้าขนาดใหญ่และเจริญรุ่งเรืองมากขึ้นเรื่อยๆ หากมีการจัดงานใหญ่ขึ้นที่นี่ ย่อมดึงดูดความสนใจจากใต้หล้าเป็แน่
เวลานี้ พระอาทิตย์สีแดงกำลังคล้อยตกไปทางทิศประจิม ห้วงเวลากลางคืนแขวนลอยอยู่บนฟ้า แต่รถม้าและผู้คนยังคงเข้าออกเมืองแห่งนี้อยู่เรื่อยๆ แลดูเจริญรุ่งเรืองและมีชีวิตชีวามากเหมือนเมืองที่ไม่เคยหลับใหล
“กึก--”
เสียงกีบม้าสั่นะเืท้องฟ้า คาราวานตระกูลเสวี่ยวิ่งผ่านร้านรวงไปตลอดทาง รถม้าและม้าศึกที่ควบขี่ทำให้ไม่มีใครกล้ายั่วยุพวกเขา
หลังจากนั้นไม่นาน ฉู่อวิ๋นก็พบโอกาสทอง ด้วยข้ออ้างที่จะปลีกตัวออกไป เขาจึงบอกเสวี่ยหรูเยียนว่าจะไปเดินเที่ยวสำรวจในตัวเมือง
นอกจากการตรวจสอบสภาพแวดล้อมเบื้องต้นของเมืองชุยเสวี่ยแล้ว เขายัง้าหน้ากากมาปิดหน้าด้วย เพราะผ้าคลุมหน้าในตอนนี้หยาบเกินไป สามารถเปิดเผยตัวตนของเขาได้ทุกเมื่อ
ในตอนแรก เสวี่ยหรูเยียนเสนอตัวหลายคราว่า้าติดตามไป แต่เมื่อได้เจอกับคำยืนกรานปฏิเสธของอวิ๋นชูจึงต้องยอมล่าถอย ก่อนจะบอกเขาว่าอย่าเดินนานเกินไป รีบกลับไปเป็แขกที่จวนของนาง โดยนางจะแจ้งที่ตั้งของจวนตระกูลเสวี่ยให้ทราบ
“เป็อิสระแล้ว!”
หลังจากที่คาราวานตระกูลเสวี่ยจากไป ฉู่อวิ๋นก็โล่งใจ ยืดตัวบิดี้เี แม่นางพวกนั้นสนใจในตัวเขามากจนเขาแทบทนไม่ไหว
ฉู่อวิ๋นเดินไปรอบๆ ตลาด รีบค้นหาร้านขายอาวุธที่ลึกลับที่สุด แล้วซื้อหน้ากากมาหนึ่งอัน
หน้ากากนี้ทำจากผลึกแร่สีดำ มีลายสลักากลป้องกันเอาไว้ มิอาจทำลายได้ แม้ถูกโจมตีก็บุบสลายได้ยาก รูปลักษณ์ดูสง่างามและแหลมคมเล็กน้อย แทบจะปิดหมดทั้งใบหน้า เผยให้เห็นเพียงสองตา ริมฝีปาก และคางเท่านั้น
หลังจากสวมหน้ากากผลึกแร่สีดำนี้แล้ว การจะปกปิดตัวตนก็ไม่ใช่เื่ยากอีกต่อไป ทั้งด้วยชุดหนังสัตว์ป่า และผมสีดำยุ่งเหยิง สภาพรอบตัวของเขาจึงดุร้าย ป่าเถื่อน เป็อิสระ และยิ่งใหญ่
แน่นอนว่าเขาค่อนข้างพอใจกับสิ่งนี้ และเริ่มเดินไปรอบๆ ตลาด เตรียมขายวัตถุิญญาที่รวบรวมมาจากในป่า และคิดจะหาซื้อกระบี่สักเล่ม
สถานที่นี้คับคั่งไปด้วยการสัญจร ผู้คนพลุกพล่าน เจริญรุ่งเรืองยิ่งนัก ผู้คนที่ผ่านไปมาก็ดูแข็งแกร่งจนเขาค่อนข้างประหลาดใจ
หลังจากเดินไปรอบๆ สักพัก เขาพบว่ามีนักรบขั้นมหาสมุทรรุ่นเยาว์จำนวนมากเดินผ่านไปมา พวกเขาทั้งหมดมีบุคลิกที่ทรงพลัง ซึ่งนั่นคือสิ่งที่เมืองเล็กๆ อย่างเมืองไป๋หยางไม่อาจเทียบได้
ตามที่คาดไว้ เหนือคนยังมีคน เหนือฟ้ายังมีฟ้า แม้แต่ขั้นมหาสมุทรก็เป็เพียงจุดเริ่มต้นของระดับขั้นพลังยุทธ์ เส้นทางสู่ความแข็งแกร่งนั้นยังอีกยาวไกล
แน่นอนว่า เครื่องแต่งกายแปลกๆ ของฉู่อวิ๋นดึงดูดความสนใจของผู้คนได้ไม่น้อย พวกเขาขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ สายตาส่อแววรังเกียจเล็กน้อยที่มีคนป่ามาปรากฏตัวในเมืองใหญ่แห่งนี้
เพราะอย่างไรเสีย ตระกูลโบราณที่ทรงพลังก็มีน้อยมาก ในความคิดของหลายๆ คน คนป่าก็ไม่ต่างจากคนบ้านนอก ไร้อารยธรรม เป็คนป่าเถื่อน
ฉู่อวิ๋นเพิกเฉยต่อสายตาเหยียดหยามเ่าั้ ครู่ต่อมา เขาก็มาที่ร้านขายโอสถขนาดกลางเพื่อขายวัตถุดิบยาที่รวบรวมมา
“นี่! ดูนั่นสิ นี่มันยุคไหนกัน? คนป่ากำลังทำการค้าล่ะ” แขกคนหนึ่งมีความสุข ชี้ไปที่ฉู่อวิ๋นและเยาะเย้ยเสียงดัง
“อย่าหัวเราะไป ไม่แน่ว่าคนป่าคนนั้นอาจจะได้ยินแล้วปรี่มาตีเ้าเอานะ!” แขกอีกคนล้อเลียนด้วยสีหน้าจริงจัง และทั้งคู่ก็หัวเราะออกมา
เมื่อถูกสองคนนี้ล้อเลียน ทุกคนในร้านขายโอสถก็อดไม่ได้ที่จะมองดูฉู่อวิ๋นอย่างเหยียดหยาม
บางคนถึงกับปิดจมูกและหัวเราะเสียงดัง “พวกเ้าสังเกตไหมว่าทันทีที่คนป่านั่นเข้ามาก็มีกลิ่นโชยออกมา? เขาเปื้อนอึเปื้อนฉี่สัตว์มาหรือเปล่า?”
เหล่าฝูงชนะเิเสียงหัวเราะออกมาอีกครั้ง
ฉู่อวิ๋นไม่สนใจพวกเขา มองทุกคนที่อยู่ด้านข้างอย่างสงบ เขาเดินไปที่โต๊ะคิดเงินแล้วเอ่ยกับชายชรา “เถ้าแก่ ข้า้าขายวัตถุดิบยา หากขายจำนวนมากจะได้ราคาดีหรือไม่?”
ชายชราดูถูกฉู่อวิ๋นอย่างเห็นได้ชัด ไม่แม้แต่จะมองเขาแล้วเอ่ยอย่างเ็า “ก็ต้องดูก่อนว่าเ้านำอะไรมาแลก สินค้าที่ดีย่อมมีราคาแพง แต่ถ้าเ้าพกดอกไม้ต้นไม้มาก็กลับไปเถอะ ร้านของเรามีชื่อเสียงเลื่องระบือ ไม่รับสินค้าด้อยคุณภาพ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนก็อดขำไม่ได้
“คนป่าคนนี้รู้หรือไม่ว่าวัตถุดิบยาคือสิ่งใด? หรือเขาจะเก็บพวกวัชพืชมาเป็สมบัติกัน?”
“เห็นเขาสวมหน้ากากโทรมๆ เช่นนั้น คงคิดอยากจับปลาในน้ำขุ่นเป็แน่ แต่ก็กลัวจะถูกจำได้! ฮ่าๆ!”
เสียงหัวเราะเยาะเย้ยดังมาจากรอบทิศ ทุกคนตื่นเต้นและมองมาตรงนี้ อยากเห็นฉู่อวิ๋นอับอายและถูกไล่ออกไป
“สิ่งที่ข้านำมาราคาไม่น่าจะถูกกระมัง?” ฉู่อวิ๋นไม่พูดอะไร กำลังครุ่นคิดบางอย่าง
“ว่าอย่างไร? ข้าเชี่ยวชาญในการระบุวัตถุดิบยาไม่น้อย อย่าแม้แต่จะคิดนำดอกไม้ต้นไม้เ้าออกมาให้ขายหน้าเชียว เลี่ยงไม่ให้ถูกเ้าหน้าที่หลวงเข้ามาไถ่ถาม เ้าก็ระวังตัวไว้หน่อยเถอะ”
เ้าของร้านเป็ชายชราที่มีท่าทางเย่อหยิ่ง เมื่อเห็นว่าฉู่อวิ๋นเงียบไปก็คิดว่าเขาเป็ไก่อ่อน ดังนั้นจึงใจร้อนขึ้นมาทันที ไม่อยากเสวนากับเขาอีกต่อไป
แต่ในยามนี้เอง ฉู่อวิ๋นยิ้มเบาๆ และพูดว่า “ข้ากำลังคิดว่าควรจะขายสักเท่าไหร่ ถ้ามันมากเกินไป เกรงว่าร้านของท่านจะไม่มีเงินพอจะจ่าย”
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้หลุดออกมา เ้าของร้านเฒ่าก็หัวเราะทั้งน้ำตาและตบโต๊ะ แขกคนอื่นๆ ก็ขำปากค้าง ต่างก็คิดว่านี่เป็การกระทำที่อุกอาจจริงๆ!
คนป่าไหนเลยจะมีสิ่งดีๆ ได้? เย่อหยิ่งได้ไร้สาระนัก มาบอกว่าปริมาณของสมุนไพรวัตถุดิบยามีมากจนเขาไม่สามารถจ่ายได้หรือ?
ชายชราเช็ดน้ำตา ยิ้มแล้วพูดว่า “ฮ่าๆ! ร้านเรามีสภาพคล่องมาก ข้าเกรงว่าเ้าจะรับไม่ได้...”
“ตึง!”
ก่อนที่ชายชราจะพูดจบ ก็มีเสียงหนึ่งดังออกมาให้เขาสะดุ้งใ
ในยามนี้ ทุกคนต่างตกตะลึง
ฉู่อวิ๋นหยิบถุงขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยวัตถุดิบยาออกมาจากวงแหวนอวกาศและโยนมันไปที่โต๊ะคิดเงิน เขาดูสงบนิ่งมาก ราวกับว่ากำลังทำเื่ทั่วๆ ไป
จากนั้น ก่อนที่จะจบลง เขาก็โยนถุงวัตถุดิบยาออกมาเพิ่มอีกทีละใบๆ จนกองเต็มโต๊ะเป็ูเา ภาพนั้นดูอัศจรรย์มาก
“ขายหมดนี่เลย ท่านเสนอราคามาได้ แต่หากเป็ของมีราคา ข้าจะเก็บไว้ใช้เอง” ฉู่อวิ๋นพูดเบาๆ พร้อมยกมือขึ้นกอดอก
ในเวลานี้ ทุกคนตกตะลึงและบางคนถึงกับนิ่งงัน คนป่าคนนี้เอาจริงหรือ? เขามีวัตถุดิบยามากมายขนาดนี้จริงหรือ?
แต่พวกเขาสงบลงอย่างรวดเร็ว ด้วยคิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็เพียงวัชพืช คงเข้าใจอะไรกันผิด กับแค่คนป่าคนหนึ่ง จะมีสิ่งดีๆ ได้อย่างไรกัน?
ชายชราเองก็ไม่เชื่อเช่นกัน เขาเปิดถุงยาใบหนึ่งออกด้วยความโมโหและค่อยๆ มองดู
แต่เมื่อเห็นสิ่งของข้างใน ชายชราก็ตกตะลึงในทันที ดวงตาของเขาเบิกโพลงและตัวสั่น “ให้ตายเถอะ! นี่มันอะไรกัน?! บุปผามนตร์น้ำแข็งดอกไม้? น้ำค้างทิพย์หนึ่งกา? หญ้าแก้วสีชาดหนึ่งถุง...”
“วันนี้พบโชคเข้าแล้วหรือ?! ข้าไม่เคยเห็นสมุนไพรพวกนี้เยอะขนาดนี้มาก่อนในชีวิต!”
ใบหน้าของชายชราแปรเปลี่ยนเป็สีแดง ดวงตาทอเป็ประกาย เขากำลังนับสมุนไพรต่างๆ ราวกับว่าค้นพบสมบัติ และวิ่งไปรอบๆ อย่างตื่นเต้นร้อนรน
หลายๆ คนเองก็ชะเง้อมองไปรอบๆ เพื่อระบุวัตถุดิบยา แต่ในทันทีนั้น พวกเขาทั้งหมดก็ตกตะลึงตัวแข็งทื่อ
วัตถุดิบยาเหล่านี้ล้วนเป็พืชพันธุ์ที่ล้ำค่ายิ่ง ทั่วไปแล้วไม่อาจหาพบได้ แต่ตอนนี้กลับถูกชายป่าผู้นี้โยนออกมาขาย น่าตกตะลึงเกินไปแล้ว
สมุนไพรพวกนี้เ้าคนป่านี่ปลูกขึ้นมาหรือ? ถึงเยอะขนาดนี้!
ในขณะนี้ เกิดความวุ่นวายขึ้นในร้านโอสถ การเยาะเย้ยถากถางหายสิ้น มุมมองของทุกคนต่อฉู่อวิ๋นเปลี่ยนไปอย่างมาก ซ้ำยังเปลี่ยนเป็้าทำความรู้จักกับเขาแทน พนันได้เลยว่าชายคนนี้ต้องเชี่ยวชาญในการปลูกวัตถุดิบยา!
หลังจากนั้นไม่นาน ชายชราก็นับเสร็จ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองฉู่อวิ๋น สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เขายิ้มอย่างสดใสที่สุดเท่าที่จะทำได้ เผยให้เห็นซี่ฟันที่หายไป
เขาพูดอย่างประจบประแจง “คุณชายท่านนี้ วัตถุดิบยาที่ท่านมีมีมูลค่าประมาณหนึ่งล้านห้าแสนเหรียญทอง ซึ่งก็คือหินิญญาหนึ่งพันห้าร้อยก้อน”
“แต่ก็บังเอิญเสียจริงที่เหรียญทองและหินิญญาที่หมุนเวียนอยู่ในร้านเราดูเหมือนจะ... จะไม่พอ ดังนั้น... ขอคุณชายกรุณารอสักครู่ได้หรือไม่ขอรับ?”
ในตอนท้ายของประโยค ใบหน้าของชายชราเปลี่ยนเป็สีแดง เขาอับอายมาก แน่นอนว่าฉู่อวิ๋นพูดถูก เขามีเงินไม่พอจะจ่ายจริงๆ
“เช่นนั้นก็ได้” ฉู่อวิ๋นรู้สึกว่ามันไม่สำคัญ จึงไม่ได้บังคับอะไร เขาหยิบถุงหนึ่งกลับมาแล้วพูดว่า “ถ้าเช่นนั้นก็ขายแค่สองถุงนี้ ข้ารีบ”
“อ๊ะ! นี่...นี่! คุณชายพิจารณาใหม่เถอะขอรับ! ไม่นาน ไม่นานข้าก็จะมอบหินิญญาทั้งหมดให้ท่านได้...” ชายชราแทบจะร้องไห้ เมื่อเห็นว่าถุงวัตถุดิบยาล้ำค่าถูกเก็บกลับไป เขาตัดใจไม่ได้ รู้สึกเหมือนเป็ดที่อยู่ในมือบินหนีออกไป
แต่ฉู่อวิ๋นก็ปฏิเสธที่จะรอ ชายชราจึงจำต้องจัดการเื่นี้ด้วยหน้าตาบูดบึ้ง และมอบหินิญญาแปดร้อยก้อนให้เขา ถุงยาที่บรรจุสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดได้ถูกพรากไปแล้ว
“หินิญญาแปดร้อยก้อน... อืม น่าจะยังซื้อสมบัติชั้นดีได้บ้าง” ฉู่อวิ๋นเก็บหินิญญา หันหลังกลับ และจากไปโดยไม่สนใจคำวิงวอนของชายชราที่อยู่ด้านหลัง
อย่างไรก็ตาม ถุงยานั้นเขาสามารถใช้เองได้ในอนาคตจึงไม่คิดจะขาย เขาทำเพียงเพื่อให้ชายชราที่ดูถูกคนอื่นได้เสียใจเท่านั้น
“คุณชายท่านนี้ ข้าเห็นว่าพร์ของท่านเต็มเปี่ยม พลังของท่านก็ไม่ธรรมดา ข้าอยากจะจัดงานเลี้ยงให้ท่าน เป็อย่างไร?”
“ท่านจอมยุทธ์ ทันทีที่เห็นท่าน ข้าก็รู้ได้ทันทีว่าท่านหล่อเหลายิ่งนัก ตัวข้าพอจะมีเงินสำรองอยู่บ้าง ไม่สู้ท่านขายถุงยานั้นให้ข้า…”
เมื่อเห็นฉู่อวิ๋นเตรียมออกเดินทาง แขกกลุ่มหนึ่งก็มารวมตัวกันรอบๆ เขา พร้อมกล่าวชมเชยและ้าใช้โอกาสนี้ทำความรู้จักกับเขา
ฉู่อวิ๋นพูดไม่ออก สีหน้าเ็ายิ่ง คนพวกนี้ป่วยหรือ? เขาสวมหน้ากากแต่บอกได้อย่างไรว่าเขาเต็มไปด้วยพร์และมีรูปร่างหน้าตาหล่อเหลา... พวกเขาพูดเื่ไร้สาระอยู่หรือ?
“ข้ายุ่งมาก วัตถุดิบยานั้นก็มีประโยชน์มาก หลีกไป”
ฉู่อวิ๋นพูดประชดและจากไปโดยไม่แสดงท่าทีจะสานต่อใดๆ เลย ปล่อยให้คนกลุ่มใหญ่ทุบอกกระทืบเท้า รู้สึกราวกับสูญเสียโอกาสในการผูกมิตรกับตระกูลที่เพาะปลูกสมุนไพร
พวกเขาตบหน้าตัวเอง รู้สึกเสียใจจริงๆ พวกเขาควรจะหยุดตัดสินผู้คนจากรูปลักษณ์ภายนอกเสียที!
…
หลังจากนั้นไม่นาน ฉู่อวิ๋นก็มาที่โรงกลั่นหลอมเพื่อขายสมบัติและหินแร่ที่พบในป่า
เนื่องจากในตอนนั้นเขากำลังรีบ จึงไม่ได้เจาะลึกเข้าไปในเส้นเืแร่และดินแดนแห่งจิติญญา ปริมาณแร่ที่มีจึงไม่เยอะนัก เขาขายมาได้เพียงหินิญญาสองร้อยก้อนเท่านั้น
จากนั้น ฉู่อวิ๋น้าซื้อกระบี่ที่เหมาะกับเขา อย่างไรเสียเมืองชุยเสวี่ยเองก็มีสายลับนับไม่ถ้วน เพื่อไม่ให้ดึงดูดความสนใจของตระกูลฉู่ จึงไม่อาจใช้กระบี่ชื่อยวนได้
ตอนนี้ สิ่งที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของเขาคือพลังปราณไฟหยาง ดังนั้นเขาจึงจำเป็ต้องเลือกสมบัติที่สลักลายาคุณลักษณะไฟ เพื่อที่เขาจะได้ใช้พลังปราณได้เต็มที่มากขึ้น
น่าเสียดายที่หลังจากค้นหามาระยะหนึ่ง ฉู่อวิ๋นก็ไม่พบกระบี่ที่้า ไม่ก็คุณภาพของกระบี่ต่ำเกินไป ไม่ก็มีคุณสมบัติที่ไม่ตรงกัน ซึ่งทำให้เขาผิดหวังเล็กน้อย
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานฟ้าก็มืด หลังจากพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว ฉู่อวิ๋นก็ตัดสินใจกลับไปที่จวนตระกูลเสวี่ยก่อน ค่อยซื้อกระบี่ในคราวหลัง เพราะอย่างไรเสียเขาก็ไม่รีบร้อนสักเท่าใด
แค่ฝ่ามือัพเนจรก็สามารถจัดการกับนักรบขั้นมหาสมุทรที่อ่อนแอกว่าได้ชั่วคราวแล้ว
----------
[1] โชยหิมะ