หลิวเต้าเซียงยิ้ม “ข้าแค่คิดว่าท่านย่าเอาแต่พะวงถึงเงินสองตำลึงนั่น บ้านเราเองก็ไม่ได้ซื้ออะไร สู้บอกกับท่านย่าไปตามตรงว่า ท่านพ่อใช้ไปกับการเรียนแล้วดีกว่า”
ทันทีที่จินตนาการถึงภาพที่หลิวฉีซื่อโกรธจนหัวฟัดหัวเหวี่ยง นางก็มีความสุขยิ่งนัก!
“อย่าเพิ่งพูดไปจะดีกว่า!” จางกุ้ยฮัวรู้สึกว่าหากหลิวฉีซื่อรู้เข้า ไม่แน่ว่าคงจะอาละวาดยกใหญ่อีก
เมื่อเห็นว่ามีความหวังที่จะแยกบ้าน นางจึงไม่อยากให้มันเกิดข้อผิดพลาดใดๆ
หลังจากคิดดู ก็เกรงว่าสองพี่น้องจะไม่เข้าใจ จึงเอ่ย “ถึงอย่างไรท่านพ่อของเ้าก็อายุปูนนี้แล้ว ไม่ได้รีบร้อนสอบถงเซิง เพราะมีสอบทุกปี สู้รออีกสักหน่อย พวกเ้าเองก็รู้ เมื่อคืนหลังจากนั้นก็ทะเลาะกันอีก ป้ารองเ้าโวยวายจะแยกบ้านอีกแล้ว”
ตอนนี้จางกุ้ยฮัวเองก็เข้าใจแล้วว่า ถึงอย่างไรหลิวฉีซื่อไม่ได้เห็นครอบครัวนางอยู่ในสายตา ตอนนี้ในมือนางมีเงิน จึงไม่กระวนกระวายใจ แม้ว่าจะแยกบ้าน ครอบครัวของนางก็ยังมีชีวิตที่ดีได้
หลิวเต้าเซียงมีความสุขและถามว่า “ท่านแม่ รู้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น?”
“ดูเหมือนว่าจะทะเลาะกันเื่เงิน หลานคนโตไม่แน่ใจว่าไปรู้มาจากไหนว่าลุงรองของเ้าได้เงินไปห้าตำลึง จึงทะเลาะกับจื้อเอ๋อร์ ต่อมาไม่รู้อย่างไรจึงโยงไปถึงเื่ของอาสี่ เดาว่าหลานคนโตเมื่อวานโมโหอย่างรุนแรง ตอนนี้ยังคงนอนไม่ตื่น”
จางกุ้ยฮัวตั้งตารอคอยให้แยกบ้านโดยเร็ว ด้วยเหตุนี้ เมื่อคืนขณะที่สะลึมสะลือ จู่ๆ ก็ได้ยินคำว่า ‘แยกบ้าน’ ดังขึ้นมาจากเรือนใหญ่ นางจึงสะดุ้งตื่น แล้วรีบสวมรองเท้าแอบเปิดประตูแล้วย่องไปฟังในเรือนใหญ่
แน่นอนว่า เื่แบบนี้นางไม่มีทางบอกสองพี่น้อง เพื่อไม่ให้พวกนางเลียนแบบในสิ่งที่ไม่ดี
เพียงแค่บอกว่าคนในเรือนใหญ่พูดคุยกันเสียงดังมาก นางจึงได้ยินรางๆ
“ในเมื่อเป็เช่นนี้ ก็อิงตามความเห็นของท่านแม่ เราจะยังไม่เอ่ยถึงเื่นี้” หลิวเต้าเซียงคิดว่าเติมไฟได้พอสมควรแล้ว นางตั้งใจให้ครอบครัวคนโตกับคนรองไปโวยวายเอง
จากนั้นทุกครอบครัวก็ตื่นขึ้น สามแม่ลูกที่อยู่ในครัวจึงไม่เอ่ยถึงเื่นี้อีก
ไม่นานนักกลิ่นหอมก็โชยออกมาจากครัว ยั่วยวนความอยากอาหาร
หลิวเฉี่ยวเอ๋อร์ยื่นศีรษะเข้ามาจากด้านนอก ยิ้มหวานแล้วเอ่ย “ลำบากป้าสามแล้ว เฮ้อ ั้แ่เล็กแม่ข้าก็ไม่เคยให้ข้าทำอะไรเหล่านี้ ข้ามีใจแต่ก็ช่วยอะไรป้าสามไม่ได้”
“ไม่ต้องให้เ้าช่วยหรอก เ้ารีบไปนั่งที่ห้องโถงเร็วเข้า อีกเดี๋ยวก็เสร็จแล้ว” จางกุ้ยฮัวเปิดฝาไม้ออก หยิบตะเกียบทรงยาวเคี่ยวบะหมี่ที่ต้มอยู่ในน้ำเดือด
เมื่อรู้สึกว่าเส้นกำลังดี จึงใช้ตะแกรงไม้ไผ่สานตักขึ้นมาแล้วใส่ในชาม ชิวเซียงใช้ทัพพีตักน้ำแกงในกะละมังไม้ราดลงไป แล้วโรยด้วยต้นหอม
หลิวเต้าเซียงช่วยยกชามไปห้องโถง
หลิววั่งกุ้ยที่กำลังหิวโหยเหลือบมองชามที่วางอยู่บนโต๊ะ พลันขมวดคิ้ว ใบหน้าบึ้งตึงและเอ่ยถาม “เต้าเซียง เหตุใดเนื้อจึงน้อยเช่นนี้ ท่านแม่บอกให้พวกเ้าไปซื้อเนื้อมาหนึ่งชั่งไม่ใช่หรือ? เหตุใดเครื่องปรุงเนื้อจึงน้อยเช่นนี้ เ้าแอบกินใช่หรือไม่?”
หลิวเต้าเซียงอยากจะตอบเขาเหลือเกินว่า เ้าคงป่วยหนักไม่เบาสินะ!
“ท่านย่าให้เงินแค่เก้าอีแปะ แล้วให้ซื้อเนื้อสามชั้น พี่สาวข้าจึงได้มาแค่ครึ่งชั่ง เงินแค่นั้น เนื้อก็ได้แค่นี้แล”
นางทำสีหน้าด้วยอารมณ์ประหนึ่งว่า อยากกินก็กิน ไม่อยากกินก็ไม่ต้องกิน
หลิววั่งกุ้ยคิดไม่ถึงว่าหลิวฉีซื่อจะให้เงินน้อยเช่นนี้จริงๆ แต่เขาก็ไม่ยอมรับว่าตนเองพูดผิด จึงเอ่ยอย่างอ้ำอึ้ง “เ้าเอาชามของข้ามา ขอเนื้อเยอะหน่อย”
หลิวเต้าเซียงตอบ แล้วเข้าไปในห้องครัวตักเนื้อให้เขาเยอะหน่อย ทว่าก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก เพียงแต่ตบตาเขาด้วยการเพิ่มไข่เส้นเข้าไป แล้วก็เนื้ออีกนิดเดียว
ให้ดูเหมือนว่าเพิ่มขึ้นไม่น้อย
ในไม่ช้า ทั้งครอบครัวก็แบ่งกันกินสองโต๊ะ ระหว่างนั้นได้ยินหลานชายหลายคนของหลิวฉีซื่อบ่นว่าได้เนื้อน้อย สองพี่น้องหลิวเต้าเซียงแสร้งทำหูทวนลม และกินของตนเองไป
หลิวฉีซื่อขายขี้หน้าบนโต๊ะอาหารั้แ่เช้า ตอนนี้จึงมองหลิวเต้าเซียงแล้วรู้สึกขวางหูขวางตายิ่งนัก
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว นางพบว่าการจะชี้นิ้วสั่งครอบครัวของหลิวเต้าเซียงนับวันก็ยิ่งยากขึ้น
“ท่านแม่ เทศกาลเก้าคู่ [1] อาจารย์ข้าบอกว่าจะพาพวกข้าไปเมืองฝู่เฉิงเพื่อพบปะมิตรสหาย” หลิววั่งกุ้ยวางถ้วยชามกับตะเกียบลง คำแรกที่พูดก็คือขอเงิน
“จะไปเมืองฝู่เฉิงอีกแล้วหรือ!” หลิวฉีซื่อนั้นตามใจบุตรชายคนสุดท้ายทุกอย่าง เมื่อได้ยินเขาบอกว่าจะไปกับอาจารย์ มีหรือจะไม่ยอมควักเงิน
“ใช่ ครั้งนี้มีเพียงข้าและสหายที่เรียนดีได้ไป ส่วนคนอื่นที่การเรียนแย่หรืออายุไม่ถึง จึงไม่ถูกเอ่ยถึง” คำตอบของหลิววั่งกุ้ยทำให้หลิวฉีซื่อพอใจมาก
เป็เช่นนี้แล บุตรชายที่นางคลอดออกมาไม่มีคนไหนแย่ ไม่เหมือนกับ…
นางหรี่ตาลง จากนั้นหันไปมองหลิววั่งกุ้ยด้วยสายตาอ่อนโยน ก่อนจะยิ้มแล้วเอ่ย “แม่รู้แล้ว อีกเดี๋ยวจะให้เงินค่าอาหารกับเ้า เ้าอยู่ที่สถาบันก็อย่าได้ประหยัด เหรินกุ้ย เ้าทำอาหารให้ดี แล้วส่งไปให้น้องสี่เ้ากินหน่อย ถึงอย่างไรก็แค่เพิ่มจำนวนคนกินก็เท่านั้น”
“ท่านแม่ ข้ารู้แล้ว” หลิวเหรินกุ้ยมีวิสัยทัศน์ มองการณ์ไกล จึงทำดีกับน้องชายคนนี้
อย่างน้อยในแง่ของอาหาร เขาก็ไม่เคยดูแลไม่ทั่วถึง เมื่อมีของอร่อยก็มักจะให้หลิวจื้อไฉที่อยู่สถาบันเดียวกันตามเขากลับมากินที่บ้านเช่า
แน่นอน บ้านซื่อเหอย่วนที่เขาเช่าจ่ายเพียงปีละสองตำลึง ไม่ใช่บ้านเอ้อร์จิ้นย่วนที่หลิวเต้าเซียงซื้อคราวที่แล้ว
หลังจากอาหารเช้า หลิวฉีซื่อก็เข้าห้อง ใช้ผ้าเช็ดหน้าห่อของแล้วยื่นให้หลิววั่งกุ้ย ห่อนั้นไม่ใหญ่นัก แต่ทุกคนต่างก็รู้ว่าด้านในต้องมีตำลึงเงินหรือไม่ก็ทองแดง
“เฮ้อ การเล่าเรียนก็ต้องใช้จ่ายมากเป็ธรรมดา ปีๆ หนึ่งหากไม่ใช่ต้องไปพบปะสหาย ก็ต้องมีสหายสักคนเชิญไปท่องเที่ยว โดยเฉพาะเทศกาล หากไม่มีของหิ้วไปด้วยก็คงไม่ดี ท่านย่า ท่านต้องให้อาสี่มากหน่อย”
คนที่เอ่ยปากหาใช่ใครอื่น เขาคือหลิวจื้อเซิ่งที่จู่โจมด้วยคำพูด
“โอ๊ย หลานคนโตของข้าช่างรู้เื่เสียจริง วางใจเถิด ต่อไปหากอาของเ้าได้ดี ย่อมไม่มีทางลืมพวกเ้าแน่” หลิวฉีซื่อชอบฟังคำพูดเช่นนี้ หลิวจื้อเซิ่งช่างพูดช่างจา บวกกับเขาคือหลานคนโต ในสายตาของหลิวฉีซื่อย่อมแตกต่างจากหลานคนอื่นๆ
หลิวจื้อเซิ่งทำท่าเหมือนได้รับการสั่งสอน จึงหยอกล้อหลิววั่งกุ้ยอย่างมีความสุข “อาสี่ ต่อไปหากสอบติด อย่าได้ลืมหลานๆ นะขอรับ”
“แน่นอน ได้เลย เ้ากับจื้อไฉนั้นเล่าเรียนได้ดี ต่อไปหากข้าได้ดี ย่อมไม่มีทางทิ้งคนในครอบครัวไว้ข้างหลัง” ในสายตาของหลิววั่งกุ้ย นี่คือรุ่นหลังที่มีความสามารถอย่างยิ่ง
แต่สำหรับครอบครัวของหลิวซานกุ้ย หลิววั่งกุ้ยไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตา ครอบครัวที่ไม่มีบุตรชาย ต่อไปก็ต้องจบสิ้น ถึงแม้จะมีทรัพย์สมบัติ แต่นั่นก็ต้องถูกครอบครัวพี่น้องผู้ชายของพวกเขาแบ่งกันไป
เมื่อมองดูครอบครัวที่ชมเชยกันและกัน หลิวซานกุ้ยก็มีแต่ความเศร้าสลดที่พูดไม่ออก
นี่คือพี่น้องในความทรงจำของเขาหรือ?
น้องสี่ที่คอยหลบอยู่ข้างหลังเขาอย่างหวาดกลัวหายไปไหนแล้ว?
น้องสี่ที่คอยเกาะขากางเกงเขาแล้วร้องห่มร้องไห้หายไปไหนแล้ว?
พี่รองที่แก่นแก้วชอบให้เขาช่วยรับความผิด ต่อจากนั้นก็ยัดไข่ให้เขาสองใบหายไปไหนแล้ว?
พี่รองที่แอบสอนเขาเขียนหนังสือ หายไปไหนแล้ว?
นับั้แ่เมื่อไรที่พวกเขากีดกันเขาไว้อีกทาง?
หากจะบอกว่าไม่เสียใจก็คงเป็เื่โกหก เขาก็เป็พี่น้องกับคนเหล่านี้ ซึ่งเปรียบเสมือนมือซ้ายมือขวา ใครก็แยกพวกเขาจากกันไม่ได้
ั้แ่เมื่อไรที่ตัวเขาเองไม่ใช่พี่น้องในสายตาพวกเขาอีก?
หัวใจของหลิวซานกุ้ยมีแต่ความอัดอั้นตันใจ ราวกับความอบอ้าวในฤดูร้อนที่เกิดขึ้นก่อนพายุจะพัดโหมกระหน่ำ อัดอั้นจนทำให้ซี่โครงของเขาแทบโค้งออกมา!
ความเ็ปในใจทิ่มแทงอย่างหนัก!
ไม่ เขาไม่เชื่อ!
ดังนั้น เขาจึงพูดขึ้นว่า!
“ใช่สิ น้องสี่ต่อไปหากได้ดีคงช่วยอุ้มชูหลานสาวได้บ้าง” หลิวซานกุ้ยยังคงมีความหวังอยู่เล็กน้อยลึกลงไปในใจ คาดหวังว่าน้องชายที่เขารักและเอ็นดูมาั้แ่เยาว์วัย จะสามารถช่วยเกื้อหนุนหลานสาวของเขาบ้าง
หลิววั่งกุ้ยคิดไม่ถึงว่าหลิวซานกุ้ยจะพูดเช่นนี้ จึงเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม “ต่อไปหลานสาวต้องออกเรือน แม้ข้าอยากจะเกื้อหนุนก็เกรงว่าคงทำไม่ได้”
สิ่งที่เขาพูดคือความจริง แต่คำพูดนี้ช่างทำร้ายกันเหลือเกิน หากหลิววั่งกุ้ยเอ็นดูหลานสาวจริง อย่างน้อยก็ควรตอบว่าไม่มีปัญหา แต่ไม่ใช่การผลักหนีเช่นนี้
หลิวเต้าเซียงมองดูเขาด้วยสายตาเ็า นางไม่คิดว่าตัวเองจะพึ่งพาอาสี่คนนี้ในอนาคต การวาดหวังกับตัวอาสี่ที่ไม่เห็นพวกนางอยู่ในสายตา สู้ส่งเสริมให้ท่านพ่อไปสู่เส้นทางบัณฑิตยังดีเสียกว่า
อย่างน้อยก็ทำให้ท่านพ่อวางใจ สามพี่น้องเองก็จะได้มีที่พึ่งพาไม่ต้องกลัวผู้ใดรังแก
อืม นางคิดไกลเกินไปหรือเปล่า?
ในที่สุดครอบครัวของหลิวเหรินกุ้ยและหลิววั่งกุ้ยก็จากไป มนุษย์จิ๋วในใจหลิวเต้าเซียงดีใจจนต้องโปรยดอกไม้
สําหรับหลิวเฉี่ยวเอ๋อร์และหลิวจื้อเซิ่ง หลังจากที่คนในบ้านกลับไปชุดใหญ่ ทั้งสองก็สงบนิ่ง
วันเวลาต่อจากนั้น หลิวเต้าเซียงได้รับรู้หลายอย่างจากปากของหลิวเฉี่ยวเอ๋อร์ เื่การทะเลาะกันในคืนนั้น เกิดขึ้นเพราะหลิววั่งกุ้ย้าเงินจากหลิวฉีซื่อ ส่วนหลิวซุนซื่อที่อยู่ข้างๆ ก็รู้สึกว่าถึงอย่างไรตนเองก็ไม่ได้เป็ที่ชื่นชอบของหลิวฉีซื่ออยู่แล้ว จึงพร่ำบ่นว่าลูกทั้งสองเล่าเรียนไม่ง่ายดายเลย กระทั่งหมึกและพู่กันก็ต้องใช้อย่างประหยัด
เมื่อมีหลิวเหรินกุ้ยอยู่ด้วย หลิวจื้อไฉจึงไม่ต้องออกโรง เขาจึงร้องห่มร้องไห้และตัดพ้อว่าตนเองลำบากอย่างไร
ในเวลาเดียวกัน เขายังยกตัวอย่างมากมายของหลิววั่งกุ้ยเพื่อพิสูจน์ว่าการเล่าเรียนนั้นมีค่าใช้จ่ายจริงๆ ในขณะที่โน้มน้าวให้หลิวฉีซื่อเอาเงินให้หลิววั่งกุ้ย ก็โอดครวญว่าตนเองได้เงินเดือนมาไม่พอเลี้ยงลูกๆ
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ในที่สุดเขาก็เอ่ยกับหลิวฉีซื่อว่า ครึ่งปีที่แล้วเ้านายตรวจสอบบัญชีในโรงเตี๊ยม พบว่าค่าใช้จ่ายในโรงเตี๊ยมนั้นมีมาก ตอนนี้นายท่านจิ่ววันๆ นั่งอยู่ในโรงเตี๊ยมทุกวัน เขาอยากจะหยิบฉวยอะไรหน่อยก็ยากเย็นแสนเข็ญ การกินอยู่ของทั้งครอบครัวเขาจึงต้องแบกรับไว้คนเดียว
เขาสาธยายความทุกข์ยากและขอความเห็นใจต่อหน้าหลิวฉีซื่ออย่างต่อเนื่อง จนในที่สุดหลิวฉีซื่อก็หวั่นไหว หรือจะบอกว่า นางยินยอมมองดูหลิวจื้อไฉช่วยนางไขว่คว้าชื่อเสียงมาให้มากกว่านี้
หลิวเหรินกุ้ยต้องรีบร้อนใช้เงิน แต่ก็ลืมไปว่าด้านข้างยังมีหลิวจื้อเซิ่งอีกคน เขาจึงเห็นทุกอย่างอยู่ในสายตาและจดจำไว้ในใจ
หลิวเหรินกุ้ยไม่ได้ทะเลาะกับหลิววั่งกุ้ย ทั้งสองยังคงไปมาหาสู่กันในตำบล อย่างน้อยก็เรียกได้ว่าใส่กางเกงตัวเดียวกัน เมื่อหลิวเหรินกุ้ยโอดครวญว่ายากจน หลิววั่งกุ้ยก็ช่วยเขาพูดอีกทาง มิเช่นนั้นหลิวฉีซื่อไม่มีทางตอบรับโดยง่าย
หลิวฉีซื่อให้เงินหลิววั่งกุ้ย แล้วจะไม่ให้บุตรชายทั้งสองของหลิวเหรินกุ้ยได้อย่างไร ในขณะเดียวกันก็ยังมีเด็กน้อยของบุตรชายคนโตที่ยืนมองตาปริบๆ พอครบทั้งวงแล้ว กระเป๋าเงินของหลิวฉีซื่อก็ฟีบไปอีกไม่น้อย
นี่ทำให้หลิวจื้อเซิ่งเริ่มจับจุดได้ว่า เด็กที่ร้องไห้จึงจะมีนมให้กิน แต่รู้สึกว่าครอบครัวของตนนั้นอยู่ห่างไกลเกินไปหน่อย
-----
[1] เทศกาลเก้าคู่ หรือเทศกาลฉงหยาง 九九重阳节jiu jiu chong yang jie ซึ่งสังเกตได้ในวันที่เก้าของเดือนที่เก้าในปฏิทินจีน เป็วันหยุดตามประเพณีของจีนซึ่งกล่าวถึงในงานเขียนั้แ่ก่อนสมัยฮั่นตะวันออก คำว่าจิ่วจิ่ว 九九 ยังพ้องเสียงกับคำว่า 久久 ซึ่งหมายถึงความยืนยาว วันนี้จึงถือว่าเป็วันผู้สูงอายุอีกด้วย
