เมื่อเดินออกมาจากหอตำรา ฉินอวี่กลับพบกับกลุ่มคนที่ล้อมอยู่ทางด้านขวาของประตูหอตำรา มีแผ่นศิลาแผ่นหนึ่งตั้งอยู่ตรงด้านข้างประตูใหญ่ และมีศิษย์จำนวนมากกำลังมองดูแผ่นศิลาและจับกลุ่มพูดคุยกัน
“มีรายชื่อของศิษย์พี่หญิงฉู่บนแผ่นศิลาแล้ว แม้ว่าจะอยู่ด้านล่างสุด แต่อย่างน้อยที่สุดนางก็ต้องท่องจำตำราไปสองพันห้าร้อยเล่มแล้ว!”
“ระยะเวลาเพียงหนึ่งก้านธูปจดจำได้สองพันห้าร้อยเล่ม พลังความจำไม่ธรรมดาเลยจริงๆ?”
“ศิษย์พี่หญิงฉู่พยายามมาหลายครั้งแล้ว และหากเป็เช่นนี้ต่อไป อีกไม่นานนางคงจะสามารถท่องจำได้ถึงสามพันเล่ม และผ่านการทดสอบชั้นที่หนึ่งของผู้ดูแล”
...
ฉินอวี่แทรกเข้าไปในฝูงชน และมองดูแผ่นศิลาแผ่นใหญ่นั้นด้วยความสนใจ
แผ่นศิลานั้นมีความสูงสามจ้าง ชั้นบนสุดมีภาพมายาขนาดเท่าฝ่ามือ และภาพมายานี้ดูเหมือนจะเป็ภาพของคนกำลังนั่งขัดสมาธิ ใต้ภาพมายานั้นลงมา ล้วนเต็มไปด้วยรายชื่อของผู้คนที่เรียงรายติดต่อกัน
ฉินอวี่มองไล่ลงมาตลอดทั้งแผ่น จนถึงรายชื่อบริเวณล่างสุด “ฉู่เยว่ฉาน” แต่อักษรสามตัวนี้ของคำว่า “ฉู่เยว่ฉาน” ยังแตกต่างจากรายชื่ออื่นๆ อยู่ประการหนึ่ง นั่นก็คือ ตัวอักษรสามตัวนี้ยังคงลอยอยู่เหนือพื้นผิวแผ่นศิลา มิได้แกะสลักลงไปในเนื้อศิลา
“หากเป็ตามที่พวกเขาพูด หลังจากท่องจำตำราได้ไม่ต่ำกว่าสองพันห้าร้อยเล่มภายในระยะเวลาหนึ่งก้านธูป ก็จะมีรายชื่อปรากฏลอยอยู่บนแผ่นศิลา หรือจะพูดอีกย่างได้ว่า รายชื่อของผู้ดูแลหอตำรานับั้แ่ก่อตั้งสำนักยุทธ์ว่านจ้งมา จะต้องปรากฏอยู่บนแผ่นศิลานี้สินะ?” ฉินอวี่พึมพำกับตัวเอง
“สายตาของเขาจับจ้องไปยังรายชื่อแรกที่อยู่ใต้ภาพมายาภาพนั้นอีกครั้ง และไล่สายตาลงมาเรื่อยๆ
“หวังโฮ่วเต๋อ”
“หนีเฟิง”
“ตี้อวิ่นเทียน”
เมื่อมองลงมาเรื่อยๆ จนถึงตำแหน่งตรงกลางป้ายศิลา ฉินอวี่ก็ต้องใ
“หวงถิง!”
“เขา... เขาก็อยู่ในรายชื่อหรือ?” สีหน้าของฉินอวี่เริ่มแปลกไปทันที และนึกถึงอาจารย์ที่ที่ทำตัวไม่ค่อยน่านับถือคนนั้น ฉินอวี่ก็พูดอะไรไม่ออก เพราะนึกไม่ถึงว่าพลังความจำของเขาจะเป็ไปได้ถึงเพียงนี้
จากนั้น ฉินอวี่ก็ค่อยๆ มองลงมาทีละรายชื่อ
ในตำแหน่งด้านล่างของป้ายศิลา ฉินอวี่ก็พบกับรายชื่อที่คุ้นเคย
“สวี่โม่ชิง!”
นางหรือ? นางก็อยู่ในรายชื่อบนป้ายศิลาด้วยหรือ?
ฉินอวี่ประหลาดใจ ในตอนแรกที่บิดาของเขาได้พูดขึ้นมา ว่ามารดาของเขาและสวี่โม่ชิงมีความสนิทสนมกันมาก ในภายหน้าสามารถไปขอความช่วยเหลือจากนางได้ และตอนนี้ตนเองก็ยังมีป้ายคำสั่งของนางอยู่อีกด้วย
ฉินอวี่ยังคงมองต่อไป
จนกระทั่งถึงส่วนเกือบล่างสุดของป้ายศิลาก็พบตัวอักษรสองตัว “ลี่อวิ๋น” เมื่อเห็นชื่อนี้ เขาเดาได้ว่าคนผู้นี้คงจะเป็ผู้ดูแลลี่
“คนที่จะมีรายชื่อบนแผ่นศิลาได้ จะต้องท่องจำตำราได้สองพันห้าร้อยเล่มเป็อย่างน้อย และหากจะสลักชื่อของตนเองลงไปบนแผ่นศิลา พวกเขาต้องจดจำให้ได้อย่างน้อยสามพันเล่ม หากมองจากแผ่นศิลานี้ ในหลายปีมานี้สำนักยุทธ์ว่านจ้งมีผู้มีพร์อันอัจฉริยะเกิดขึ้นมากมายจริงๆ” ฉินอวี่พึมพำกับตนเอง และเมื่อได้เห็นแผ่นศิลาแผ่นนี้ เขาก็เริ่มรู้สึกว่าสำนักยุทธ์ว่านจ้งแห่งนี้ไม่ธรรมดาอย่างที่เขาเคยคิดไว้เสียแล้ว
“หากหวังชิงคัดลอกแบบแผนมาจากสำนักเทียนฉี จะต้องมีสำนักสายในอยู่เหนือสี่สายชีพจรขึ้นไปอีกระดับ จึงจะเป็ที่รวมของผู้มีพร์อันอัจฉริยะที่แท้จริง และจะต้องมีตำแหน่งของผู้สืบทอด ซึ่งนั่นนับเป็บุตรแห่ง์อันภาคภูมิของสำนักที่แท้จริง และมีโอกาสจะได้ขึ้นเป็เ้าสำนักต่อไป”
ขณะที่ฉินอวี่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ฉู่เยว่ฉานก็เดินออกมาจากประตูใหญ่ด้วยใบหน้าซีดเผือด
“ศิษย์พี่หญิงฉู่สู้ต่อไป อีกไม่นานเท่าไรท่านก็จะผ่านการทดสอบแรกแล้ว” มีศิษย์คนหนึ่งส่งเสียงให้กำลังใจฉู่เยว่ฉาน
ฉู่เยว่ฉานยิ้มอย่างเฉยเมย และไม่ได้พูดอะไรออกไป ก่อนจะเดินจากไปอย่างช้าๆ
“ท่านเก่งมากแล้วล่ะ” ขณะที่ฉู่เยว่ฉานกำลังเดินผ่านไป ฉินอวี่ก็พูดขึ้นมาทันที
ฉู่เย่วฉานนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเหลือบมองไปทางฉินอวี่ และพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ เดินออกไป
“ช้าก่อน ศิษย์พี่หญิงฉู่ ข้าขอถามอะไรท่านสักหน่อยได้หรือไม่?” ฉินอวี่รีบตามออกไป เขา้าจะถามเื่แต้มสนับสนุนสำนักและคำถามอื่นๆ อีกมากมาย และคิดว่าคงไม่มีใครเหมาะสมที่จะถามออกไปได้มากเท่าฉู่เยว่ฉานอีกแล้ว ในเมื่อเขาเป็ที่สนใจของคนระดับอัจฉริยะเช่นนี้ ฉินอวี่ย่อมไม่ปล่อยไปอย่างแน่นอน
ฉู่เยว่ฉานหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหันไปมองฉินอวี่ด้วยสายตาที่ดูมีชีวิตชีวา เมื่อนางเห็นการแสดงออกที่ตรงไปตรงมาและดวงตาที่เผยให้เห็นความจริงจังของฉินอวี่ ฉู่เยว่ฉานก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า
ฉินอวี่ยิ้มเล็กน้อย จากนั้นก็เดินตามฉู่เยว่ฉานไปข้างหน้าอย่างช้าๆ ในขณะที่ศิษย์คนอื่นต่างตกตะลึงจนอ้าปากค้าง จ้องมองไปทางฉินอวี่อย่างใ
“คางคก... ไม่สิ คางคกเน่าคิดจะกลืนกินหงส์ฟ้า เ้า... เ้าคนใกล้ตายกล้าเอื้อมสูงถึงเพียงนี้ ช่างหน้าไม่อายสิ้นดี”
“หน้าไม่อาย ไม่มียางอายจริงๆ”
“ใครๆ ต่างก็รู้ว่าฝูโจ้วบุตรแห่ง์ผู้ภาคภูมิอันดับหนึ่งของสำนักยุทธ์ว่านจ้ง หลงรักศิษย์พี่หญิงฉู่มาเป็เวลานาน... ดูเหมือนคนใกล้ตายผู้นี้คงจะมีอายุไม่ถึงสามปีแล้วจริงๆ”
“รนหาที่ตายจริงๆ เลยเชียว แม้ว่าศิษย์พี่หญิงฉู่จะเข้าถึงง่าย แต่ก็ไม่ใช่บุคคลที่คนใกล้ตายอย่างเขาจะใกล้ชิดได้? ข้าว่าไม่น่าจะถึงสามปี แค่ครึ่งปีก็ไม่รู้เขาจะยังมีชีวิตรอดได้หรือไม่...”
เสียงต่อว่า เสียงนินทา และเสียงอิจฉา ดังขึ้นตามหลังฉู่เยว่ฉานและฉินอวี่ที่กำลังเดินออกไป
ฉินอวี่ขมวดคิ้ว ได้ยินเสียงที่ดังมาจากด้านหลัง จากนั้นเขาก็เหลือบมองฉู่เยว่ฉาน และพูดขึ้น “ศิษย์พี่หญิงฉู่... นี่คงไม่ทำให้ท่านลำบากใจใช่หรือไม่?”
“ไม่เป็ไร ข้าบอกแล้วว่าข้าสามารถปกป้องเ้าได้ตลอดชีวิต เอาล่ะ เ้ามีอะไรที่ไม่เข้าใจ รีบถามมาเถอะ?” ฉู่เยว่ฉานพูดไปเดินไป
“เป็เพราะข้าไม่ได้จุดตะเกียงกรรม จึงดูเหมือนสายชีพจรหวงจะหลงลืมข้าไปแล้ว แม้แต่ป้ายคำสั่ง หรือเสื้อผ้าข้าก็ไม่มี และข้าก็เข้าไปใช้หอตำราได้สูงสุดเพียงชั้นที่หนึ่ง... แต่พวกเขาบอกว่าต้องใช้แต้มสนับสนุนของสำนัก ไม่ทราบว่าแต้มสนับสนุนสำนักต้องคำนวณเช่นไร?” ฉินอวี่กล่าวอย่างจริงใจ แต่กลับรู้สึกแปลกอย่างบอกไม่ถูก ปกป้องข้าตลอดชีวิต? เ้าแน่ใจหรือ?
“หากไม่ได้จุดตะเกียงกรรม ก็หมายถึงเ้ายังไม่ใช่ศิษย์ที่แท้จริงของสำนักยุทธ์ว่านจ้ง เป็เพราะจะต้องมีตะเกียงกรรมวางไว้ในหอบรรพชนของแต่ละสายชีพจรเท่านั้น จึงจะได้รับป้ายคำสั่ง เมื่อมีป้ายคำสั่งประจำตัวจึงจะได้รับทรัพยากรในการฝึกฝนและเสื้อผ้า ส่วนแต้มสนับสนุนสำนัก... ในสำนักแห่งนี้จะเทียบได้กับศิลาิญญา แต่จะมีมูลค่ามากกว่าศิลาิญญา และได้มายากยิ่งนัก”
“ยกตัวอย่างเช่น เ้าทำภารกิจของสำนักสำเร็จ จึงจะได้รับแต้มสนับสนุน และเ้ายังสามารถแลกเปลี่ยนเป็สิ่งต่างๆ ได้ อาทิ โอสถ เม็ดยาอสูร วัตถุดิบยา วัสดุการหลอมอาวุธ อาวุธิญญา ใบปรุงยา กลิญญาก็ได้เช่นกัน ในสำนักจะมีกฎในการแลกเปลี่ยนที่ระบุเอาไว้ ซึ่งไม่มีใครได้รับการยกเว้นทั้งสิ้น แม้แต่เ้าสำนักก็ตาม”
“แน่นอนว่าเ้ายังเปลี่ยนแต้มสนับสนุนของเ้าไปเป็สิ่งของที่้าจากภายในสำนักได้ อย่างไรก็ตาม ในสำนักแห่งนี้ แต้มสนับสนุนจึงมีประโยชน์กว่าศิลาิญญายิ่งนัก”
“แล้วอัตราการแลกเปลี่ยนเป็เช่นไร? อย่างเช่น... โอสถระดับสามหนึ่งเม็ด หรือระดับสี่หนึ่งเม็ดอะไรเช่นนี้?” ฉินอวี่ถามอย่างสงสัย
“หากยึดหลักว่าโอสถระดับสามจะแลกเปลี่ยนได้เพียงห้าแต้มเท่านั้น ดังนั้น โอสถระดับสี่น่าจะสามารถแลกแต้มสนับสนุนได้สิบแต้ม... แต่เช่นนี้ย่อมไม่คุ้มค่า หากมียอดฝีมือคนใดในสำนัก นำเงินรางวัลที่ได้รับมาแลกเปลี่ยนของที่จำเป็ แต้มสนับสนุนก็จะยิ่งมีมาก อาทิเช่น หากแลกกับสำนักอาจจะได้ห้าแต้ม แต่หากแลกกับบุคคล ก็อาจได้ถึงสิบแต้ม” ฉู่เยว่ฉานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ อธิบาย
ฉินอวี่ได้แต่พูดไม่ออก โอสถระดับสี่กลับแลกได้เพียงสิบแต้มเท่านั้นหรือ? นี่คือกฎเกณฑ์ที่หวังชิงวางเอาไว้หรือ? นี่มันหลอกลวงกันเกินไปหรือไม่
“เพียงแต่ หาก้าอาวุธิญญาทั่วไป เช่นอาวุธิญญาระดับสอง กลับใช้แค่สองแต้มเท่านั้น” ดูเหมือนว่าฉู่เยว่ฉานจะสังเกตเห็นท่าทีของฉินอวี่ จึงพูดเสริมขึ้นมา
“เื่นี้นับว่าไม่เลวเลย” ฉินอวี่พึมพำในใจ หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ฉินอวี่ก็ถามขึ้นอีกครั้ง “อ้อจริงสิ ศิษย์พี่หญิงฉู่ ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินมาว่าในหอบรรพชนของสำนักมีรูปภาพของที่... ปรมาจารย์ปู่หวังชิงทิ้งเอาไว้ด้วยตนเอง... ไม่ทราบว่าเป็เื่จริงหรือไม่?”
“มีแน่นอน แต่ข้าเองก็ไม่เคยไปที่นั่นเช่นกัน” ฉู่เยว่ฉานพยักหน้า
หัวใจของฉินอวี่รู้สึกสั่นไหว และพูดต่อไป “ข้ามีความเคารพต่อ... ปรมาจารย์หวังชิงเป็อย่างยิ่ง ศิษย์พี่หญิงฉู่พอจะทราบหรือไม่ว่าทำอย่างไรจึงจะได้ไปหอบรรพชน? ข้า... ข้าอยากเห็นผลงานของปรมาจารย์สักครั้งในชีวิต”
ฉู่เยว่ฉานหยุดลงชั่วครู่ ก่อนหันไปมองฉินอวี่ด้วยความสงสาร และได้แต่ถอนหายใจ “หากเป็หอบรรพชนประจำสายชีพจรต่างๆ ก็เข้าไปได้อย่างง่ายดาย แต่หากเป็หอบรรพชนประจำสำนัก ไม่อาจเป็ไปได้ในระยะเวลาอันสั้น เว้นเสียแต่ว่า...”
“เว้นเสียแต่ว่าอะไรหรือ?” ฉินอวี่กล่าวอย่างรวดเร็ว
ฉู่เยว่ฉานกัดริมฝีปากของนางเบาๆ รับรู้ได้ถึงความร้อนรนในดวงตาของฉินอวี่ และดูเหมือนจะหมดความอดทนเล็กน้อย หลังจากนิ่งไปครู่หนึ่ง นางก็พูดขึ้น “เว้นเสียแต่ว่า เ้าจะสามารถเข้าร่วมการคัดเลือกศิษย์รุ่นห้าในอีกสามปีข้างหน้าได้ แต่จะต้องโดดเด่น และขึ้นเป็สิบอันดับแรกด้วย เป็เพราะจะมีเพียงสิบอันดับแรกในสี่สายชีพจรเท่านั้นที่จะมีคุณสมบัติพอที่จะเข้าหอบรรพชน เพื่อกราบไหว้ปรมาจารย์ผู้บุกเบิกได้” พูดจบ ดวงตาของฉู่เยว่ฉานเปล่งประกายอย่างห้ามไม่ได้ และดูเหมือนว่าจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้
ฉินอวี่ตกตะลึง การจะเข้าไปหอบรรพชนยากขนาดนี้เชียวหรือ? ทั่วทั้งสำนักยุทธ์ว่านจ้งมีเพียงศิษย์สิบอันดับแรกของศิษย์รุ่นห้าเท่านั้นที่จะมีสิทธิ์?
เมื่อเห็นท่าทีใของฉินอวี่ ฉู่เยว่ฉานก็ถอนหายใจ “เ้าไม่ต้องกังวล หากข้าสามารถเป็ที่โดดเด่นและได้เข้าไป ข้าจะนำเื่ทั้งหมดในหอบรรพชนมาบอกเ้า... เพียงแต่ก่อนอื่น...” ฉู่เยว่ฉานหยุดลงกะทันหัน
หลักฐานที่นางพูดนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่า เขาต้องอาศัยอยู่ครบสามปีก่อน
สีหน้าของฉินอวี่นิ่งทื่อไปทันที เมื่อรู้สึกถึงสายตาของฉู่เยว่ฉาน ฉินอวี่ก็พูดไม่ออกอยู่ครู่ใหญ่ ทำไมเขาจะไม่เข้าใจความหมายที่อยู่ในคำพูดของฉู่เยว่ฉาน? หลังจากผ่านไปไม่นาน เขาก็สูดลมหายใจลึก ก่อนพูดออกไปด้วยดวงตาที่แน่วแน่ “ศิษย์พี่หญิงฉู่... ข้าจะต้องมีชีวิตอยู่เกินสามปีแน่นอน... หรืออาจจะนานกว่านั้น...”
ดวงตาของฉู่เยว่ฉานขยับทันที แต่เมื่อนึกถึงเื่ที่ฉินอวี่ไม่ได้จุดตะเกียงกรรม แววตาของนางก็ดูกังวล แต่ก็พยักหน้าทันที
“จริงสิ ศิษย์พี่หญิงฉู่ ในภาพรวมของข้าตอนนี้ ข้าพอจะเข้าร่วมการคัดเลือกศิษย์ได้หรือไม่?” ฉินอวี่ถาม
ฉู่เยว่ฉานส่ายหน้า ก่อนจะพูดกลับไป “ผู้เข้าร่วมคัดเลือกศิษย์ อย่างน้อยต้องเป็ศิษย์ชั้นนำจึงจะเข้าร่วมได้ แต่ในตอนนี้เ้ายังไม่ได้เป็ศิษย์ระดับทั่วไปเลยด้วยซ้ำ...”
ฉินอวี่ตกตะลึงอย่างมาก ยังไม่ได้เป็แม้แต่ศิษย์ทั่วไป? ในตอนนี้ ฉินอวี่คิดแต่เพียงอยากนำป้ายคำสั่งของอาจารย์หวงถิงออกมา เพื่อบอกว่าตนเองเป็ศิษย์ของสายชีพจรดินแล้ว... แต่เื่นี้ หากพูดออกไป ทุกคนก็คงมองเป็เื่น่าขัน และมองเขาเป็คนโง่เสียปล่า...
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง มือทั้งสองของฉินอวี่ก็ยกขึ้นประสานกัน และพูดอย่างจริงใจ “ขอบพระคุณศิษย์พี่หญิงฉู่สำหรับคำชี้แนะ ฉินอวี่จะจำไว้ไม่ลืม”
“ไม่เป็ไร... เ้าก็ต้องระวังสักหน่อย... รอให้ข้านำเื่ในหอบรรพชนมาบอกเ้า ถ้าไม่มีอะไรจะถามอีก ข้าก็ขอตัวก่อน” ฉู่เยว่ฉานกล่าว หลังจากพูดจบ นางก็ก้าวเท้าออกไป แต่เมื่อก้าวออกไปไม่กี่ก้าว นางก็หยุดอย่างกะทันหัน และหันศีรษะกลับมา “ว่าแต่ เ้าชื่ออะไร?”
“ฉินอวี่” ฉินอวี่ตอบกลับไป
“อืม ข้าชื่อฉู่เยว่ฉาน” ฉู่เยว่เฉินพยักหน้าเล็กน้อย พูดจบก็จากไป
ฉินอวี่มองฉู่เยว่ฉานที่กำลังจากไปด้วยสายตาที่ชื่นชม ในฐานะของธิดาแห่ง์ผู้ภาคภูมิของสำนัก ฉู่เยว่ฉานกลับไม่มีความเย่อหยิ่งหรือทะนงตนเลยแม้แต่น้อย แต่กลับมีจิตใจดีงาม เข้าถึงได้ง่าย ซึ่งพบเห็นได้ยากยิ่งนัก
ฉินอวี่มีความรู้สึกปะปนกันไปในใจ การมายังสำนักยุทธ์ว่านจ้งในครั้งนี้ มีจุดประสงค์สำคัญคือการเข้าหอบรรพชน... แต่กลับไม่นึกเลยว่าจะยากลำบากเช่นนี้
เป็ไปได้หรือไม่ว่า... จะต้องรอจนกว่าอาจารย์จะกลับมาจึงจะสามารถเข้าไปในหอบรรพชนได้? แต่ก็ไม่อาจรู้ได้ว่าเขาจะกลับมาเมื่อใด
ศิษย์สิบอันดับแรกของศิษย์รุ่นห้า... ลูกศิษย์ชั้นนำ...
เดี๋ยวนะ...
หากข้าได้เป็ผู้ดูแลหอตำรา... ข้าจะมีสิทธิ์เข้าร่วมการคัดเลือกศิษย์สายในหรือไม่?
