ห้องโถงยังคงครึกครื้น แต่อิ้งหลีและเหยียนชิงกลับแอบหนีออกจากงานเลี้ยงก่อนเวลา ออกมานั่งจิบชาให้สร่างเมาพร้อมกับพูดคุยกันในสวนหลังบ้าน
เหยียนชิงมองคนตรงข้ามที่อ่อนโยนและสง่างาม เมื่อนึกถึงสิ่งที่หงเย่าพูดกับเขาไว้จึงอดไม่ได้ที่จะพูดหยอกล้อออกไป
“พี่รองดื่มเหล้าเก่งแล้ว คิด ๆ ดูคงได้รับการฝึกฝนจากเมืองเทียนซูมาไม่น้อย ข้าได้ยินหงเย่าบอกว่าตอนที่อยู่ในงานเลี้ยงท่านถูกตี้จวินมอมเหล้าหรือ?”
“แค่ก...”
อิ้งหลีรู้สึกเขินอายเล็กน้อยเมื่อนึกถึงกิริยาที่ไม่สุภาพในวันนั้น
“ตี้จวินไม่ได้มอมเหล้าข้า เป็เพียงความเมตตาของทุกท่านในงานเลี้ยง จึงเป็เื่ยากที่ข้าจะปฏิเสธได้”
เพียงแค่ใน่ท้ายได้สนทนากับตี้จวินเพียงลำพังก็เลยดื่มเข้าไปอีกเล็กน้อยก่อนที่จะเมามาย ยิ่งไปกว่านั้นยังรบกวนตี้จวินให้ช่วยพยุง (อุ้ม) เขาขึ้นไปบนรถม้าอีกด้วย
เหยียนชิงมองหูแดง ๆ ของเขาแล้วยิ้มโดยไม่พูดอะไร ก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อเป็การถามถึงเื่ในวัง โดยบอกกับเขาถึงหลายสิ่งหลายอย่างที่เคยได้รับรู้มาในชีวิตก่อน เพื่อให้เขาสามารถรับมือกับเหตุฉุกเฉินในภายภาคหน้าได้
ท้ายที่สุดอิ้งหลีก็ได้อาศัยอยู่ในเมืองหลวงมาสักพักแล้ว แม้ว่าจะไม่ได้มีการสืบอย่างโจ่งแจ้ง แต่ก็เขาก็มีการแอบสืบมาบ้าง เขาย่อมสามารถสรุปได้ว่าสิ่งที่เหยียนชิงพูดมานั้นมีประโยชน์หรือไม่ และเห็นได้ชัดว่าเหยียนชิงรู้ทุกอย่างที่เขาจำเป็ต้องรู้ หลังจากที่เหยียนชิงพูดจบ จึงอดไม่ได้ที่จะมองเขาแล้วพูดว่า
“ระดับความคุ้นเคยของชิงเอ๋อร์เกี่ยวกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ในพระราชวังทำให้ข้าประหลาดใจจริง ๆ ”
เหยียนชิงที่ถือถ้วยน้ำชาอยู่เงยหน้าขึ้นสบตาเขา แล้วพยักหน้า
“ใช่ แต่ก็เพียงแค่รู้มาเท่านั้น อยู่ใกล้ฮ่องเต้ก็เหมือนอยู่ใกล้เสือ หากเกิดสิ่งใดขึ้นในวังพี่รองยังคงต้องจัดการมันด้วยตนเอง”
“ข้ารู้...”
อิ้งหลีพยักหน้า อันที่จริงเขาไม่ได้หมายความอย่างนั้น แต่ก็ไม่รู้ว่าจะถามเหยียนชิงอย่างไร เหตุใดคนที่ไม่ค่อยได้ออกไปไหนจึงคุ้นเคยในสิ่งที่ไม่ควรคุ้นเคยได้...
เหยียนชิงเห็นความสงสัยในดวงตาของเขาจึงยิ้มออกมา “พี่รอง ในวันหน้าหากมีสิ่งใดที่ไม่เข้าใจสามารถถามข้าได้”
ปากของอิ้งหลีขยับไปมา รู้สึกสับสนอยู่ในใจแต่ยังพูดออกมาเพียงแค่คำว่า “ได้”
อยากถามอย่างละเอียด แต่เมื่อเห็นว่าเหยียนชิงก็มีเื่ที่ตนเองรู้สึกสับสนและกังวลเช่นกันจึงทำได้เพียงยอมแพ้ไป
เมื่อดื่มชาหมดไปสองกา สองพี่น้องก็สร่างเมาอย่างสมบูรณ์แล้ว เหยียนชิงขอให้อิ้งหลีตามเขาไปที่ห้องหนังสือ จากนั้นจึงบอกเขาถึงเื่ที่อ๋องฉางอันแห่งเมืองหนานฮั่นแอบเลี้ยงดูกองกำลังส่วนบุคคล
หลังจากอิ้งหลีได้ฟังแล้วเขาไตร่ตรองด้วยท่าทางเคร่งขรึมเป็เวลานาน มือที่วางอยู่บนโต๊ะกำแล้วก็ปล่อยอยู่แบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในที่สุดเขาก็ถอนหายใจแล้วถามว่า
“ั้แ่ตอนที่ชิงเอ๋อร์ให้จอมยุทธ์จิงโม่ลงมือ ก็คงผ่านการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว แต่เื่นี้สำคัญมาก แม้ว่าอ๋องฉางอันจะยอมร่วมมือด้วยโดยดี แต่ในวันข้างหน้าตระกูลเหยียนอาจตกเป็เป้าหมายของคนในเงามืดได้ ซึ่งถือเป็เื่ยากเช่นกัน”
“ข้ารู้” เหยียนชิงพยักหน้า
“เช่นนั้นพี่รองที่อยู่ในเมืองหลวงจะต้องระวังตัวให้มากขึ้น อีกไม่กี่วันก็จะเข้าวังแล้ว อย่าเพิ่งกังวลเื่อื่นเลย แค่ทำงานของท่านให้ดีก็พอ ตอนนี้ตี้จวินกำลังจับตามองตระกูลเหยียนอยู่ พวกเราเพียงต้องระมัดระวังและไม่ประมาทเลินเล่อก็คงจะปลอดภัยแล้ว”
ตามแผนเดิมคือหลังจากที่อิ้งหลีเข้าเมืองหลวงแล้วต้องให้เขาออกไปตรวจสอบโดยรอบ แต่ตอนนี้มีเื่เช่นนี้เกิดขึ้น จึงทำได้เพียงแค่หยุดแผนการไว้ชั่วคราวเพื่อรอเวลา นี้ถือเป็วิธีการที่ชาญฉลาดที่สุดแล้ว
อิ้งหลีเห็นด้วยกับมุมมองของเขา
“ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะระวังตัว แต่เ้าต้องระมัดระวังเื่ในตระกูลให้มากขึ้น อย่าให้คนที่มีใจมุ่งมั่นเข้ามาเอาเปรียบได้ หลังจากพี่ใหญ่กลับมาแล้วก็ให้เขาช่วยดูแลกิจการของตระกูล อย่าปล่อยให้เดินเตร่ไปทั่วอีก”
เหยียนชิง “อืม ข้าบอกกับซูหานไว้แล้ว และบอกกับจิงโม่ซ้ำไปอีกครั้ง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นจะต้องพาพี่ใหญ่กลับมาให้ได้”
“พูดถึงเื่นี้” จู่ ๆ อิ้งหลีก็ยิ้มแปลก ๆ ออกมา จากนั้นเขาก็พูดหยอกล้อว่า
“นึกย้อนกลับไปในตอนนั้นผู้ที่ซูหานต้องแต่งให้คือพี่ใหญ่ ครั้งนี้เ้าให้ซูหานจัดการเื่นี้ รู้สึกหรือไม่ว่ามันไม่เหมาะสม เ้าไม่กลัวว่าเขาจะอับอายเมื่อต้องเจอหน้าพี่ใหญ่หรือ?”
“ไม่” เหยียนชิงปฏิเสธโดยไม่ต้องคิด จากนั้นจึงหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงปัญหา
“ซูหานไม่จำเป็จะต้องเขินอาย คนที่อายควรเป็ตัวพี่ใหญ่เอง ต้องถูกคนที่ตนทอดทิ้งงานแต่งจากการเปลี่ยนใจของตนยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ดูซิว่าหน้าแก่ๆ ของเขาจะหนาเพียงใด?”
เมื่อตอนที่เขาขอให้เว่ยซูหานจัดการกับเื่นี้ก็ไม่เคยคิดเกี่ยวกับปัญหานี้เลย ด้วยปัญหานี้ปล่อยให้พี่ใหญ่เผชิญเพียงผู้เดียวก็พอแล้ว เขารู้จักเว่ยซูหานดี เขาไม่อายหรอก เขาอาจจะทุบตีพี่ใหญ่สักครั้งก็เป็ไปได้...ฮ่าๆ
“ดีแล้ว” อิ้งหลีส่ายหัว “ซูหานเคยบอกว่า คนที่เขาชอบั้แ่แรกคือเ้า มันเป็ผลลัพธ์ที่น่าพอใจแล้ว”
เหยียนชิงหลับตาลงแล้วกัดริมฝีปากเบา ๆ หูร้อนขึ้นมาเล็กน้อย คนที่ปกติเป็คนจริงจังจะไม่เขินอายยามต้องพูดเื่ความรัก บอกกับทุกคนว่าคนที่ชอบมาั้แ่แรกก็คือเขา ทำให้ทุกคนในจวนรู้สึกว่าเว่ยซูหานแอบชอบเขามาหลายปีแล้ว...
“โอ้ ความรักอยู่ใน่ฤดูใบไม้ผลิเช่นนี้” อิ้งหลีส่งเสียงจุ๊ ๆ สองครั้ง “แยกจากกันใน่เวลาหนึ่ง ทำให้คิดถึงจนแทบบ้าใช่ไหม?”
“พี่รอง...” เหยียนชิงโกรธ เมื่อสบเข้ากับั์ตาลูกท้อแสนเริงร่าคู่นั้นก็เย้ยหยันกลับไปว่า
“คนที่มั่นคงในรักอย่างพวกเรานั้น จะเทียบกับท่านที่เป็คุณชายแสนเริงร่าผู้อ้อยอิ่งอยู่กลางดอกไม้ใบไม้ได้อย่างไรกัน การคิดถึงใครบางคนสุดหัวใจย่อมดีกว่าการสามเช้าสี่เย็น[1]
ในท้องมีหนังสือและบทกวี บุคลิกย่อมสง่า[2] บวกกับรูปลักษณ์ภายนอกที่โดดเด่น เหยียนชิงรู้สึกเสมอว่าถ้าอิ้งหลีเป็คุณชายน้อยเขาจะต้องยอดเยี่ยมมากเป็แน่ ตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าจะเป็เช่นนั้น อิ้งหลีที่ไร้ซึ่งพันธนาการดูสดใสเบิกบาน ทุกรอยยิ้มนั้นมันช่างดูเจิดจ้ามากจริงๆ
“หึ การเริงร่าไม่ได้แปลว่าไม่มั่นคงในรัก”
อิ้งหลีแก้ตัว มือหนึ่งจับใบหน้าของตน มืออีกข้างหยิบถ้วยชาขึ้นมาแกว่งวนไปรอบๆ
“ข้าแค่ยังไม่พบเจอคนแห่งโชคชะตา เนื่องด้วยไม่สามารถเข้ามาอยู่ในใจได้ ก็ยังไม่จำเป็ต้องเสียเวลาและพลังกายใจ”
“อืม...” เหยียนชิงพยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจ “หรือว่านี่คือตำนานของผู้เริงร่าที่ไม่มากรัก?”
อิ้งหลีเลิกคิ้วขึ้นโดยไม่พูดอะไร มีเพียงสองเหตุผลที่เขายังอ้อยอิ่งอยู่ในดงดอกไม้ หนึ่งเป็เพราะงาน สองเป็เพราะความชอบ ไม่จำเป็ต้องแจ้งรายละเอียดเมื่อทำสิ่งต่าง ๆ ชอบเพราะเมื่ออยู่ในสถานที่แบบนั้นเขาสามารถผ่อนคลายได้ ส่วนใหญ่เพียงแค่จ่ายเงินก็สามารถหลีกเลี่ยงความกังวลได้แล้ว
เหยียนชิงและอิ้งหลีคุยกันจนดึกดื่นก่อนจะกลับไปที่ห้องเพื่อพักผ่อน สิ่งที่ควรพูดล้วนพูดไปหมดแล้ว
หลังงานเลี้ยงสามวัน อิ้งหลีและเหยียนชิงออกไปเยี่ยมเยียนท่านเ้าเมืองและท่านอาจารย์ที่เคยสั่งสอนพวกเขามา หลังจากกล่าวอำลาแล้วอิ้งหลีก็ออกเดินทางสู่ราชสำนัก ที่จากนี่ไปจะเป็ที่อยู่อาศัยระยะยาวของเขา
เหยียนชิงส่งเขาออกจากประตูเมือง บอกเขาซ้ำ ๆ ว่าอยู่ในเมืองหลวงอย่าทำสิ่งใดด้วยความประมาท เพียงพยายามทำหน้าที่ในตำแหน่งราชครูขององค์ชายอย่างเต็มที่ก็พอแล้ว หากมีเื่เลวร้ายเกิดขึ้นกับตระกูลเหยียน คนแรกที่จะได้รับผลกระทบคืออิ้งหลี เหยียนชิงกังวลว่าเขาจะไม่สามารถรับมือกับมันได้จึงตกลงกับเขาว่าจะต้องส่งจดหมายเพื่อแจ้งสถานการณ์มาทุกสัปดาห์ หลังจากที่อิ้งหลีตกลงอย่างจริงจังแล้ว เขาก็ขึ้นรถม้าจากไปอย่างอาลัยอาวรณ์
คณะที่เดินทางไปรับตำแหน่งในเมืองหลวงนอกจากหงเย่าและข้ารับใช้อีกสามคนที่อิ้งหลีพามาด้วยแล้ว ทหารอารักขาที่เหลือล้วนเป็ผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งจากท่านเ้าเมือง
จิ้นซื่อเข้ารับตำแหน่ง เดินเป็คนท้องถิ่นของที่ใดทางส่วนราชการของที่นั่นจะต้องเป็ผู้ส่งทหารอารักขา มันเป็กฎ เพียงแต่ขนาดของคณะเดินทางจะเล็กหรือใหญ่ล้วนถูกกำหนดโดยท่านเ้าเมือง คราวนี้ท่านเ้าเมืองแห่งเมืองฝูซังให้หน้าอิ้งหลีมากแล้ว คณะทหารอารักขาสุดยิ่งใหญ่จึงมุ่งหน้าเดินทางไปยังเมืองเทียนซู
เชิงอรรถ
[1] สามเช้าสี่เย็น บรรยายความคิด คำพูด และการกระทำของเขา การเปลี่ยนแปลงและไม่แน่นอน
[2] ในท้องมีหนังสือและบทกวี บุคลิกย่อมสง่า เป็การอุปมาว่าตราบใดที่อ่านบทกวี และหนังสือ ก็จะประสบความสำเร็จในการศึกษา และเต็มไปด้วยพร์ ความสง่างาม และความรุ่งโรจน์
