“คืนนี้อย่างนั้นหรือ ดีเลย ช่วยจองตั๋วไปเขตตะวันตกให้ข้าสี่ใบ”
“คุณชายรอสักครู่”
สตรีแผนกต้อนรับนางนั้นช่วยจัดการเื่ตั๋วให้เริ่นเสี้ยวเทียนอย่างรวดเร็ว
“คุณชาย ราคารวมหนึ่งแสนสามหมื่นเหรียญทอง”
“หนึ่งแสนสามหมื่นเหรียญทอง?”
เสิ่นเลี่ยนที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินจำนวนเงินก็รู้สึกใ
เขาใช้ชีวิตอยู่ในเมืองอวี่ฮว่า จะนำเงินไปใช้แต่ละครั้งยังต้องครุ่นคิดให้รอบคอบ หนึ่งเหรียญทองเพียงพอให้ครอบครัวคนธรรมดาที่มีสามคนใช้ชีวิตได้หนึ่งเดือน มูลค่าต่ำกว่าเหรียญทองยังมีเหรียญเงินและเหรียญทองแดงด้วย การเดินทางไปยังเขตตะวันตกครั้งนี้ต้องใช้เงินถึงหนึ่งแสนสามหมื่นเหรียญทอง มากกว่าที่เขาจะจินตนาการได้
“คุณชาย ค่าโดยสารเที่ยวเดียวราคาสามหมื่นเหรียญทองต่อคน เดินทางมากกว่าสามคนมีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมหนึ่งหมื่นเหรียญทอง เช่นนั้นแล้ว สี่คนจึงมีราคารวมอยู่ที่หนึ่งแสนสามหมื่นเหรียญทอง การเดินทางไปยังเขตตะวันตกค่อนข้างไกล นี่จึงเป็ราคาที่คุ้มค่าแล้ว”
สตรีแผนกต้อนรับนางนั้นกล่าวกับเสิ่นเลี่ยน น้ำเสียงของนางค่อนข้างสุภาพ อธิบายให้เขาฟังด้วยความอดทน
“ฮ่าๆ สหายเสิ่นไม่ค่อยได้ออกจากบ้านสักเท่าไร! หักออกจากนี่เลย”
ขณะกล่าว เริ่นเสี้ยวเทียนเอาบัตรสีม่วงออกมาส่งให้สตรีแผนกต้อนรับนางนั้น
เมื่อเห็นบัตรสีม่วงใบนี้ สตรีแผนกต้อนรับใเล็กน้อย พลันแววตาเปี่ยมด้วยความเคารพ
นี่คือบัตรมณีม่วง ต้องมีเงินมากกว่าสิบล้านเหรียญทองจึงจะได้รับการยอมรับจากสถาบันการเงินและได้รับบัตรใบนี้มา โดยทั่วไปแล้ว ผู้ที่ถือครองบัตรมณีม่วงล้วนแล้วแต่เป็บุคคลยิ่งใหญ่และมีอำนาจ
นางยื่นสองมือออกมารับบัตรในทันที หลังจากหักเงินจากบัตรไปแล้วหนึ่งแสนสามหมื่นเหรียญทอง จึงส่งบัตรคืนให้เริ่นเสี้ยวเทียนด้วยสองมือเช่นเดิม
“คุณชายโปรดรับไว้” ท่าทีของนางเคารพต่อเริ่นเสี้ยวเทียนอย่างที่สุด
ในทวีปหลิงโซ่วแห่งนี้ พลังอำนาจคือทุกสิ่งทุกอย่าง ผู้ที่ได้ถือครองบัตรมณีม่วงเช่นนี้ หาใช่คนที่พวกเขาจะล่วงเกินได้
เริ่นเสี้ยวเทียนเก็บบัตรมณีม่วงไปแล้ว ขณะนั้นเองเสิ่นเสี่ยวเม่ยก็เดินมาตรงหน้าเริ่นเสี้ยวเทียน
“เ้าเป็ใครกันแน่” เสิ่นเสี่ยวเม่ยถาม
“ข้า... ข้าคือคนรุ่นสองของคนมีเงินเล็กน้อย คำตอบแบบนี้พึงพอใจหรือไม่”
“คนรุ่นสองของคนมีเงินเล็กน้อย?”
เสิ่นเสี่ยวเม่ยพยักหน้า พลางกล่าว “มีเงินนี่มันดีจริงๆ”
“เงินเล็กน้อยแค่นี้ของข้าจะเทียบกับพี่ชายเ้าได้อย่างไร พี่ชายเ้าต่างหากที่ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง”
เริ่นเสี้ยวเทียนไม่ได้กล่าวเกินจริงเลย แต่เป็คำที่มาจากใจจริง แรกเริ่มเขาได้รู้จักกับเสิ่นเสวียนเพราะความอยากรู้เฉยๆ จากนั้นจึงเปลี่ยนเป็ความใ ต่อมาก็เป็ความเสมอภาค และจากนั้นอีกคือความรู้สึกเหนือกว่า
ทัศนคติที่เปลี่ยนแปลงไปหลายครั้ง ทำให้เขาที่ถูกเรียกว่าอัจฉริยะมาั้แ่เด็กไม่รู้จะกล่าวอย่างไรดี
“นี่คือตั๋วของท่าน”
สตรีแผนกต้อนรับนางนั้นนำตั๋วทองสี่ใบมาให้เริ่นเสี้ยวเทียน
เขารับตั๋วมา บนตั๋ววาดภาพเรือเสวียนอู่ขนาดใหญ่ไว้ และเขียนไว้ว่า ‘เมืองเสียเยว่-เขตตะวันตก’ ซึ่งเป็จุดเริ่มต้นและจุดหมายปลายทาง
สิ่งที่เรียกว่าเรือเสวียนอู่ ความจริงแล้วเป็เรือขนาดใหญ่ที่มีรูปร่างภายนอกเหมือนกับเต่าตัวหนึ่ง มีสี่ขา มีหัว เป็เต่าที่มีขนาดใหญ่มาก
หลังจากรับตั๋วมาแล้ว เริ่นเสี้ยวเทียนแบ่งให้พวกเสิ่นเสวียนคนละใบ โดยสารเรือเสวียนอู่จากที่นี่มีข้อดีอยู่หนึ่งอย่าง นั่นคือไม่ต้องใช้ชื่อจริงในการซื้อตั๋ว ตราบใดที่มีเงินก็สามารถโดยสารเรือได้ทั้งนั้น และแน่นอนว่าไม่มีการจดทะเบียนราษฎรในทวีปแห่งนี้
จำนวนผู้คนในเมืองเมืองหนึ่งมีการประมาณอย่างคร่าวๆ เท่านั้น มิอาจเจาะจงครัวเรือนได้ เนื่องจากโลกแห่งการฝึกตนมีการาเ็ล้มตายกันเป็จำนวนมาก จึงวัดจำนวนประชากรไม่ได้
ทุกคนถือตั๋วเอาไว้แล้วเดินออกมาจากโถงใหญ่แห่งนั้น ยังพอมีเวลาอีกกว่าเรือจะออก พวกเขาคิดจะไปหาซื้อของสักหน่อยในเมืองเสียเยว่
เริ่นเสี้ยวเทียนบอกว่าเขตตะวันตกต่างจากเขตตะวันออกมาก ด้วยเส้นทางที่ห่างไกลกัน สิ่งของหลายๆ อย่างจะหาได้ยากมาก อาจมีมูลค่าสูงกว่าเดิมหลายเท่า เพราะค่าเดินทางต่อคนยังถึงสามหมื่นเหรียญทอง จำนวนเงินมากขนาดนี้ไม่มีใครอยากรับผิดชอบ
โดยทั่วไปแล้วผู้โดยสารเรือเสวียนอู่จะร่ำรวยและมีเกียรติ ไม่สนใจเงินเล็กน้อยแค่นั้น และี้เีเกินไปที่จะไปหาซื้อสินค้านั้นด้วยตนเอง
ซึ่งต่างไปจากเสิ่นเสวียนมาก คนอย่างเสิ่นเสวียนไม่มีทางสิ้นเปลืองเด็ดขาด
และยังสามารถปลอมตัวเป็พ่อค้าเพื่อไม่ให้เป็จุดสนใจได้อีกด้วย
ตอนนี้ผังเมืองซานเหอยังไม่ถูกคลายผนึกอย่างสมบูรณ์ แต่มิติที่เสี่ยวเหยียนเปิดไว้ให้มีขนาดใหญ่มากพอแล้ว หากใส่ของเข้าไปในนั้นอาจสามารถใส่สินค้าได้ถึงหนึ่งในห้าส่วนของเมืองได้เลยทีเดียว
จากนั้นก็ได้เวลากว้านซื้อของ
พวกเขาสี่คนเริ่มต้นจากร้านขายของชำ หลังจากออกมาแล้ว ภายในร้านเหลือเพียงเ้าของร้านและลูกจ้างสองคนที่กำลังยืนอ้าปากค้างด้วยสีหน้าตื่นใ โชคดีที่เศรษฐีเริ่นเสี้ยวเทียนอยู่ที่นี่ด้วย เขาเหมาของจากร้านขายของชำทั้งหมดไปด้วยราคาเพียงหนึ่งพันกว่าเหรียญทองเท่านั้น
ต่อมาพวกเขาไปเหมาร้านยาจนหมด ไม่ว่าจะเป็ยาสามัญ ไปจนถึงวัตถุดิบล้ำค่า ถูกพวกเขาเหมาไปทั้งหมด
เมื่อทั้งสี่คนเดินออกจากถนนสายนั้น ก็กลายเป็ถนนที่ว่างเปล่าไปเสียแล้ว
เ้าของร้านเ่าั้มองทั้งสี่คนที่หาซื้อของอย่างเร่งรีบ ไม่รู้จะกล่าวอะไรดี หรือกระทั่งทำให้ตื่นใไปถึงจวนเ้าเมือง จนต้องส่งคนไปสอดส่องพวกของเสิ่นเสวียน แต่คำตอบของพวกเสิ่นเสวียนนั้นเรียบง่ายมาก นั่นคือ ‘พ่อค้า’
ท้องฟ้ามืดลงแล้ว พวกเสิ่นเสวียนหาซื้อของกันอยู่นาน จึงเดินหาที่นั่งพัก
“ท่านพี่ นี่คือการซื้อของที่ข้ามีความสุขที่สุดเลย”
เสิ่นเสี่ยวเม่ยใกล้อายุสิบสองปีแล้ว แต่บุคลิกของนางกลับโตกว่าคนรุ่นเดียวกัน ดูเหมือนแม่นางน้อยอายุสิบห้าสิบหกปีนางหนึ่ง ส่วนเสิ่นเสวียนที่ดูเหมือนมีอายุสิบห้าสิบหกปี กลับให้ความรู้สึกเหมือนเป็ชายชราคนหนึ่งมากกว่า
“เป็เพราะเห็นข้าใช้จ่ายเงินโดยไม่กะพริบตาหรือเปล่า” เริ่นเสี้ยวเทียนนั่งอยู่ข้างๆ รู้สึกประสบความสำเร็จอย่างมาก
“อืมๆ เ้ายอดเยี่ยมมาก ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในตระกูลข้ามีเงินน้อยมาก ยังไม่เคยเห็นเงินมากมายขนาดนี้มาก่อน”
เสิ่นเสี่ยวเม่ยตอนเด็กๆ ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขจริงๆ แต่สามปีหลังเงินที่จะได้ในแต่ละเดือนกลับโดนเสิ่นเหวินเทาหักไป เขาหักเงินนางไปเยอะเสียจนการใช้ชีวิตในตระกูลเสิ่นที่ยิ่งใหญ่ยังมีปัญหาแม้แต่การกินอยู่
“ข้าไม่ได้ยอดเยี่ยม ที่ยอดเยี่ยมคงเป็พี่ชายเ้า ของมากมายขนาดนั้นยังเก็บไปได้ด้วย นี่ต่างหากคือความสามารถ” เริ่นเสี้ยวเทียนมองเสิ่นเสวียนคล้ายจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม แม้แต่ตอนนี้เสิ่นเสวียนยังคงมีความลับที่เขาไม่รู้อยู่อีก
แม้มิติภายในแหวนจะไม่ได้เล็กมาก แต่ไม่มีทางใส่ของมากมายขนาดนั้นเข้าไปได้
คิดคำนวณดูแล้ว สิ่งของที่พวกเขาหาซื้อมาเพียงพอที่จะสร้างเมืองเล็กๆ ได้เลยทีเดียว แม้แต่เมืองหลักอย่างเมืองเสียเยว่ยังเหมือนถูกกวาดล้าง ว่างเปล่าไปกว่าสองส่วน
จำนวนมหาศาลขนาดนี้ เขาคิดไม่ออกเลยว่าเสิ่นเสวียนใช้วิธีใดในการเก็บทั้งหมดเข้าไป
หรือยังมีของล้ำค่าอย่างอื่นที่สามารถใส่ของเหล่านี้ได้อีก แต่เมื่อคิดได้ว่าเสิ่นเสวียนยังสามารถเรียกหม่าเมี่ยนออกมาได้ เื่แค่นี้ก็เข้าใจได้
พวกเขาไม่เพียงซื้อของมากมายใส่เข้าไปเท่านั้น ยังมีสุรา เนื้อ และผักอีกมากมายด้วย ทุกอย่างถูกจัดเก็บด้วยวิธีการเฉพาะ อยากเอาออกมากินตอนไหนก็กินได้เลย แหวนของพวกเขาทุกคนใส่อาหารไว้จำนวนหนึ่งเผื่อคราวจำเป็
ครั้งนี้พวกเขาเน้นไปที่กิจการค้าขายเสื้อผ้าเป็หลัก นี่คือสิ่งที่เริ่นเสี้ยวเทียนบอกมา เนื่องจากขนบธรรมเนียมที่ต่างกัน เสื้อผ้าของที่นี่จึงได้รับความนิยมเป็พิเศษจากที่นั่น
หลังจากจัดเก็บทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ทั้งสี่คนก็กลับมายังสถานีมิติอีกครั้ง
พวกเขาหยิบตั๋วออกมาแล้วเดินเข้าไปภายในสถานีมิติ
เมื่อเข้าไปด้านใน เสิ่นเลี่ยนและเสิ่นเสี่ยวเม่ยต่างอ้าปากค้าง ตกตะลึงกับความยิ่งใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า
บนสถานีมิติตรงหน้าพวกเขามีเต่าตัวใหญ่นอนหมอบอยู่ตัวหนึ่ง
ลำตัวยาวหลายสิบจั้ง สูงอีกหลายจั้ง ภายในเต็มไปด้วยห้องนับไม่ถ้วน ในทุกห้องจุดตะเกียงสว่างไสว คล้ายกับเป็เมืองขนาดย่อม
ตอนนี้หลายๆ คนกำลังเดินเรียงแถวเข้าไปด้านในตามลำดับ
พวกเขามาถึงใน่เวลากำลังดี หากรอช้าอีกเล็กน้อยพวกเขาจะพลาดเที่ยวการเดินทางนี้ไป
“หลีกไป อย่าขวางทางคุณชายของพวกข้า”
ทั้งสี่คนเพิ่งเข้าไปไม่นาน พลันมีเสียงไม่สบอารมณ์ดังขึ้นที่ด้านหลัง