ไม่ว่าจะว่ายังไง เมื่อจดทะเบียนไปแล้ว หมี่หลันเยว่ก็วางใจไปเปลาะหนึ่ง เื่เครื่องหมายการค้านี้ก็ถือว่าเรียบร้อยดี แม้ว่าใบรับรองการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าจะยังไม่ได้อยู่ในมือ แต่ก็เป็เพียงเื่ของเวลาเท่านั้น และเครื่องหมายการค้าก็ถือว่าอยู่ในระบบแล้ว ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกคนอื่นชิงตัดหน้าไปได้
"เฮ้อ ค่อยโล่งใจไปอีกเื่ รอให้ได้บ้านสี่ประสานมาอยู่ในมือ ฉันจะได้ทุ่มเทให้กับการเตรียมสร้างโรงงานอย่างเดียว"
เมื่อออกมาจากอาคารสำนักงาน หมี่หลันเยว่ก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก อดไม่ได้ที่จะยกกำปั้นน้อยๆ ขึ้นมาโบกด้วยความตื่นเต้น จนคนที่เดินข้างๆ พลอยตื่นเต้นไปด้วย
"หลันเยว่ การจดทะเบียนเครื่องหมายการค้านี่สำคัญขนาดนั้นเลยเหรอ?"
หมี่หลันหยางและคนอื่นๆ ไม่เคยเห็นหมี่หลันเยว่แสดงอาการตื่นเต้นขนาดนี้ในการจัดการเื่อะไร มาก่อนเลย ตอนเที่ยงที่กินข้าวด้วยกัน สภาพของเธอก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว การแสดงออกในตอนนี้ ยิ่งเป็การพิสูจน์ว่าเธอให้ความสำคัญกับเื่นี้มาก
"สำคัญสิพี่ ก็พี่รู้ว่าร้านของเราดังแค่ไหนในเมืองของเรา แล้วเราก็อยากจะตีตลาดออกไปข้างนอกด้วย ลองคิดดูสิว่า ถ้าข้างนอกมีสินค้าของห้องหลันเยว่อีกเ้า แล้วคุณภาพเสื้อผ้าของเขาแย่กว่าเรามาก มันจะส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของเราโดยตรง เราจะทำยังไง?"
สีหน้าของหนุ่มๆ ทั้งสี่คนก็เคร่งขรึมขึ้นในทันที
"แถมถ้ามีใครสนใจสินค้าของเรา แล้วชิงจดทะเบียนไปก่อน สินค้าของเราเองก็จะใช้ไม่ได้ ต้องนั่งมองคนอื่นใช้ความน่าเชื่อถือที่เราสร้างมาหากิน เราจะทำยังไงอีก?"
เฉียนหย่งจิ้นกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก แล้วพูดตะกุกตะกักออกมาว่า
"ไม่นึกเลยว่าการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าจะสำคัญขนาดนี้ ฟังหลันเยว่พูดแล้ว ฉันขนลุกเลย โชคดีที่่ไม่กี่ปีที่ผ่านมาไม่มีใครใช้ชื่อร้านของเราออกสินค้า ไม่งั้นเราคงได้แต่ร้อนใจทำอะไรไม่ได้แน่ๆ"
"นั่นน่ะสิ ที่แท้เครื่องหมายการค้าสำคัญขนาดนี้นี่เอง พวกเราประมาทไปจริงๆ ถ้าไม่ได้หลันเยว่คิดการณ์ไกลอยู่เสมอ พวกเรามันก็แค่พวกหัวทึบ ธุรกิจนี้คงต้องเจ๊งไม่วันใดก็วันหนึ่ง"
หลินเผิงเฟยก็รู้สึกใจหายใจคว่ำเช่นกัน คำพูดของหมี่หลันเยว่ ทำให้ทุกคนหวาดกลัว
"โธ่ ก็ไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่พวกพี่คิดหรอก พวกพี่คิดว่าร้านของเราดังขนาดไหนกัน ฉันแค่เตรียมตัวไว้ก่อน ถึงแม้ว่าร้านของเราตอนนี้จะยังไม่ดังเท่าไหร่ แต่มันจะดังขึ้นในอนาคต ฉันไม่อยากให้ถึงตอนนั้นแล้วโดนคนอื่นชิงตัดหน้าไปก่อน"
ถึงแม้จะรู้ว่าคำพูดของหมี่หลันเยว่เป็การปลอบใจพวกตน แต่ในใจของทุกคนก็ยังคงรู้สึกคลายกังวลลงไปได้บ้าง อากาศร้อนขนาดนี้ ยังเกือบทำให้เหงื่อเย็นผุดขึ้นมาได้ ดูเหมือนว่าต่อไปนี้ต้องใช้สมองให้มากขึ้น จะให้หลันเยว่วางแผนอยู่คนเดียวก็คงเหนื่อยเกินไป
เมื่อเห็นสายตาที่แสดงความรู้สึกผิดเล็กน้อยของทุกคน หมี่หลันเยว่ก็รู้สึกผิดขึ้นมาบ้างเช่นกัน ท้ายที่สุดแล้ว เธอได้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง เื่พวกนี้แน่นอนว่าต้องคิดได้รอบคอบกว่าอยู่แล้ว เมื่อคิดถึงชีวิตที่ไร้แก่นสารในชาติที่แล้วของตนเอง หมี่หลันเยว่ก็แทบจะหน้าแดง
"หลันเยว่ แล้วเธอนัดเจอกับทางบ้านนั้นไว้เมื่อไหร่ล่ะ อย่าปล่อยไว้นานเลย"
เจิ้งซวี่เหยาพูดแทรกขึ้นมาอย่างกะทันหัน ทำให้หมี่หลันเยว่รู้สึกขอบคุณเขาเป็อย่างมากที่พูดได้ถูกจังหวะ ทำให้ตนเองไม่ต้องรู้สึกกระอักกระอ่วนต่อไป รีบหันสายตาไปมองเจิ้งซวี่เหยา
"ฉันนัดไว้มะรืนนี้ค่ะ บ่ายวันนี้เ้าของบ้านคนนั้นมีประชุม อาจจะต้องประชุมกันจนดึก วันนี้คงนัดไม่ได้ ส่วนพรุ่งนี้พวกเราต้องตามคุณปู่เจิ้งไปงานเลี้ยงต้อนรับ ก็เลยนัดไว้เป็วันมะรืน เ้าของบ้านมีเวลาตอนเที่ยงของวันมะรืน พวกเราจะเจอกันตอนเที่ยงค่ะ"
เมื่อได้ยินคำตอบของหมี่หลันเยว่ เจิ้งซวี่เหยาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
"หวังว่าเขาคงไม่ได้หาข้ออ้างไปนัดคนอื่นไว้นะ เื่นี้ถ้ายังไม่เป็จริงเป็จัง ก็ยังอดเป็ห่วงไม่ได้อยู่ดี"
โดยพื้นเพแล้วเจิ้งซวี่เหยาเป็นักธุรกิจ เขาโดนคนอื่นแทรกเข้ามาแย่งธุรกิจไปหลายครั้งแล้ว ดังนั้น จนกว่าจะเซ็นสัญญา เขาก็จะไม่ถือว่าข้อตกลงด้วยคำพูดเหล่านี้ประสบความสำเร็จ เพราะระหว่างนั้นอาจเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นมากมาย ไม่ใช่ว่ามีคนโกหกเยอะแยะมากมายอะไร แต่เป็เพราะปัจจัยภายนอกมีมากเกินไป
บางทีอาจถูกเกลี้ยกล่อมด้วยความสัมพันธ์ส่วนตัว บางทีอาจเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ที่ไม่ควรมองข้าม หรืออาจถูกคุกคามด้วยบางสิ่งบางอย่างที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ล้วนเป็สิ่งที่ทำลายได้โดยเจตนา แต่คุณกลับทำอะไรไม่ได้เลย แม้แต่คนที่เปลี่ยนใจก็มีหลายคนที่ไม่ได้เต็มใจ แต่ก็ช่วยไม่ได้จริงๆ
"อาจารย์เจิ้งพูดถูกค่ะ เ้าของบ้านบอกว่าวันนี้ไม่มีเวลา ฉันก็ไม่สามารถบังคับได้ ส่วนเื่ของพรุ่งนี้ ก็ตกลงกับคุณปู่เจิ้งไว้แล้ว ฉันผิดนัดไม่ได้ ก็คงต้องแล้วแต่โชคชะตาล่ะค่ะ หวังว่าโชคของฉันจะยังคงอยู่กับฉัน ทำให้ทุกอย่างราบรื่น"
"ต้องได้สิ ฉันคิดมากไปเอง คนในประเทศของเรายังไงก็ค่อนข้างให้ความสำคัญกับความน่าเชื่อถืออยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น เ้าของบ้านคนนั้นก็มีตำแหน่งใหญ่โตขนาดนั้น ฉันคิดว่าเขาคงจะไม่ผิดนัดหรอก"
พอเจิ้งซวี่เหยาเห็นว่าหมี่หลันเยว่เริ่มกังวล เขาก็โกรธตัวเองที่พูดจาทำให้หมี่หลันเยว่เป็กังวล
หมี่หลันเยว่ฟังไม่ออกได้ยังไงว่าอาจารย์เจิ้งกำลังบอกให้ตนเองสบายใจ รีบส่งรอยยิ้มหวานๆ ให้
"อาจารย์เจิ้งไม่ต้องเป็ห่วงฉันค่ะ เื่พวกนี้ฉันเตรียมใจไว้แล้ว ในวงการธุรกิจ เื่ไม่คาดคิดมีเยอะแยะไป ใครก็ไม่มีทางราบรื่นตลอดไปได้หรอกค่ะ"
เจิ้งซวี่เหยาเอื้อมมือไปขยี้ผมของเธอด้วยความเคยชิน
"รู้ว่าเธอคิดได้รอบคอบ แต่บางเื่ก็ต้องปล่อยวางบ้างนะ หลายเื่ฟ้าลิขิตมาแล้ว กำลังคนก็ทำอะไรไม่ได้ เราไม่สามารถบังคับได้จริงๆ"
เจิ้งซวี่เหยาไม่ได้สังเกตว่า ใน่เวลาที่ได้อยู่ด้วยกันเพียงไม่นาน การกระทำหลายอย่างของเขาต่อหมี่หลันเยว่ กลายเป็ความเคยชินไปโดยธรรมชาติแล้ว หลังจากที่เขาค้นพบว่ามือของตัวเองวางอยู่บนศีรษะของหมี่หลันเยว่ เขาก็ใอย่างมาก กดความใในใจลงไป ดึงเปียที่มัดไว้สูงของหมี่หลันเยว่ แล้วจึงปล่อยมือ
"ฉันรู้ค่ะ อาจารย์เจิ้ง คำสอนของอาจารย์ ฉันจะจดจำไว้ในใจ"
ถึงแม้จะมีน้ำเสียงติดตลกเล็กน้อย แต่หมี่หลันเยว่ก็รับฟังคำพูดนี้อย่างจริงจังและจดจำไว้ในสมอง
"เอาล่ะ ในเมื่อเื่ทางนี้จัดการเสร็จแล้ว งั้นฉันขอเลี้ยงพวกเธอไปกินของอร่อยๆ นะ ตอนเช้าก็รับปากหลันเยว่ไว้ว่าจะเลี้ยงพวกเธอข้าว พูดมาสิ อยากกินอะไรกันบ้าง?"
เจิ้งซวี่เหยาไม่อยากให้หมี่หลันเยว่วนเวียนอยู่กับเื่นี้อีกต่อไป จึงพูดถึงเื่อื่น
"ว้าว เื่อะไรต้องเลี้ยงข้าวด้วยครับ ดีจัง อาจารย์เจิ้งเลี้ยง พวกเราชอบกินหมดครับ"
เฉียนหย่งจิ้นไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น รีบตอบตกลงทันที ความไม่พอใจเล็กน้อยที่เห็นอาจารย์เจิ้งลูบหัวหลันเยว่เมื่อกี้ ก็หายไปอย่างรวดเร็วเพราะของอร่อย
"วันนี้ไม่ไปดีกว่าค่ะ อาจารย์เจิ้ง เมื่อกี้อาจารย์ก็บอกแล้วว่าเื่ยังไม่เรียบร้อยดี ถ้าพวกเราไปกินข้าวเพราะเื่บ้านตอนนี้ แล้วถ้าคุยกันไม่ลงตัวขึ้นมา มันจะกระอักกระอ่วนเปล่าๆ ่นี้ก็มีเื่เยอะอยู่แล้ว รอให้ทุกอย่างเรียบร้อยหมดแล้ว ค่อยรวมตัวกันกินมื้อใหญ่ดีไหมคะ ตอนนั้นจะให้อาจารย์จ่ายหนักๆ เลย อาจารย์ห้ามเสียดายเงินในกระเป๋าเด็ดขาดนะคะ"
หมี่หลันเยว่ปฏิเสธคำเชิญของเจิ้งซวี่เหยาอย่างเด็ดขาด ตอนเช้าเธอดีใจเกินไปจริงๆ คิดว่าเมื่อตกลงด้วยวาจาแล้ว คงไม่มีปัญหาอะไร แต่คำพูดของเจิ้งซวี่เหยาเตือนสติเธอ อย่าเพิ่งวางใจ จนกว่าจะเซ็นสัญญา ทุกอย่างก็เป็แค่ลมปาก
เมื่อได้ยินว่าหมี่หลันเยว่ปฏิเสธอย่างไม่ลังเล สีหน้าของเฉียนหย่งจิ้นก็หม่นลงทันที แสดงความผิดหวังออกมา หมี่หลันหยางตบเขาไปหนึ่งที
"นายมันตะกละ จะกินอย่างเดียว ข้าวที่บ้านก็หรูหราพอแล้ว"
เ้าตะกละนี่ ก็เรียนมาจากน้องสาว ตอนนี้เกือบจะกลายเป็สัญลักษณ์ประจำตัวของเฉียนหย่งจิ้นไปแล้ว แค่พูดถึงของอร่อย เขาก็จะตื่นเต้น แต่เขากลับไม่ยอมรับ เหมือนตอนนี้
"ฉันจะไปอยากออกไปกินของอร่อยอะไรกัน ฉันแค่คิดถึงบรรยากาศข้างนอกเท่านั้นเอง"
"ยังจะแก้ตัวอีก นายเริ่มวางแผนในใจแล้วใช่ไหมว่าถ้าไปร้านอาหาร จะสั่งอะไรอร่อยๆ บ้าง"
หลินเผิงเฟยเผลอเปิดเผยความคิดในใจของเฉียนหย่งจิ้น ทำให้เฉียนหย่งจิ้นที่ปกติหน้าด้านหน้าทน ยังรู้สึกอายขึ้นมา นี่ต่อหน้าอาจารย์เจิ้งเลยนะ เสียหน้าแย่
"เฮ้ๆ นี่นายยังเป็เพื่อนฉันอยู่รึเปล่าเนี่ย?"
เฉียนหย่งจิ้นรีบกระโจนเข้าไปตะครุบหลินเผิงเฟย ทั้งสองคนต่อสู้กัน ไม่นาน หมี่หลันหยางและหนิวเถียจู้ก็เข้าร่วมวงด้วย หมี่หลันเยว่ไม่รู้เลยว่าพวกเขาสองคนโดนลากเข้าไปเกี่ยวได้ยังไง
"วัยรุ่นนี่ดีจริง อากาศร้อนขนาดนี้ ยังมีพลังกันขนาดนี้"
เจิ้งซวี่เหยารู้สึกว่าแค่พูดเตือนก็ยังรู้สึกเหนื่อยเลย เหงื่อออกจนเหนียวตัวไปหมด
"อาจารย์เจิ้งก็ไม่ได้แก่สักหน่อย ทำไมพูดจาเหมือนคนแก่ไปได้ล่ะคะ"
ตลอดบ่ายนี้ หมี่หลันเยว่เรียกอาจารย์เจิ้งไปนับครั้งไม่ถ้วน ในใจของเจิ้งซวี่เหยารู้สึกเหมือนมีอะไรมายุบยิบ ทำให้คันไปหมด ดังนั้น พอกลับถึงบ้าน เขาก็รีบลากแม่เข้าไปในห้อง แล้วยังล็อกประตูอย่างลับๆ ทำให้แม่เจิ้งรู้สึกขบขัน
"แม่ครับ ผมอยากจะปรึกษาอะไรแม่หน่อย"
ไม่นึกว่าท่าทีของลูกชายจะจริงจังขนาดนี้ แม่เจิ้งก็รีบทำสีหน้าให้เป็จริงเป็จัง
"เื่อะไรกัน ทำท่าทางเป็งานเป็การขนาดนี้ พูดมาสิ แม่ฟังอยู่"
"แม่ครับ คือว่า แม่รับหลันเยว่เป็ลูกสาวบุญธรรมเถอะครับ"
แม่เจิ้งเบิกตากว้างทันที การรับลูกสาวบุญธรรมไม่ใช่เื่เล็กๆ น้อยๆ ลูกชายมาไม้ไหน เธอรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่เมื่อสบตากับดวงตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังของลูกชาย เธอก็ใจอ่อน
ดังนั้น แม่เจิ้งจึงกลืนคำปฏิเสธที่เกือบจะหลุดออกมาลงไปก่อน
"ว่ามาสิ เกิดอะไรขึ้น?"
ลูกชายคงจะไม่ขอร้องแบบนี้โดยไม่มีเหตุผล คงต้องมีเื่อะไรเกิดขึ้นตอนบ่ายแน่ๆ
"แม่ครับ ถึงแม้ว่าผมจะรับประกันกับแม่แล้วว่าจะไม่คิดอะไรกับหลันเยว่ ท้ายที่สุดแล้ว เธอยังเด็กเกินไป ไม่ควรอยู่ในขอบเขตที่ผมจะพิจารณาเลย แล้วเธอก็ไม่ควรพิจารณาผมด้วย แต่เธอเรียกผมว่าอาจารย์เจิ้งตลอดบ่าย ทำให้ผมรู้สึกไม่ดีเลย"
"แม่ครับ ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้เป็คนรักของเธอ ผมก็ไม่อยากให้พวกเราห่างเหินกันขนาดนี้ แม่รับเธอเป็ลูกสาวบุญธรรม งั้นพวกเราก็เป็ญาติกัน ผมจะได้ดูแลเธอ ปกป้องเธอได้อย่างเต็มภาคภูมิ แล้วก็ได้ยินเธอเรียกผมว่าพี่ชายอย่างสนิทสนม เหมือนที่เรียกหลันหยาง แม่ครับ ช่วยผมหน่อยนะครับ"
