ในาที่พรมแดนของเมืองจิ่วเฉวียน สาเหตุที่กองทัพของตระกูลมู่ต้องเพลี่ยงพล้ำจนถูกกวาดล้างไปจนหมดนั้น ทั้งหมดล้วนเป็แผนการของหนานหาว ่เวลานั้นหนึ่งในกองกำลังของกองทัพฝั่งศัตรูก็มีกองกำลังของตระกูลเว่ยรวมอยู่ด้วย
ความแข็งแกร่งของเว่ยอี้อวิ๋น ทำให้มู่เฟิงรู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่มากขึ้น
ศัตรูผู้นี้เป็ถึงยอดฝีมืออันดับหนึ่งของสำนักศึกษาเทียนอวิ่น แน่นอนว่าเื่นี้ย่อมสร้างความกดดันให้เขาได้มากทีเดียว อย่างไรเสียตอนนี้วรยุทธ์ของเขาก็ยังไม่บรรลุถึงระดับหนิงกังเลยด้วยซ้ำ
แม้ว่ามู่เฟิงจะรู้สึกกดดันมากเพียงใด แต่เด็กหนุ่มก็ยังตระหนักได้ว่าเขาไม่ควรจะรีบเร่งฝึกฝนมากเกินไป เพราะการค่อยๆ พัฒนาขึ้นอย่างมั่นคงนั้นสำคัญยิ่งกว่า
หลังจากกลับมาถึงเรือนพักแล้ว มู่ขวงกับไป๋จื่อเยว่ต่างก็แยกย้ายกันไปฝึกฝนด้วยตัวเอง ในขณะที่มู่เฟิงก็นำม้วนข้อมูลที่ได้รับออกมาศึกษา
ม้วนกระดาษนี้ได้จดบันทึกข้อมูลของกองโจรบนูเาหม่าซานเอาไว้
ูเาหม่าซานนั้นตั้งอยู่ในเขตชายแดนของอาณาจักรหนานหลิง ซึ่งห่างจากสำนักศึกษาเทียนอวิ่นราวแปดร้อยลี้
กองโจรทีู่เาหม่าซานนั้นมีจำนวนสมาชิกราวสามร้อยคน ซึ่งพวกเขาได้รวมตัวกันเป็กองกำลังออกปล้นตามหมู่บ้านในเขตชายแดน และยังลงมือสังหารผู้คนไปเป็จำนวนมาก
ปกติแล้วพื้นที่ตรงเขตชายแดนก็ค่อนข้างวุ่นวายอยู่แล้ว ประชาชนมากมายที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นั้นต้องทนทุกข์ทรมานจากการปล้นชิงของกลุ่มกองโจรนี้ บรรดาผู้ที่พอมีเงินจึงได้รวมเงินเข้าด้วยกันเพื่อจ้างวานทางสำนักศึกษาเทียนอวิ่นให้ช่วยจัดการกับปัญหานี้
พวกหัวหน้ากองโจรนั้นมีทั้งหมดสามคน โดยหัวหน้าใหญ่มีนามว่าหม่าลี่ วรยุทธ์ของเขาอยู่ในระดับหนิงกังขั้นสอง ส่วนรองหัวหน้าและหัวหน้าสามต่างก็มีวรยุทธ์อยู่ในระดับจื่อฝู่ขั้นเก้า
ส่วนบรรดาลูกสมุนส่วนใหญ่ก็มีวรยุทธ์อยู่ในระดับทงม่าย ในบันทึกยังบอกเอาไว้ว่ายังมีผู้ฝึกยุทธ์ระดับจื่อฝู่อยู่อีกราวๆ ยี่สิบกว่าคน ซึ่งความจริงแล้วคาดว่าอาจจะมีจำนวนมากกว่านี้
หลังจากที่มู่เฟิงได้อ่านรายละเอียดของข้อมูลเหล่านี้แล้ว เขาก็สามารถสรุปได้ว่าภารกิจนี้ไม่ได้มีความยากมากนัก ปัญหาเดียวของเขาคือจะจัดการกับหม่าลี่ซึ่งมีวรยุทธ์ระดับหนิงกังขั้นสองอย่างไร
“ดูเหมือนว่าข้าจะต้องเตรียมแผ่นยันต์ให้มากหน่อย”
มู่เฟิงพึมพำกับตัวเอง ในเมื่อเขายังแข็งแกร่งไม่พอ เช่นนั้นก็จำเป็ต้องใช้กลอุบายในการเอาชนะ
เสี่ยวเทียนโผล่หัวออกมาก่อนจะส่งเสียงร้องเรียกเขา เมื่อเห็นดังนั้นมู่เฟิงจึงจัดการป้อนเม็ดยาโลหิตให้มัน
เมื่อเห็นว่าเม็ดยาโลหิตภายในขวดหยกนั้นเหลืออยู่ไม่มาก มู่เฟิงก็พลันถอนหายใจออกมา หลังจากผ่านการฝึกฝนมาเป็เวลานาน เม็ดยาโลหิตของเขาก็ถูกใช้ไปจนเกือบหมดแล้ว
หลังจากนั้นมู่เฟิงก็ไม่เสียเวลาคิดมากอีก เขานำแผ่นยันต์สำเร็จรูปออกมาจำนวนหนึ่ง ก่อนจะนำปลายมีดแกะสลักจุ่มลงไปในแก่นหมึก และเริ่มวาดลายเส้นเครื่องรางในทันที
ยามนี้ความสามารถในการวาดลายเส้นเครื่องรางของมู่เฟิงได้พัฒนาขึ้นมาเป็ขั้นสองแล้ว ดังนั้นอัตราความล้มเหลวจึงต่ำลงมาก
พลังโจมตีของแผ่นยันต์ขั้นสองนั้นมีอานุภาพเทียบเท่ากับการโจมตีของผู้ฝึกยุทธ์ระดับหนิงกังขั้นสาม หากใช้มันในโอกาสที่เหมาะสม ย่อมสามารถสังหารยอดฝีมือระดับหนิงกังได้อย่างไม่มีปัญหา
ข้อบกพร่องที่ใหญ่ที่สุดของแผ่นยันต์โจมตี คือมันจำเป็ต้องใช้เวลาเล็กน้อยในการใช้งาน ซึ่งจังหวะที่กำลังเสียเวลาอยู่นั้นก็จะเป็การเปิดช่องว่างให้คู่ต่อสู้สามารถหลบหลีกการโจมตีได้
ระหว่างที่มู่เฟิงกำลังทำการวาดลายเส้นลงบนแผ่นยันต์อยู่ภายในห้องพักของตัวเอง ไป๋จื่อเยว่กับมู่ขวงต่างก็แยกกันไปฝึกอยู่ภายในห้องของตัวเองเช่นกัน มีบางครั้งที่พวกเขาออกไปเดินเล่นข้างนอกเพื่อทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อม
เวลายังคงหมุนวนต่อไป เพียงพริบตาเดียวก็ผ่านไปถึงสองวันแล้ว
แต่ในวันนี้ หน้าห้องพักของมู่เฟิงกลับมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นอย่างร้อนรน
“พี่เฟิง พี่เฟิง เกิดเื่แล้ว”
ไป๋จื่อเยว่ที่อยู่นอกประตูะโด้วยความร้อนรน
เมื่อได้ยินเสียงของอีกฝ่าย มู่เฟิงก็ลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูอย่างรวดเร็ว เขาจึงได้พบไป๋จื่อเยว่กับมู่ฝานที่ยืนรออยู่หน้าประตู
“เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ? เหตุใดจึงดูรีบร้อนเช่นนี้”
มู่เฟิงเอ่ยถาม
เวลานี้ใบหน้าของไป๋จื่อเยว่มีรอยฟกช้ำที่กำลังบวมเป่ง ราวกับว่าเขาเพิ่งถูกคนทุบตีมา บริเวณมุมปากยังมีรอยเือยู่อีกเล็กน้อย
“พี่เฟิง ตอนนี้เสี่ยวขวงถูกพาตัวไปแล้ว”
ไป๋จื่อเยว่กล่าวด้วยน้ำเสียงเป็กังวล
“เกิดอะไรขึ้น? เหตุใดเสี่ยวขวงถึงได้ถูกจับตัวไป?”
มู่เฟิงยังคงงุนงงกับสถานการณ์ เขาจึงรีบสอบถามอย่างรวดเร็ว
“วันนี้เสี่ยวขวงกับข้าตั้งใจจะไปที่โรงพนัน แต่ระหว่างทางพวกเราก็บังเอิญเจอเข้ากับคนที่พวกเราเคยมีปัญหากันที่โรงอาหารเมื่อวันก่อน เลยเกิดการปะทะกันขึ้น หลังจากนั้นเสี่ยวขวงก็ถูกพาตัวไป สตรีผู้นั้น้าให้พี่เฟิงไปหานางด้วยตัวเอง นางถึงจะยอมปล่อยคน”
ไป๋จื่อเยว่เล่าอย่างร้อนใจ
เมื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าของมู่เฟิงก็พลันมืดครึ้มลง เขารีบเอ่ยถามทันทีว่า “พวกเขาอยู่ที่ใด?”
“ในโรงอาหารขอรับ”
ไป๋จื่อเยว่ตอบกลับอย่างรวดเร็ว
เมื่อได้รับคำตอบแล้ว มู่เฟิงก็เก็บแผ่นยันต์ทั้งหมดของเขาในทันที จากนั้นก็เดินนำไป๋จื่อเยว่กับมู่ฝานไปยังโรงอาหาร
ณ โรงอาหารในเวลานี้มีเหล่าบัณฑิตจำนวนมากกำลังรวมตัวกันอยู่
ในกลุ่มบัณฑิตที่สวมใส่ชุดคลุมสีดำ มีชายหนุ่มร่างอ้วนผู้หนึ่งกำลังนั่งบนเก้าอี้พร้อมกับถือดาบสีทองเล่มใหญ่ไว้ในมือ ถัดจากเขาคือสตรีในชุดคลุมสีเหลือง ฉู่เฟยเอ๋อร์ นางกำลังเหลือบมองไปยังเด็กหนุ่มที่มีผมยาวราวหนึ่งชุ่นซึ่งกำลังนอนอยู่บนพื้น ก่อนจะตวาดออกมาอย่างชั่วร้ายว่า “ทุบตีเขาให้ข้า!”
เด็กหนุ่มเริ่มถูกคนทุบตีทันใด ในขณะที่มือทั้งสองข้างของเขาถูกมัดเอาไว้อย่างแ่า
“มารดาเ้าเถอะ วันนั้นเ้าเก่งมากไม่ใช่รึ? เหตุใดตอนนี้ถึงไม่เก่งเหมือนอย่างวันนั้นแล้วเล่า?”
ชายหนุ่มที่ถูกมู่ขวงทุบตีในวันนั้นคว้าคอเสื้อของมู่ขวงขึ้นมาก่อนจะต่อยหน้าเด็กหนุ่มอย่างแรง
หมัดนี้ทำให้มู่ขวงมีเืไหลออกมาตรงมุมปาก
ดวงตาของมู่ขวงแดงช้ำและบวมเป่งจากการถูกทุบตี เขาเหลือบตามองไปยังชายผู้นั้นก่อนจะถ่มน้ำลายออกมา จากนั้นก็กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงถมึงทึงว่า “ถ้าเ้าคิดว่ามีความสามารถก็ฆ่าเหล่าจือผู้นี้ให้ตายเสียสิ เพราะหากเ้าฆ่าข้าไม่ได้ วันหนึ่งข้าจะฆ่าเ้าเอง”
ชายหนุ่มผู้นั้นโกรธจัด เขาเตะไปที่หน้าท้องของมู่ขวงในทันที จากนั้นก็เรียกกลุ่มคนให้เข้ามาช่วยกันกระทืบมู่ขวง ในขณะที่เด็กหนุ่มก็เพียงขดตัวและไม่ส่งเสียงร้องออกมาเลยแม้แต่น้อย
“ท่านพี่ ข้าตรวจสอบมาแล้ว คนพวกนี้เป็คนจากตระกูลมู่”
ฉู่เฟยเอ๋อร์จับแขนของฉู่หมั่งผู้เป็พี่ชายก่อนจะบอกกล่าวข้อมูลที่ตนได้รับมาแก่เขา
“ตระกูลมู่...”
ฉู่หมั่งขมวดคิ้ว ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “ไม่มีอะไรที่ต้องกลัว คนตระกูลมู่ในสำนักศึกษาเทียนอวิ่นมีเพียงมู่หลิงเอ๋อร์คนเดียวเท่านั้นที่นับว่าแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่ได้ถือว่าน่ากลัวอะไรนัก วันนี้ข้าจะตัดมือของเ้าเด็กนั่นและปล่อยให้เ้าได้ระบายโทสะ”
ฉู่หมั่งผู้นี้เป็ถึงยอดฝีมืออันดับที่ยี่สิบสี่ของสำนักศึกษาเทียนอวิ่น วรยุทธ์ของเขาอยู่ในระดับหนิงกังขั้นเจ็ด เขาได้ทำการรวบรวมเหล่าบัณฑิตและจัดตั้งกองกำลังของตนเองขึ้น เรียกว่ากลุ่มหมั่ง ซึ่งมาจากชื่อของเขานั่นเอง ดังนั้นจึงเป็ธรรมดาที่เขาจะไม่จำเป็ต้องเกรงกลัวมู่หลิงเอ๋อร์
นอกจากพวกคนของกลุ่มหมั่งแล้ว ภายในโรงอาหารยังมีผู้ชมอีกจำนวนมากที่กำลังรอชมเื่สนุก มีหลายคนที่จำได้ว่ามู่ขวงเป็หนึ่งในกลุ่มคนที่มีเื่กับฉู่เฟยเอ๋อร์ก่อนหน้านี้
“พี่หมั่ง มีคนกำลังมาขอรับ”
ทันใดนั้นบัณฑิตผู้หนึ่งที่เป็สมาชิกของกลุ่มหมั่งก็กล่าวขึ้น
เมื่อมองไปก็พบว่ามู่เฟิงกำลังนำเหล่าศิษย์จากตระกูลมู่เดินตรงเข้ามา
ทันทีที่มู่เฟิงมาถึง เขาก็พบว่ามู่ขวงได้ถูกทุบตีจนต้องนอนขดอยู่บนพื้นแล้ว ดวงตาอันคมกริบของเขาพลันเปลี่ยนเป็เ็ายิ่งกว่าเดิม
“เ้าเด็กบัดซบ เ้ากล้ามาจริงๆ รึ”
เมื่อฉู่เฟยเอ๋อร์เห็นมู่เฟิงเดินเข้ามา นางก็จำได้ทันทีว่าเขาคือคนที่ตบนางในวันนั้น หญิงสาวพลันลุกขึ้นยืน ก่อนจะตะเบ็งเสียงออกมาด้วยความโกรธ
ฉู่หมั่งมองไปทางมู่เฟิง และกล่าวอย่างเ็าว่า “เ้าเป็คนตบน้องสาวข้าสินะ เ้าหนุ่มดูเหมือนว่าเ้าจะกล้าเกินไปแล้ว”
มู่เฟิงเหลือบมองฉู่หมั่ง ก่อนจะกล่าวขึ้นอย่างไม่แยแสว่า “น้องสาวของท่านขาดการอบรม ข้าเพียงช่วยสั่งสอนนางว่าการเป็สตรีที่มีคุณธรรมควรปฏิบัติตัวเยี่ยงไรก็เท่านั้น”
“บังอาจ ต่อหน้าข้าเ้ายังกล้าพูดเช่นนี้อีกรึ จับตัวเขาไว้ ข้าจะตัดมือเขาทิ้งเสีย!”
ฉู่หมั่งตวาดออกมาอย่างเกรี้ยวกราด เขากัดฟันกรอดด้วยความโมโห
ทันใดนั้นคนของกลุ่มหมั่งก็พุ่งทะยานเข้ามาจับตัวมู่เฟิงในทันที แสงสีขาวส่องสว่างขึ้นบนมือของมู่เฟิง ก่อนจะปรากฏแผ่นยันต์จำนวนหนึ่งขึ้นในมือของเขา จากนั้นเด็กหนุ่มก็ตวาดออกมาว่า “ข้าจะดูว่าใครยังจะกล้า!"
ในมือของมู่เฟิงคือแผ่นยันต์บรรลัยกัลป์ขั้นสองจำนวนหนึ่ง คลื่นความผันผวนของพลังวิญญานแผ่ออกมาจากยันต์เ่าั้ในทันที
หากแผ่นยันต์เหล่านี้เกิดะเิขึ้นมาพร้อมกัน พวกมันย่อมสามารถถล่มโรงอาหารแห่งนี้ให้หายไปได้ครึ่งหนึ่งอย่างแน่นอน
“แผ่นยันต์บรรลัยกัลป์!”
ทางฝั่งคนของกลุ่มหมั่งที่กำลังล้อมอยู่รอบๆ ต่างก็รีบถอยห่างออกมาด้วยความใในทันที แน่นอนว่าพลังของแผ่นยันต์ที่นะเบิดออกมานั้นไม่ใช่เื่ล้อเล่น
สีหน้าของฉู่หมั่งพลันเปลี่ยนเป็น่าเกลียดเล็กน้อย เขาคิดไม่ถึงว่ามู่เฟิงจะมีแผ่นยันต์มากมายถึงเพียงนี้
“หากใครกล้าแตะต้องข้า ข้าจะะเิแผ่นยันต์บรรลัยกัลป์นี้ จากนั้นพวกเราก็มาตายไปพร้อมกันเถอะ”
มู่เฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นะเื จากนั้นเขาก็หันไปพูดกับฉู่หมั่งว่า “ปล่อยน้องชายข้าไป”
ฉู่หมั่งหรี่ตาลงเมื่อได้ดังนั้น จากนั้นเขาก็แสยะยิ้มออกมา
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้