หลินเฟิงลุกขึ้นยืน ก่อนจะก้าวเท้าไปยังโต๊ะข้างๆ ที่นั่งล้อมวงทานอาหารและพูดคุยสนทนากัน การเคลื่อนไหวของหลินเฟิงล้วนตกเป็เป้าสายตาของทุกคน
เนื่องจากพฤติกรรมที่ไปล่วงเกินน่าหลันเฟิงของหลินเฟิงเมื่อครู่ ทำให้หลายๆ คนไม่พอใจ
“มีปัญหาอะไรเหรอน้องชาย?” ชายที่นั่งอยู่ที่โต๊ะ จ้องมองหลินเฟิงด้วยสายตาไม่เป็มิตรขณะถามออกมา
หลินเฟิงควักเหรียญเงินออกมาสองเหรียญและโยนลงไปบนโต๊ะ ก่อนจะพูดว่า “ขอข้านั่งด้วยคนสักพักได้ไหม?”
“ได้สิ แน่นอนว่าได้” สีหน้าหลายๆ คนพลันเปลี่ยนไปทันที นอกจากนี้ท่าทีของพวกเขาก็ดูเป็มิตรมากขึ้น ในทวีปเก้า์ สกุลเงินหลักๆ ก็จะมีเหรียญเงิน เหรียญทองและหินหยวน สำหรับคนที่มีฐานะยากจนและไม่ได้เกิดมาในตระกูลที่มั่งคั่ง การคิดจะใช้จ่ายด้วยหินหยวนนั้นเป็เื่ที่เพ้อฝันมาก สำหรับพวกเขาแล้วแค่เหรียญเงินกับเหรียญทองก็แทบไม่มีปัญญาหามาได้ แล้วนับประสาอะไรกับหินหยวน
ยิ่งเป็ผู้ฝึกยุทธ์ด้วยแล้ว ค่าใช้จ่ายก็จะยิ่งสูงมาก สำหรับเื่เงินๆ ทองๆ ไม่มีใครหน้าไหนที่ไม่ชื่นชอบ
ชายหนุ่มกลุ่มนั้นต่างก็ขยับไปนั่งเบียดกันเพื่อให้มีว่างสำหรับหลินเฟิง หลังจากที่หลินเฟิงนั่งลง ก็เอ่ยปากถามว่า “น้องชาย มีเื่อะไรให้ช่วยไหม?”
“อืม ข้าแค่รู้สึกแปลกใจนิดหน่อย ทำไมน่าหลันเฟิงถึงได้เรียกรุ่นเยาว์ที่โดดเด่นที่สุดของตระกูลใหญ่มาที่นี่?” หลินเฟิงถามขึ้น
“น้องชาย เ้ามาถามถูกคนแล้วล่ะ เนื่องจากท่านเ้าเมืองเชิญชวนทุกตระกูลใหญ่มาร่วมกันจัดเตรียมงานชุมนุมเมืองหยางโจว ดังนั้นน่าหลันเฟิงอาจจะมีหน้าที่เป็คนเชิญ ดังนั้นน่าหลันเฟิงจึงเรียกให้เหล่ารุ่นเยาว์ที่โดดเด่นของทุกตระกูลมาพบในวันนี้ เพื่อแจ้งความประสงค์ของท่านเ้าเมือง ซึ่งแน่นอนว่าน่าหลันเฟิงต้องมีนัยอย่างอื่นแอบแฝงแน่ๆ...”
ทันใดนั้นเขาก็หยุดพูดไปสักพัก เพื่อสร้างบรรยากาศตื่นเต้นให้กับคนฟัง “ทุกคนล้วนทราบกันดีว่า เมืองหยางโจวจัดงานชุมนุมขึ้นมาทุกปีก็เพื่อให้เหล่ารุ่นเยาว์ได้ประลองฝีมือกัน ครั้งนี้ก็คงจะเหมือนเดิม น่าหลันเฟิงถือว่าเป็ตัวแทนของท่านเ้าเมือง ดังนั้นนางจึงมีสิทธิ์เรียกชุมนุมรุ่นเยาว์ที่โดดเด่นของตระกูลอื่นๆ ให้มารวมตัวกันที่นี่ เพื่อแจ้งความประสงค์ของท่านเ้าเมือง และยังถือโอกาสสืบข้อมูลของคู่แข่ง อย่างที่เขาเรียกกันว่ารู้เขารู้เราไง”
หลินเฟิงแสยะยิ้มเล็กน้อย เื่ที่เมืองหยางโจวจัดงานชุมนุมขึ้นมา ไม่ถือว่าเป็ความลับอะไร และเป็เพราะว่างานชุมนุมใกล้จะมาถึงแล้ว เขาจึงตัดสินใจไม่กลับไปที่นิกาย ทั้งยังเลือกที่จะอยู่ที่นี่ต่ออีกสักพัก
“ข้าได้ยินมาว่า งานชุมนุมเมืองหยางโจวในครั้งนี้ไม่เหมือนกับครั้งก่อนๆ เพราะว่าพวกเขาไม่ได้เชิญรุ่นเยาว์ที่โดดเด่นแค่เฉพาะตระกูลใหญ่เท่านั้น รุ่นเยาว์ในเมืองหยางโจวที่โดดเด่นทุกคนก็ถูกเชิญด้วยเช่นกัน ไม่รู้ว่าเื่นี้จริงหรือเท็จ?” หลินเฟิงเริ่มเผยเจตนาของตัวเองออกมาและถามต่อ
“ถูกต้อง แน่นอนว่าข่าวนี้เป็ความจริง ชิวหลันเป็คนที่มีชื่อเสียงในเมืองหยางโจวมาก ซึ่งทางคฤหาสน์ท่านเ้าเมืองก็้าเชื้อเชิญคนเหล่านี้เข้าร่วมงานชุมนุมด้วย ถ้ารุ่นเยาว์ที่ไม่ใช่ลูกหลานตระกูลใหญ่คนไหน อยากจะเข้าร่วมงานชุมนุมเมืองหยางโจวครั้งนี้ ก็สามารถแจ้งความประสงค์ผ่านชิวหลันได้”
“ข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณพวกท่านที่ให้ข้อมูล” หลินเฟิงพูดอย่างอ่อนน้อม ก่อนจะเดินกลับไปยังที่นั่งของตัวเอง ตอนนี้หลินเฟิงได้ข้อมูลที่เขาอยากรู้แล้ว
หลินเฟิงก้มหน้าลงและดื่มด่ำไปกับรสเหล้าตามลำพัง โดยไม่สนใจบรรยากาศที่แสนคึกคักในภัตตาคาร
“น่าหลันไห่ เป็ชายคนนั้นที่กล้าไม่สุภาพกับคุณหนู เ้าไปจัดการเขาซะ” ตอนนั้นเองก็มีเสียงเ็าดังขึ้น ทำให้ภัตตาคารชั้นหนึ่งพลันเงียบสงบลงในพริบตา ทุกสายตาต่างจ้องมองไปที่บันไดซึ่งมีเงาของคนสองคนกำลังเดินลงมา หนึ่งในนั้นก็คือสาวน้อยที่สวมชุดสีเขียวที่อยู่ข้างกายน่าหลันเฟิงเมื่อครู่นี้ ส่วนอีกคนคือน่าหลันไห่ที่ขึ้นไปดูแลความเรียบร้อยชั้นบนก่อนหน้านี้
“เ้าเด็กนั่นซวยแน่ๆ” ทันใดนั้นทุกสายตาก็หันไปมองร่างของหลินเฟิงโดยอัตโนมัติ ดวงตาของพวกเขาฉายแววสงสารขึ้นมา
“หึ ไอ้หมอนี่ช่างไม่รู้จักที่ตายจริงๆ ข้าจะสั่งสอนมันให้จำไว้เป็บทเรียน เผื่อวันหลังจะได้ไม่ไปทำตัวยโสใส่ใครอีก”
ฝูงชนในชั้นที่หนึ่งต่างพากันกระซิบกระซาบขณะที่มองไปยังหลินเฟิง หลินเฟิงเสร็จแน่ๆ ใครก็ตามที่กล้าล่วงเกินน่าหลันเฟิง ต่อให้นางพูดว่าช่างมันเถอะ แต่ก็ใช่ว่าเื่จะจบลงง่ายๆ
แต่ปฏิกิริยาของหลินเฟิงกลับไม่เป็ไปตามที่พวกเขาคาดคิด หลินเฟิงยังคงก้มหน้าก้มตาดื่มเหล้าและกินอาหารเพียงลำพัง โดยไม่สนใจสีหน้าและท่าทางของคนที่อยู่รอบๆ
“หึ หาที่ตาย” น่าหลันไห่ยิ้มมุมปากอย่างเ็าพร้อมทั้งแสดงสีหน้าเยาะเย้ย ขณะที่เดินไปหาหลินเฟิงอย่างช้าๆ
“ข้าล่ะนับถือใจเ้าจริงๆ ที่ยังคงนั่งกินอย่างสบายใจต่อได้” เมื่อเดินมาถึงข้างๆ หลินเฟิง น่าหลันไห่ก็เห็นหลินเฟิงยังคงก้มหน้าก้มตากินอาหารเหมือนเดิม จึงพูดประชดขึ้นว่า “กล้ามาล่วงเกินองค์หญิงน่าหลันของข้า ก็จงเตรียมใจรับผลที่ตามมาซะเถอะ”
“พูดอะไรไร้สาระ จัดการมันให้น่วมเลยดีกว่า” สาวชุดสีเขียวพูดออกมาอย่างทนไม่ไหว
“ฮ่าฮ่า ได้” น่าหลันไห่สะบัดพัดออกอย่างสง่างาม ตัวพัดแหลมคมราวกับมีด
ในที่สุดหลินเฟิงก็เงยหน้าขึ้น พร้อมกับกวาดสายตามองน่าหลันไห่อย่างเ็า สายตาที่เยือกเย็นคู่นั้นทำให้น่าหลันไห่ตัวสั่นขึ้นมาทันที เป็เขา เป็เขาจริงๆ ด้วย
ทันใดนั้นเองท่าทางอวดดีก็สลายหายไปในพริบตา น่าหลันไห่คิดไม่ถึงเลยว่าคนที่ทำให้น่าหลันเฟิงไม่พอใจ ก็คือคนในข่าวลือที่ทุกคนกำลังพูดถึง หลินเฟิง
น่าหลันไห่รู้ดีว่าข่าวลือที่คนส่วนใหญ่พากันร่ำลือนั้นมันไม่ใช่ความจริง! เขาเคยเห็นพลังของหลินเฟิงด้วยสายตาของตัวเองมาก่อน ซึ่งพลังของหลินเฟิงที่เขาเห็นนั้นไม่เพียงแค่แข็งแกร่ง แต่ยังทรงพลังอีกด้วย บางทีแค่คำว่าทรงพลังสองคำนี้ ก็คงไม่เพียงพอที่จะนำมาใช้อธิบายเกี่ยวกับพลังของหลินเฟิงได้ ควรจะใช้คำว่าเฉียบคมเสียมากกว่า หลินเฟิงเป็เหมือนดาบอันคมกริบที่ถูกชักออกมาจากฝัก ความคมของมันยากที่จะหาใครมาเทียบเคียงได้
นอกจากนี้น่าหลันไห่ยังเคยได้ยินมาว่า ที่บิดาของหลินเฟิงถูกไล่ออกจากตระกูล ไม่ได้เป็เพราะว่าหลินป้าต้าวสามารถเอาชนะเขาได้ แต่เป็เพราะผู้าุโสูงสุดออกหน้าให้ความช่วยเหลือเขา กระทั่งตัวหลินเฟิงเองก็ยังเปิดเผยความสามารถที่น่าเหลือเชื่อออกมาตั้งหลายครั้ง บนเวทีประลองของตระกูลหลิน
“ไปให้พ้น” หลินเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เ็า ทำให้หัวใจของน่าหลันไห่เต้นตึกตักด้วยความกลัว การกระทำที่ไร้ความปรานีของหลินเฟิงยังคงตราตรึงอยู่ในหัวของน่าหลันไห่ ทำให้เขาก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว
“น่าหลันไห่ นี่เ้ายังไม่จัดการเขาอีกเหรอ” เมื่อสาวชุดสีเขียวเห็นน่าหลันไห่เดินถอยหลัง แทนที่จะลงมือจัดการกับหลินเฟิงจึงรู้สึกโมโห
แต่ดูเหมือนว่าน่าหลันไห่จะไม่ฟังคำพูดของนาง เขาหันหลังกลับมาดึงแขนของนางพร้อมพูดว่า “พวกเราไปกันเถอะ”
พูดจบก็ทำท่าจะเดินจากไป
“น่าหลันเฟิงสั่งให้เ้ามาใช่ไหม?” น้ำเสียงที่เ็าของหลินเฟิงทำให้น่าหลันไห่ชะงักเท้าเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่ได้ตอบกลับ และยังคงก้าวเท้าเดินต่อไปพลางดึงหญิงชุดเขียวให้ตามมา
หลินเฟิงแสยะยิ้มในใจ ต่อให้อีกฝ่ายไม่ตอบ แต่หลินเฟิงก็มีคำตอบอยู่ในใจแล้ว คนที่คิดว่าตัวเองสูงส่ง ไม่กล้าที่จะทำเื่ชั่วๆ ด้วยตัวเอง แต่กลับสั่งให้ข้ารับใช้มาจัดการแทน แถมยังยกคำพูดที่สวยหรูมากล่าวอ้างอีก
หลินเฟิงยกจอกเหล้าในมือขึ้นมาดื่มอย่างรวดเร็ว ก่อนจะลุกขึ้นยืนและสวมชุดกันฝนสีดำพร้อมใส่หมวก ร่างของเขาถูกปกคลุมไปด้วยเสื้อกันฝนสีดำ จากนั้นก็เดินฝ่าสายฝนออกไป
บรรดาฝูงชนในภัตตาคารทิงเฟิงต่างมองไล่หลังชายหนุ่มแปลกหน้าคนนั้นอย่างสงสัย
“ชายหนุ่มคนนั้นเป็ใครกันนะ เพียงแค่ประโยคเดียวก็สามารถทำให้น่าหลันไห่ถอนตัวไปอย่างรวดเร็ว” ตอนแรกในใจของทุกคนล้วนคิดว่า หลินเฟิงคงต้องตายแน่ๆ แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่า อีกฝ่ายจะมีความสามารถที่น่าเกรงขามเช่นกัน ซึ่งดูได้จากท่าทางหวาดกลัวของน่าหลันไห่ที่แสดงออกมา
“น่าหลันไห่ เ้าเป็อะไรไป?” หญิงสาวที่สวมชุดสีเขียวสะบัดมือของน่าหลันไห่ออก และถามอย่างโมโห
“เขาคือหลินเฟิง” น่าหลันไห่ตอบ
“หมายถึง ไอ้ขยะหลินเฟิงจากตระกูลหลินใช่ไหม?”
“เหอะๆ ขยะตระกูลหลิน? ไร้สาระ!!! ลู่เอ๋อร์ นี่เ้าเชื่อข่าวลือที่ตระกูลหลินปล่อยออกมาอย่างงั้นหรือ ตามข่าวที่คฤหาสน์ท่านเ้าเมืองได้รับมา งานชุมนุมประจำปีของตระกูลหลินเมื่อวานนี้ หลินเฟิงเพียงแค่สั่งคำเดียวหลินอู๋ก็ยอมกลิ้งตัวลงไปจากเวทีแทบไม่ทัน ไหนจะยังสามารถเอาชนะหลินหงที่อยู่ในขอบเขตแห่งจิติญญาได้อีก ถ้าไม่ใช่เพราะว่าผู้าุโสูงสุดยอมลงมือช่วยไว้ล่ะก็ หลินหงคงไม่ได้ปรากฏตัวในวันนี้แน่ เผลอๆ อาจจะถูกหลินเฟิงฆ่าตายไปแล้วก็ได้”
“อะไรนะ? นี่เ้าจะบอกว่าหมอนั่นสามารถเอาชนะหลินหงที่อยู่ในขอบเขตแห่งจิติญญาได้อย่างนั้นเหรอ แถมยังเกือบจะฆ่าเขาได้อีกด้วย มันจะเป็ไปได้ยังไงกัน” สาวชุดเขียวไม่เชื่อคำพูดของน่าหลันไห่
“เื่นี้เป็ความจริงทุกประการ ถ้าหากเ้าไม่เชื่อเดี๋ยวเ้าลองไปถามคุณหนูเอาเองก็ได้” น่าหลันไห่ฝืนยิ้มออกมา คราวก่อนที่เขาเจอหลินเฟิงที่ภัตตาคารทิงเฟิง เขายังคิดว่าหลินเฟิงจะเป็เหมือนในข่าวลือ เป็ไอ้ขยะและความอัปยศของตระกูลหลิน แต่หลังจากที่ได้เห็นความแข็งแกร่งของหลินเฟิง มันก็เป็ข้อพิสูจน์ได้ว่าข่าวลือที่ทางตระกูลหลินปล่อยออกมานั้นล้วนเป็เื่โกหก มันจะต้องเป็ความตั้งใจของหลินป้าต้าวที่กุเื่ขึ้นเพื่อทำให้ครอบครัวของตัวเองดูดี
ที่จริงแล้วน่าหลันไห่เดาผิด เมื่อก่อนหลินเฟิงก็เป็ไอ้ขยะคนหนึ่งเท่านั้น
หลังจากที่หลินเฟิงออกมาจากภัตตาคารทิงเฟิง เขาก็ควบม้าพันลี้ไปยังโรงเตี๊ยมที่อยู่ห่างจากภัตตาคารทิงเฟิงไม่ไกลเท่าไร ตอนนี้เขาไม่สามารถกลับไปที่ตระกูลหลินได้ และในเมืองหยางโจวก็ไม่มีสถานที่ไหนที่จะให้เขาพักได้เลย ดังนั้นเขาจะต้องพักที่โรงเตี๊ยมไปก่อน
ห้องพักที่เขาเลือกเป็ห้องพักที่ดีที่สุด ภายในห้องกว้างขวาง เงียบสงบ และไม่มีเสียงรบกวน หลินเฟิงเริ่มทำการบ่มเพาะพลังของตัวเองต่อ ตอนนี้หลินเฟิงมีความกระตือรือร้นที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งของตัวเองให้มากขึ้น ในอนาคตเมื่อเขาแข็งแกร่งขึ้น เขาจะกลับมาล้างมลทินที่คนเ่าั้ยัดเยียดให้กับเขาและบิดา
สักวันหนึ่ง หลินเฟิงจะทำให้ตระกูลหลินต้องเสียใจที่ทำกับเขาเช่นนี้ และเขาเองก็จะไม่รอให้วันนั้นมาถึงช้าจนเกินไป
