ในเมื่อเื่มาจนถึงขั้นนี้แล้ว เธอก็ไม่สนใจเื่ดูบ้านแล้ว
ถึงแม้ซูอินจะตบหน้าเขา แต่นั่นเป็เพราะซุนเจี้ยนทำผิด เพื่อนบ้านที่รู้จักกันมานานกล่าวว่าเห็นซุนเจี้ยนเติบโตขึ้นมา เด็กชายคนนี้มีนิสัยใจคออย่างไรทุกคนรู้ดี ดังนั้นแม้ว่าซุนลี่เหมยจะกรีดร้องและะโว่าจะแจ้งตำรวจ คนรอบข้างก็ไม่มีใครสนใจ
ซูอินเดินตามหลังหลิวชิ่งกั๋วและหลินเฉวียนออกมายังทางเดิน ก่อนจะเงยหน้ามองขึ้นไปบนชั้นสอง
มองผ่านหน้าต่างที่เปิดอยู่ก็เห็นซุนลี่เหมยกล่าวสาปแช่ง ถ้อยคำล้วนฟังไม่เข้าหู
เธอเข้าใจเลยว่าที่ซุนเจี้ยนปากเสียนั้นได้ใครมา
ความรู้ย่อมมาจากพื้นฐานรากเหง้าของครอบครัว
คำสาปแช่งที่ขมขื่นและโหดร้ายเพียงใดเธอเคยได้ยินมาแล้ว อย่างไรก็ตามเธอมั่นใจว่าตนเองไม่ได้แย่เหมือนดังคำสาปแช่ง คำพูดเ่าั้เข้าหูซ้ายทะลุหูขวาโดยไม่ได้คิดจะใส่ใจ
เพียงแต่เธอรู้สึกเสียดายเล็กน้อย
ชาติก่อนเธอยังจำได้ว่าหลังจากขึ้นมัธยมปลาย เธอได้พบซุนเจี้ยน เท้าสวมรองเท้าอดิดาส ในกระเป๋ากางเกงมีห่อหอนกกระเรียนเหลือง มาตรฐานการใช้ชีวิตสูงกว่าตอนที่อยู่ชั้นมัธยมต้นไม่น้อย
ต้องเป็เพราะผลพลอยได้จากโครงการรื้อถอนอย่างแน่นอน
เมื่อครู่ที่เข้าไปในบ้านตระกูลซุน เธอมองไปรอบๆ แม้ว่าจะมีกันเพียงสองคนแม่ลูก แต่บ้านของพวกเขาก็ไม่เล็ก นโยบายรื้อถอนในตอนนี้ไม่เอื้ออำนวยเหมือน่เวลาหลังจากนี้ก็จริง แต่เื่พื้นที่ของตัวบ้านก็สามารถทำกำไรได้ไม่น้อย
จากสิ่งที่ซุนเจี้ยนเคยกระทำ แค่ต้องเห็นเขาเป็คนรุ่นที่สองที่ประสบความสำเร็จจากการรื้อถอน ซูอินก็รู้สึกไม่สบายใจ
เมื่อเงยหน้ามอง เธออดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
เมื่อเห็นท่าทีเช่นนั้น คนรอบข้างก็มองว่าเธอเป็เพียงเด็กสาวบอบบางที่ไม่สามารถทนต่อคำพูดด่าทอที่หยาบคาย
หลินเฉวียนเป็คนพูดน้อย หน้าที่ปลอบใจคนอื่นจึงตกเป็ของหลิวชิ่งกั๋ว
“หลานสาว ช่างมันเถอะ หล่อนเป็คนแบบนั้นแหละ คิดเสียว่าเป็เสียงสุนัขเห่าหอน อย่าเก็บไปใส่ใจ”
คำพูดนั้นดึงสติของซูอิน “สุนัขเห่า” การอุปมานี้ทำให้เธอเห็นภาพชัดเจน มุมปากของเธอยกขึ้นก่อนจะส่ายหน้า “คุณอาหลิว หนูไม่เป็อะไรค่ะ”
เมื่อนึกบางเื่ขึ้นได้ ซูอินก็แสดงสีหน้ารู้สึกผิด “พวกคุณอยู่ในชุมชนเดียวกันมาตั้งหลายปี คุ้นเคยดีกับเพื่อนบ้าน แต่ฉันกลับมาก่อเื่ ต้องขอโทษจริงๆ”
ช่างเป็เด็กที่มีเหตุมีผล
เป็เด็กสาวที่หน้าตาสะสวยและเชื่อฟัง หากเป็คนปกติอย่างไรเสียก็ต้องชื่นชอบ
ความประทับใจแรกของหลิวชิ่งกั๋วเมื่อได้พบซูอินถือว่าดีทีเดียว ในตอนนี้ยิ่งได้เห็นสีหน้าแสดงความรู้สึกผิด ยิ่งทำให้คะแนนความประทับใจในก้นบึ้งของหัวใจเพิ่มขึ้น
“นี่…เด็กน้อย”
หลิวชิ่งกั๋วเอ่ยเสียงต่ำ “จะบอกอะไรให้ นิสัยอย่างแม่คนนั้น ในชุมชนนี้มีไม่กี่คนหรอกที่จะไปข้องแวะ แต่จะมีหรือไม่มี หล่อนก็เป็คนแบบนั้นแหละ เอาละ ไม่ต้องคิดมาก”
เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนั้น ซูอินก็รู้สึกโล่งใจมากขึ้น
คนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่ช่วยเหลือเธอตามหาบ้าน พาเธอออกมาในวันที่อากาศร้อนอบอ้าว แค่นั้นก็พอแล้ว เธอไม่ควรขัดแข้งขัดขาคนอื่น
เมื่อจิตใจผ่อนคลาย เธอมองขึ้นไปบนหน้าต่างชั้นสองอีกครั้ง จะทำอย่างไรให้ได้บ้านหลังนี้มาไว้ในมือ
“อากาศร้อนแบบนี้ อย่ามัวแต่มาตากแดดเลย กลับไปที่บ้านของฉันก่อนดีกว่า”
หลิวชิ่งกั๋วเสนอ ครุ่นคิดสักครู่หนึ่งก็เอ่ย “ในชุมชนนี้มีบ้านเยอะแยะ ไม่ได้บ้านของหล่อน ก็ไปหาบ้านคนอื่นต่อ”
ซูอินเดินอยู่ตรงกลางระหว่างพวกเขาสองคน ก่อนจะทิ้งคำพูดไว้
“แต่ฉันชอบบ้านของพวกเขาค่ะ”
เธอตัดสินใจแล้วว่าไม่มีทางทำให้ซุนเจี้ยนกลายเป็ “คนรวยรุ่นที่สอง” อย่างเด็ดขาด เธอต้องคิดหาวิธีซื้อบ้านหลังนั้นมาให้ได้
ซูอินคิดไม่ถึงว่าโอกาสจะมาถึงเร็วเช่นนี้
ทว่ากลับมีเหตุการณ์อื่นขึ้นมาเสียก่อน
วันจันทร์ที่สถานีตำรวจ รถของตำรวจขับมาถึงหน้าโรงแรมเพื่อตามหาเธอ
เดิมทีการจัดการคดีเ่าั้ไม่มีทางเสร็จเร็วขนาดนี้ ที่สถานีตำรวจมีคดีที่รับผิดชอบมากมาย จะต้องรอคิวยาว แต่คดีของซูอินมีเบื้องบนโทรเข้ามา และบอกว่าให้นำเื่นี้ขึ้นมาจัดการก่อน หลังจากสอบปากคำไปเมื่อสัปดาห์ก่อน เสร็จในวันหยุดสุดสัปดาห์ วันจันทร์ก็มีเ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาหาทันที
ตอนที่รถของเ้าหน้าที่ตำรวจมาถึง ซูอินกำลังออกกำลังกาย
เหตุการณ์ระทึกใจที่ถูกอันธพาลขวางไว้วันนั้นได้เตือนสติเธออีกครั้ง ให้เธอเพิ่มความแข็งแกร่งให้ตนเอง หน้าโรงแรมมีสนามหญ้าผืนหนึ่งขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ ซึ่งใช้เป็สนามออกกำลังกาย
ใน่เร่งทบทวนการสอบขึ้นชั้นมัธยมปลาย ทำให้ซูอินเคยชินกับการตื่นมาอ่านหนังสือแต่เช้า ตอนนี้สอบเสร็จแล้ว เธอไม่จำเป็ต้องตื่นมาอ่านหนังสือ แต่ด้วยความเคยชิน ก่อนรับประทานอาหาร เธอจะลงมายังชั้นล่างเพื่อวิ่งที่สนามหญ้าเขียวขจีสองรอบ
อีกคนที่ยังคงยืนหยัดอยู่กับการออกกำลังกายคือหลินเฉวียน
ถึงแม้จะรู้จักกันไม่นาน แต่ในระหว่างนั้นเกิดเื่มากมาย ทำให้ซูอินกับหลินเฉวียนคุ้นเคยกันและมาออกกำลังกายด้วยกัน
หลายวันผ่านไปหลินเฉวียนพาเธอวอร์มร่างกายและช่วยปรับท่าวิ่งให้ถูกต้อง ซึ่งไม่เพียงทำให้เธอไม่าเ็และเหนื่อยจนเกินไปหลังจากการออกกำลังกาย กลับทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นกว่าเดิมร้อยเท่า
เมื่อวิ่งรอบสุดท้ายเสร็จ รถของเ้าหน้าที่ตำรวจได้เปิดไซเรนเข้าไปในโรงแรม
เ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้ามาติดต่อจำซูอินได้ จึงรีบเข้าไปหาพวกเขาทันที
คนปกติหากถูกเ้าหน้าที่ตำรวจมาตามตัวย่อมรู้สึกหวาดกลัว ใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ แต่ซูอินรู้จักอีกฝ่ายซึ่งเป็ตำรวจหญิงที่เพิ่งถูกส่งตัวมาประจำการอยู่ที่นี่ไม่นาน เธอชื่อหลิวเหม่ย ครั้งที่แล้วที่มีการสอบถามเื่ทะเบียนบ้าน เธอเป็คนอธิบายเื่ที่ซูอินสงสัย
เมื่อเห็นว่าคนที่มาหาเป็เธอ ในใจของซูอินก็ไม่รู้สึกประหม่าเท่าไรพร้อมก้าวเข้าไปต้อนรับด้วยรอยยิ้ม
“พี่เหม่ย มาได้ยังไงคะ”
สาวน้อยที่เพิ่งเสร็จจากการออกกำลังกายในยามเช้า หน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อ ใบหน้าแดงระเรื่อ ประดับด้วยรอยยิ้มพร้อมแววตาสดใสทำให้ใครที่เห็นต่างก็รู้สึกเอ็นดู
หลิวเหม่ยที่มีสีหน้าเคร่งขรึมในตอนแรกอดไม่ได้ที่จะแสดงท่าทีอ่อนโยนขึ้น ก่อนจะอธิบายให้ฟังอย่างใจเย็น
“วันนี้ก็แค่เดินทางไปไกล่เกลี่ย ไม่ต้องกลัวนะ”
“ไม่เป็ไรค่ะ แต่ว่าฉันเพิ่งวิ่งเสร็จ เนื้อตัวมีแต่เหงื่อ ต้องไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน พี่เหม่ยคะ พวกคุณกินอะไรมาหรือยัง กินข้าวกับพวกเราก่อนไหมคะ”
หลินเฉวียนที่อยู่ข้างๆ ซูอินได้ยินบทสนทนาที่พูดคุยด้วยท่าทีคุ้นเคยกับเ้าหน้าที่ตำรวจก็เข้าใจแล้วว่าเป็เื่อะไร
คงเป็เื่ที่เธอพูดเมื่อวานตอนที่ไปดูบ้าน
ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเจอกับพวกอันธพาลนั่นหรือ เมื่อนึกถึงเื่ที่ฉินหล่างไหว้วานตอนที่เขามาหาในครั้งก่อน หลินเฉวียนจึงเป็ฝ่ายเอ่ยปาก “วันนี้ฉันไม่ได้ทำอะไรอยู่แล้ว ฉันจะไปกับเธอด้วย”
“คุณเป็ใครคะ” หลิวเหม่ยแสดงสีหน้าสงสัย
ซูอินอธิบายพร้อมรอยยิ้ม “เขาชื่อหลินเฉวียน ทำงานที่นี่ เป็เพื่อนของฉันค่ะ”
ขั้นตอนการไกล่เกลี่ยไม่เข้มงวดมากนัก หากมีเพื่อนไปด้วยก็ไม่เป็อะไร ในเมื่อเธอยินยอม หลิวเหม่ยจึงไม่ถามให้มากความ รอให้ซูอินอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วพวกเขาสามคนรวมถึงคนขับรถก็ลงมารับประทานอาหารเช้าง่ายๆ ด้วยกัน ก่อนจะขึ้นรถเดินทางไปยังสถานีตำรวจ
ในขณะที่รถของเ้าหน้าที่ตำรวจมาจอดอยู่หน้าโรงแรม รถอีกคันหนึ่งของเ้าหน้าที่ตำรวจก็ไปถึงหน้าประตูคฤหาสน์ตระกูลหลิง
หลิงจื้อเฉิงยุ่งอยู่กับเื่โรงแรม ไม่มีเวลาใส่ใจเื่เล็กน้อยเหล่านี้ อู๋อู๋กับหลิงเมิ่งสองแม่ลูก เมื่อถูกคำพูดของซูอินทำให้จิตใจสับสนวุ่นวาย หลายวันมานี้ที่ไม่ได้เจออีกฝ่าย จิตใจของพวกเธอก็ค่อยๆ สงบลง
ก็แค่เด็กบ้านนอกไร้อำนาจคนหนึ่ง จะมีปัญญาทำอะไรได้
ด้วยเหตุนี้ พ่อแม่ลูกตระกูลหลิงที่โยนเื่นี้ออกจากหัวไปแล้ว เมื่อถูกเ้าหน้าที่ตำรวจเรียกตัวกะทันหันแบบนี้ พวกเขาจึงรับมือไม่ทัน
