อู่เอ้อร์รีบกล่าวด้วยน้ำเสียงแ่เบาจนแทบไม่ได้ยิน “ข้าเห็นอาหารของเ้านายมีอาหารมากกว่าพวกเราอีกสองชนิด เป็เต้าหู้เส้นๆ ที่ทำจากฟองเต้าหู้และเนื้อผัดน้ำแดง” จานหนึ่งนำฟองเต้าหู้มาหั่นเป็เส้นบางแล้วนำไปคลุกเคล้ากับต้นหอมและน้ำมันงา อีกจานทำโดยการนำหมูสามชั้นไปหั่นเป็ชิ้นแล้วนำไปตุ๋นกับน้ำตาล อาหารทั้งสองชนิดนี้มีกลิ่นหอมอบอวลยั่วน้ำลายผู้คนยิ่งนัก เพียงได้เห็นก็ลืมไม่ลงแล้ว
“พอแล้ว เ้านายให้เรากินไข่ไก่ทั้งยังมีฟองเต้าหู้ที่น่าอัศจรรย์เพียงนี้อีก เ้ายังอยากจะกินเนื้ออีกหรือ เหตุใดจึงไม่นึกถึงเมื่อก่อนบ้าง?” อู่อวี๋เหนียนถลึงตาใส่บุตรชายคนเล็ก
อู่เอ้อร์กล่าวอย่างอัดอั้นตันใจ “ท่านพ่อ ข้าเพียงหลุดปากเท่านั้น ไม่ได้คิดอยากกินเสียหน่อย” เขาอยู่ใน่วัยที่ร่างกายกำลังเติบโตย่อมมีความอยากอาหารมาก ที่บอกว่าไม่อยากกินนั้นเป็เื่โกหก แต่ในใจของเขารู้ดีว่านั่นเป็อาหารของเ้านาย ส่วนตนเองเป็เพียงบ่าวไพร่จึงไม่อาจกินได้ จะต้องยอมรับความจริงและแบ่งแยกให้ชัดเจน
อู่อวี๋เหนียนปรายตามองไปยังทุกคนในครอบครัว แล้วกล่าวขึ้นว่า “มนุษย์เราต้องรู้จักพอจึงจะมีความสุข คนเช่นพวกเรากระทั่งชีวิตก็อยู่ในกำมือของผู้อื่น จะต้องรู้จักพอจึงจะใช้ชีวิตอยู่ได้ เข้าใจหรือไม่” แม้คำพูดจะค่อนข้างรุนแรง แต่ความจริงก็เป็เช่นนี้เอง
อู่ต้าพยักหน้า “ทราบแล้วขอรับ”
นางจางรู้สึกว่ายามนี้บรรยากาศหดหู่ จึงพูดออกไปว่า “อย่าไปเทียบตนเองกับผู้อื่นเลย ให้เทียบกับตนเองจะดีกว่า เมื่อก่อนพวกเรากินไข่ไก่ได้หรือ กินไม่ได้ใช่หรือไม่ ตอนนี้พวกเราได้กินแล้ว ชีวิตดีกว่าเมื่อก่อนมากแล้ว นั่นย่อมเป็เื่ดี”
หลายวันก่อน ครอบครัวอู่เพิ่งทราบว่าพวกตนจะถูกขายทำให้กังวลจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ กลัวว่าคนในครอบครัวจะถูกขายให้เ้านายต่างคนกัน หากเป็เช่นนั้นครอบครัวก็ต้องแตกแยก แยกย้ายกันไปอยู่คนละบ้าน
ตอนนี้ทั้งครอบครัวกลายเป็บ่าวไพร่ของตระกูลหลี่แล้ว ไม่จำเป็ต้องกังวลว่าจะถูกขายอีก เพียงแค่เื่นี้ครอบครัวอู่ก็สมควรยินดีกับวาสนาแล้ว
เมื่ออู่เอ้อร์กินเสร็จก็เดินไปที่ห้องครัว คนตระกูลหลี่ล้วนเป็คนขยันขันแข็ง พวกเขาเก็บชามและตะเกียบมาใส่ไว้ในถังไม้ที่ห้องครัวเรียบร้อยแล้ว ทั้งยังเช็ดโต๊ะอาหารที่ห้องโถงจนสะอาดสะอ้านและทำความสะอาดพื้นเรียบร้อยแล้ว สิ่งที่อู่เอ้อร์ต้องทำมีเพียงล้างจานเท่านั้น
เมื่ออู่เอ้อร์ล้างจานเสร็จก็เดินไปที่ห้องโถง เพื่อดูว่ามีงานอะไรให้ทำอีกหรือไม่ พบว่าทุกคนในครอบครัวนอกจากจ้าวซื่อล้วนอยู่ที่นั่นกันครบ
“พวกเราได้ยินอาจารย์พูดกับจื้อเกาว่า บัณฑิตหลายคนของตระกูลชวีไม่สามารถเข้าร่วมการสอบเคอจวี่ได้ภายในระยะเวลาสิบปีนี้”
“ชีวิตคนเรามีสิบปีเพียงไม่กี่ครั้ง ชวีผิงคนเดียวสังหารชวีหง แต่กลับทำให้บัณฑิตของตระกูลชวีหลายคนเข้าร่วมการสอบไม่ได้”
นี่เป็เื่ที่จางซิ่วไฉพูดในสำนักศึกษา เห็นได้ว่าส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวง
เด็กชายทั้งสี่แห่งบ้านหลี่เต็มไปด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย
หลี่ซานกล่าวกำชับว่า “ไม่รู้ว่าชวีผิงหนีไปไหนแล้ว ลุงหวังของพวกเ้าเตือนว่า หากครอบครัวเราจะออกไปข้างนอกต้องระวังตัวกันสักหน่อย”
ตอนนี้เองหลี่หรูอี้กวาดตามองไปยังอู่เอ้อร์ผู้มีร่างกายซูบผอม จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “อู่เอ้อร์ ไปเรียกครอบครัวเ้ามา ท่านพ่อมีบางอย่างจะคุยด้วย”
ครอบครัวอู่มากันครบแล้ว หลี่ซานจึงวางมาดเป็หัวหน้าครอบครัวและนายท่านของบ้าน เล่าเื่คดีของตระกูลชวีให้พวกเขาฟัง “ก่อนที่ชวีผิงจะเกิดเื่เคยทะเลาะกับพวกเรามาก่อน คนผู้นี้มีใจคอโเี้อำมหิต ไม่แน่ว่าตอนกลางคืนอาจจะแอบเข้ามาในหมู่บ้านเพื่อมาล้างแค้นครอบครัวเราก็เป็ได้ ตอนกลางคืนพวกเ้าก็คอยฟังเสียงการเคลื่อนไหวเสียหน่อยแล้วกัน”
ครอบครัวอู่พากันตอบรับ
หลี่หรูอี้รอจนหลี่ซานพูดจบ จึงพูดขึ้นว่า “พวกเ้ามาอยู่ที่นี่ได้หลายวันแล้ว มีสิ่งใดไม่สะดวกหรือไม่”
อู่อวี๋เหนียนรีบตอบ “ไม่ขอรับ”
นางจางกล่าวด้วยท่าทางซาบซึ้งใจว่า “ขอบคุณนายท่าน ฮูหยิน นายท่านรอง คุณหนู และคุณชาย ที่รับพวกเราไว้ทั้งครอบครัวเ้าค่ะ”
หลี่หรูอี้กล่าวขึ้นว่า “พวกเ้าทำงานให้ดีก็พอแล้ว” จู่ๆ ในบ้านก็มีบ่าวไพร่เพิ่มขึ้นมาอีกสี่คน ตอนแรกย่อมรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง แต่เมื่อเวลาผ่านไปย่อมปรับตัวได้ ตอนนี้นอกจากหลี่ซานทุกคนต่างก็คิดว่ามีบ่าวไพร่ทำให้ประหยัดแรงไปได้มาก โดยเฉพาะจ้าวซื่อที่กล่าวต่อหน้าหลี่ซานและหลี่หรูอี้หลายครั้งหลายคราว่า การซื้อบ่าวไพร่เป็เื่ที่ถูกต้องแล้ว
“ั้แ่พรุ่งนี้เป็ต้นไป ครอบครัวเราต้องทำเต้าหู้เพิ่มอีกแปดร้อยชั่ง งานของพวกเ้าก็จะเพิ่มขึ้น ข้าตัดสินใจแล้วว่า จะให้เงินเดือนพวกเ้า อู่อวี๋เหนียนและนางจางได้คนละหนึ่งร้อยทองแดงต่อเดือน อู่ต้าได้แปดสิบทองแดงต่อเดือน อู่เอ้อร์ได้ห้าสิบทองแดงต่อเดือน” หลี่ซานกล่าวไปเช่นนั้น ทั้งๆ ที่ในใจก็รู้สึกเ็ปกับเงินที่จะต้องเสียไป แต่เมื่อเห็นครอบครัวอู่ซาบซึ้งใจจนดวงตาร้อนผ่าวมีน้ำตาคลอ ถึงขั้นคุกเข่าโขกศีรษะแสดงความซาบซึ้ง ก็รู้สึกว่าการจ่ายเงินส่วนนี้เป็สิ่งที่ถูกต้องแล้ว ทำให้เขารู้สึกเชื่อมั่นในตัวหลี่หรูอี้มากขึ้นอีกด้วย
ครอบครัวหลี่มอบเงินเดือนให้บ่าวไพร่เป็เื่ที่หลี่หรูอี้ตัดสินใจ นางบอกว่า ต้องให้ความหวังกับครอบครัวอู่ และเื่เช่นนี้ให้หลี่ซานที่เป็หัวหน้าตระกูลเป็ผู้ประกาศย่อมดีที่สุด
นางจางไปดูแลทารกน้อย ส่วนพ่อลูกอู่ทั้งสามก็กลับไปที่ห้องของตน อู่ต้าและอู่เอ้อร์กลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียงเตาด้วยความดีใจ ส่วนอู่อวี๋เหนียนก็ดีใจจนยิ้มไม่หุบเช่นกัน
พวกเขาขายตัวเป็บ่าวไพร่มิใช่เซ็นสัญญาจ้างงานระยะยาว เ้านายคนก่อนๆ ไม่ใช่ครอบครัวร่ำรวยหรือใหญ่โตอะไร ดูแลพวกเขาเพียงเื่อาหารการกินและที่พักอาศัยเท่านั้น มีเพียง่เทศกาลหรือปีใหม่ที่จะมอบรางวัลให้เพียงไม่กี่ทองแดง จะมอบเงินเดือนให้พวกเขาเฉกเช่นตระกูลหลี่ที่ไหนกัน
ครอบครัวอู่มีสี่คน เงินเดือนรวมกันแล้วก็มากถึงสามร้อยสามสิบทองแดง หากทำงานหนึ่งปีก็ได้เกือบสี่ตำลึง มากพอที่จะซื้อสาวใช้มาเป็ภรรยาให้อู่ต้าและอู่เอ้อร์ได้เลย
“ท่านพ่อ เงินเดือนของข้าก็ให้ท่านกับท่านแม่ทั้งหมดเถิด พวกท่านก็เก็บไว้ให้พี่ใหญ่แต่งภรรยา” อู่เอ้อร์เห็นใบหน้าแดงระเรื่อของอู่ต้าผ่านแสงตะเกียงสลัวๆ จึงนำหมอนเก่าๆ มายัดใส่อกของอู่ต้าแล้วกล่าวอย่างนึกสนุกว่า “พี่ใหญ่ วันนี้ท่านก็กอดหมอนแทนภรรยาก่อนเถิด”
อู่ต้าขว้างหมอนใส่อู่เอ้อร์ “น้องชายตัวดี รอข้าแต่งภรรยาก่อน เงินเดือนของข้าก็จะเก็บไว้ให้เ้าแต่งบ้าง”
ก่อนหน้านี้อู่อวี๋เหนียนไม่กล้าแม้แต่จะคิดเื่นี้ ตอนนี้บ้านหลี่บอกแล้วว่าจะมอบเงินเดือนให้พวกเขา ดังนั้นจึงค่อยกล้าคิด หากบอกว่าเขาดีใจจนนอนหัวเราะก็ไม่เกินจริงแม้แต่น้อย
ก่อนฟ้าสางพ่อลูกแซ่อู่มาที่ห้องบด มาถึงเร็วกว่าหลี่ซานและหลี่สือเสียอีก ลาเริ่มลากเครื่องโม่ บดถั่วเหลืองจนมีน้ำไหลออกมา ทั้งๆ ที่เป็งานเดิม แต่อารมณ์กลับแตกต่างไป พวกเขาทำงานกันไปอย่างสบายอารมณ์
ผู้ที่ดีอกดีใจเช่นเดียวกันก็คือ สวี่เจิ้งและเอ้อร์โก่วจื่อ ั้แ่วันนี้บ้านหลี่จะขายเต้าหู้เพิ่มให้พวกเขาอีกวันละหนึ่งร้อยชั่ง นอกจากนี้ก็มีคนตระกูลหวังที่บ้านหลี่จะขายเต้าหู้ให้พวกเขาเพิ่มอีกวันละแปดร้อยชั่ง ครอบครัวหวังไห่ได้ไปครอบครัวเดียวถึงหนึ่งร้อยชั่ง ส่วนครอบครัวอื่นแบ่งกันไปคนละยี่สิบกว่าชั่ง
นอกจากนี้ยังมีเื่ดีอีกเื่หนึ่ง ั้แ่พรุ่งนี้เป็ต้นไปบ้านหลี่จะขายอาหารชนิดใหม่ที่เรียกว่า ฟองเต้าหู้ วันแรกจะเป็การลองขายดูก่อน โดยจะขายให้บ้างสวี่สิบชั่ง ขายให้ตระกูลหวังร้อยชั่ง
ราคาขายส่งของฟองเต้าหู้คือ ชั่งละสี่ทองแดง กำหนดราคาขายปลีกอยู่ที่ชั่งละหกทองแดง เช่นนี้บ้านสวี่และตระกูลหวังก็จะได้กำไรชั่งละสองทองแดง ได้มากกว่าขายเต้าหู้ชั่งละครึ่งทองแดง
“ฟองเต้าหู้บางเพียงนั้น ข้าไม่เคยเห็นอาหารที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้มาก่อนเลย”
“วันนี้ข้าบอกกับลูกค้าเื่ฟองเต้าหู้แล้ว ทำเอาพวกเขาอยากกินมากทีเดียว”
“คนครอบครัวหลี่เก่งกาจมากความสามารถ ทั้งยังฉลาดเฉลียวจริงๆ ทำเต้าหู้ออกมาไม่นาน ก็ทำฟองเต้าหู้ออกมาอีกแล้ว”
“บ้านหลี่บอกว่า ฟองเต้าหู้มีเพียงหนึ่งไม่มีสองในแผ่นดิน ข้าว่ากิจการขายฟองเต้าหู้จะต้องดีเป็แน่”
หิมะตกโปรยปราย ลมหนาวพัดมาทำให้รู้สึกเย็นะเืถึงกระดูก ทว่าผู้คนกลับอารมณ์ดีราวกับมีลูกไฟร้อนๆ ลุกโชนอยู่ในใจ ทำงานกันอย่างสุขอุรา ไม่รู้สึกว่าหนาวเลยแม้แต่น้อย
ณ ตำบลจินจี
อากาศหนาว หิมะเต็มพื้น ทว่ากิจการร้านเกี๊ยวของชายชราไฝดำกลับดำเนินไปได้ด้วยดี โดยเฉพาะน้ำเต้าหู้ถ้วยละหนึ่งทองแดง แม้จะเจือจางแต่ก็อุ่น ทั้งยังมีกลิ่นของถั่วเหลือง ลูกค้าเก่าที่มาเยือนซื้อดื่มกันคนละถ้วยเพื่อให้ร่างกายอบอุ่น
ขณะนั้นมีลูกค้าคนหนึ่งบอกกับลูกค้าอีกคนว่า “บ้านหลี่ทําฟองเต้าหู้ออกมาแล้ว ข้าสงสัยจริงๆ ว่าฟองเต้าหู้เป็อย่างไร”
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้