“น้ำมันตะเกียงดีๆ จะกลายเป็น้ำมันศพไปได้อย่างไร!” สีหน้าของไทเฮาที่เต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
ชิงอีที่ดูไม่ได้ร้อนรนอะไร ก็หันไปหาฉู่จื่ออวี้
“ไปเอาน้ำมันตะเกียงมา” ฉู่จื่อวี้สั่งด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ ก่อนที่ชิงอีจะออกจากวังไป เขาก็สั่งให้คนคอยเฝ้าน้ำมันตะเกียงและตะเกียงแห่งชีวิตเป็พิเศษ
หลังจากนั้นไม่นาน ตะเกียงแห่งชีวิตก็ถูกยกออกมา
“ในเมื่อหมอหลวงทั้งหมดอยู่ที่นี่แล้ว ก็ให้พวกเขาตรวจสอบเลยสิ ว่าสิ่งนี้มันคืออะไรกันแน่?” ฉู่จื่ออวี้พูดด้วยความเยาะเย้ย
แม้ใบหน้าของไทเฮาจะยังคงสงบนิ่ง ทว่า ในใจของนางกลับเริ่มสั่นกลัวไปแล้ว
เหล่าหมอหลวงล้อมวงกันเข้ามา และหยิบเข็มเงินจุ่มลงไปในน้ำมันตะเกียง จากนั้นจึงหยิบออกมาดมกลิ่นและตรวจสอบอย่างระมัดระวัง รวมไปถึงมีการแลบลิ้นออกมาเพื่อเตรียมที่จะลิ้มรส
เซียวเจวี๋ยเห็นเข้าก็พูดว่า “สิ่งชั่วร้ายเช่นนี้ ข้าแนะนำท่านอย่าเอามันเข้าไปในปากจะดีกว่า”
หมอหลวงท่านนั้นที่เต็มไปด้วยความหาญกล้าปิดปากของเขาด้วยความขุ่นเคือง
หลังจากนั้นไม่นาน สีหน้าของเหล่าหมอหลวงก็ดูจริงจัง หัวหน้าหมอหลวงเดินออกมาและพูดว่า “ทูลไทเฮา สิ่งนี้เป็น้ำมันศพจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ!” สีหน้าของเขาดูไม่ดีเป็อย่างมาก “ฆาตกรที่อยู่เื้ั ช่างทะเยอทะยานนิสัยโฉดชั่วป่าเถื่อนราวกับหมาป่า จงใจใช้น้ำมันซากศพจุดตะเกียงแห่งชีวิตและจุดธูปเพื่อดับกลิ่นเหม็น น้ำมันนี้ดูเหมือนจะมีบางอย่างที่ทำให้หมดสติไป เมื่อสูดดมไปเป็เวลานานก็จะสูญเสียสติได้ง่าย จึงไม่แปลกที่ฝ่าาจะทรงไม่ฟื้นขึ้นมาสักที สิ่งนี้ไม่เพียงแต่ชั่วร้าย ทว่า ยังเป็อันตรายต่อพระวรกายอีกด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
ใบหน้าของไทเฮาซีดเผือดทันตา ร่างทั้งร่างก็เกือบจะทรงตัวไว้ไม่อยู่ และพูดพึมพำอย่างเหลือเชื่อ “เป็ไปได้อย่างไร... มันจะเป็น้ำมันศพได้อย่างไรกัน?”
“คนชั่วในวัดตงหวาสร้างความโกลาหลและทำร้ายผู้คน เหลี่ยวทิงกับวั่งจีนั่นก็ตายไปหมดแล้ว” ชิงอีพูดอย่างช้าๆ พร้อมกับสายตาที่คาดเดาไม่ได้จ้องมองไปยังไทเฮา “พวกเขาได้ชดใช้ความผิดทั้งหมดก่อนที่จะตาย รวมไปถึงเ้าอาวาสเจี้ยชือเองก็ได้ลงนามในคำปฏิญาณเพื่อเป็พยานแล้วเช่นกัน และคำให้การของเขาก็อยู่ในมือของข้าแล้ว ไทเฮาสนพระทัยที่จะฟังหรือไม่?”
รอยยิ้มของชิงอีที่ดูร้ายขึ้นเรื่อยๆ “โอ๊ะ คงจะสนใจจริงๆ ด้วย ข้าเองก็คิดไม่ถึงว่า จะมีคนส่งจดหมายไปที่วัดตงหวาเพื่อเตรียมการก่อนที่พวกหม่อมฉันจะไปถึงเสียอีก”
สีหน้าของไทเฮาเปลี่ยนไปเล็กน้อย สายตาจ้องไปที่กระดาษบางๆ ระหว่างนิ้วของเธอ
ฉู่จุหนิงที่ไม่รู้เื่ ยังคงคิดว่าไทเฮาเป็กังวลเื่น้ำมันจากศพ นางจึงเปิดปากพูดว่า “เสด็จแม่ของข้าไม่รู้ว่าน้ำมันตะเกียงนั่นเป็น้ำมันศพ นางสวดอธิษฐานขอพรด้วยใจจริง นางแค่ถูกคนชั่วในวัดตงหวาใช้เป็เครื่องมือเท่านั้น!”
“หุบปาก!” ไทเฮาะโออกมา
เ้าโง่นี่!
ถ้าไม่อธิบายก็ไม่เป็ไร แต่คำอธิบายนี้จะทำให้โทษฐานที่คิดร้ายกับฝ่าาตกอยู่ที่ตัวเองอย่างสมบูรณ์แบบ
เหล่าหมอหลวงต่างเห็นว่าสีหน้าของนางเปลี่ยนไป ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เื่ของวันนี้ก็ต้องเปิดเผยออกมาให้ได้
หญิงสาวที่โง่เขลา นำหมาป่าเข้ามาข้างในจนกระทบไปถึงฝ่าา!
นางไม่สามารถแบกรับบาปร้ายแรงเหล่านี้ได้
ใน่เวลาที่มาถึงทางตัน
“ฮองเฮาเสด็จแล้ว”
ทุกคนคุกเข่าคำนับ
ฮองเฮาตู้ที่เสด็จมาถึงช้า พร้อมกับท่าทางที่ยังคงอ่อนโยน คุกเข่าและกราบทูลกับไทเฮาว่า
“หม่อมฉันเพิ่งคัดลอกพระไตรปิฎกเสร็จและกักบริเวณเป็เวลาหนึ่งเดือน จึงทำให้หม่อมมาช้า ไทเฮาทรงโปรดอภัยให้หม่อมฉันด้วยเพคะ”
ไทเฮาที่ไม่สนใจความอ่อนโยนในคำพูดของนาง ทว่า เมื่อเห็นนางก็ราวกับว่าเป็ที่พึ่งพาให้ได้ จึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ฮองเฮามาก็ดีแล้ว”
ไทเฮาที่กำลังอยู่ในความสับสนวุ่นวาย รีบอธิบายเื่ทั้งหมดที่เกี่ยวกับน้ำมันตะเกียงให้นางฟังอย่างรวดเร็ว
ฮองเฮาตู้รู้สึกประหลาดใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น ทว่า ในแววตาของนางกลับมีความเย้ยหยันอยู่ ดูเหมือนว่าแม่มดเฒ่าคงจะตื่นตระหนกจริงๆ
“คนชั่วในวัดตงหวานั่น โดนจัดการไปเช่นนี้ก็ดีแล้ว! ไทเฮาที่เต็มไปด้วยปรารถนา ทว่า กลับกลายเป็การทำร้ายฝ่าา หมอหลวง ฝ่าาได้รับน้ำมันศพนี้มาเป็เวลานานขนาดนี้ คงไม่...” ฮองเฮาตู้พูดไปร้องไห้ไป
หทัยของไทเฮาถึงกับสั่นเทา เมื่อได้ฟังสิ่งที่ฮองเฮาเพิ่งจะพูดไป ราวกับเป็การกระทืบนางซ้ำลงไปที่พื้นอีกครั้ง นางสารเลวนี่ ได้ทีขี่แพะไล่ชัดๆ!
เหล่าหมอหลวงต่างมองหน้ากันและพูดว่า “ยามนี้มีเพียงวิธีเดียวคือต้องรีบเอาน้ำมันตะเกียงออกอย่างรวดเร็ว กระหม่อมจะทำการตรวจฝ่าาอย่างละเอียดอีกครั้ง และหวังว่าจะสามารถขจัดอันตรายในน้ำมันศพได้”
“เช่นนั้นคงต้องรบกวนหมอหลวงแล้วล่ะ” ฮองเฮาตู้พูดด้วยน้ำตา
สีหน้าของไทเฮาที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ ในใจก็ว้าวุ่นสับสน อีกด้านก็ยังมีฉู่จุนหนิงที่รู้สึกไม่สบายใจ นางก้าวไปข้างหน้าและจับมือของฮองเฮา จากนั้นก็พูดว่า “ฮองเฮา ท่านต้องช่วยเสด็จแม่ของหม่อมฉันนะเพคะ! นางไม่เคยคิดร้ายต่อฝ่าาเลย เป็พวกคนชั่วเ่าั้ถือโอกาสจากความโกลาหล...”
“ฉู่จุนหนิง!” ไทเฮาสั่นสะท้านไปด้วยความโกรธ ด้วยความพยายามที่จะดึงนางกลับมา จึงเป็ผลให้ข้าหลวงที่รายล้อมอยู่ต่างก้มศีรษะลง นางจึงทำได้เพียงดึงลูกสาวที่โง่เขลากลับมาด้วยตนเอง
สีหน้าฮองเฮาตู้เผยถึงความลำบากใจ นางถอนหายใจและพูดออกมาว่า “แม้ว่าข้าจะเป็ฮองเฮา ทว่า เื่พระวรกายของฝ่าา ถือเป็เื่ใหญ่ ข้าคงพูดให้ไม่ได้หรอก” ใบหน้าของนางอับจนหนทาง “ไทเฮา เกรงว่าเื่นี้คงต้องลำบากท่านแล้วล่ะ อีกอย่างฮองเฮาไม่ยุ่งเกี่ยวกับเื่ในราชสำนัก ส่วนเื่ก่อนหน้านั้น ถึงหม่อมฉันจะอยากช่วย แต่ก็ไม่มีอำนาจอยู่ดี!”
ไทเฮายิ้มอย่างดูถูก ในใจก็คิดว่าตระกูลตู้ของฮองเฮาควบคุมราชสำนักไปครึ่งหนึ่ง ยังมีหน้ามาพูดเช่นนี้อีก?!
ภายในใจของนางเกลียดเป็อย่างมาก และรู้ว่าในยามนี้ตนเองโชคร้ายเข้าให้แล้ว
ฮองเฮาตู้มาทีหลังและฉวยโอกาสใส่ร้ายนาง นับว่าเป็การแก้แค้นอย่างสมบูรณ์แบบ สำหรับการถูกกักบริเวณหนึ่งเดือน
ในชั่วพริบตา ดูเหมือนว่าไทเฮาแก่ขึ้นไปอีกหลายสิบปีด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความอ่อนล้า “คราวนี้ข้าผิดเอง ข้าเองก็ละอายใจต่อฝ่าา! ข้าจะสำนึกผิดในเื่ที่ทำลงไป ด้วยการสวดอธิษฐานต่อหน้าพระพุทธองค์เป็เวลาร้อยวัน”
“แค่ร้อยวันเองหรือ?” ชิงอียิ้มบางๆ
ภายในใจของไทเฮาเต็มไปด้วยความโกรธ ท่าทีที่มองดูนางก็โกรธเคืองเป็อย่างมาก ฉู่จุนหนิงที่อยู่ข้างๆ ลึกๆ ก็อดไม่ได้ที่จะโกรธเคืองเช่นกัน “ฉู่ชิงอี เ้าได้คืบแล้วจะเอาศอก!”
คืบอะไรกัน พญามัจจุราชเอาศอกเสมอมาอยู่แล้วต่างหาก!
“พูดไปแล้ว ไม่ใช่ว่าองค์หญิงจุนหนิงควรถูกกักบริเวณอยู่ที่วังนอกเมืองหลวงหรอกหรือ? ฝ่าายังทรงไม่ฟื้น ใครให้ความกล้าหาญแก่เ้ากัน เ้าถึงได้ขัดคำสั่งของฝ่าาแล้วออกมาวิ่งเล่นเช่นนี้?”
ใบหน้าของฉู่จุนหนิงเปลี่ยนไปทันที แน่นอนว่าเป็เพราะนางมีไทเฮาที่คอยหนุนหลังอยู่ จึงออกมาเช่นนี้ได้ ทว่า ตอนนี้...
นางถึงกับชะงักไปครู่หนึ่ง และในที่สุดก็รู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้ไม่ดีสำหรับตนเองแล้ว
“เสด็จแม่...” ฉู่จุนหนิงกลับไปหลบอยู่ข้างไทเฮา
มือของไทเฮาสั่นเล็กน้อย มองดูผู้คนที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ริมฝีปากสั่นเทากำลังจะพูด ทว่า กลับเป็ฉู่จื่ออวี้ที่พูดด้วยใบหน้าเรียบเฉยขึ้นมาก่อน “พาองค์หญิงจุนหนิงกลับไปที่วังนอกเมืองหลวง! หากไม่มีพระประสงค์ของฝ่าา อย่าได้ปล่อยนางออกมาแม้แต่ก้าวเดียว!”
“ไม่! ข้าไม่กลับ! ข้าไม่...” ฉู่จุนหนิงะโออกมา ไม่ว่าเอวและคอของนางจะหนาขนาดไหน ก็ไม่สามารถต้านทานกำลังของเหล่าองครักษ์ได้ สองแขนสองขาที่พยายามดิ้นรน สุดท้ายก็ถูกมัดและลากไป “เสด็จแม่ ช่วยข้าด้วย! เสด็จแม่ช่วยข้าด้วย”
“หนิงเอ๋อร์! หนิงเอ๋อร์”
ไทเฮารีบวิ่งตามไป ไม่สามารถควบคุมน้ำตาของผู้เป็แม่ไม่ให้ไหลได้
แม่และลูกสาวที่กำลังแสดงฉากที่น่าเศร้า ราวกับว่าการแยกจากกันระหว่างพวกเขาคือการแยกหยินและหยาง
ดัดจริตเสียจริง
ชิงอีกลอกตา เมื่อมองไปยังข้าหลวงในวังฉางเล่อที่ยืนตะลึงงัน นางก็ตำหนิออกไปว่า “ยืนบื้ออะไรอยู่อีก ยังไม่ไปขัดขวางไทเฮาอีกหรือ!”
เหล่าข้าหลวงที่เพิ่งจะได้สติกลับคืนมา ก็รีบวิ่งไปข้างหน้าขวางไทเฮาไว้ ทว่าก็ถูกนางผลักออกไป
หนึ่งในลิ่วกง[1] ผู้ชนะคนสุดท้ายของานางในจ้องมองไปที่ชิงอีด้วยสายตาเคร่งขรึม ราวกับว่า้าสลักรูปลักษณ์ของนางไว้ในสมองอย่างไรอย่างนั้น ดวงตาที่มืดมนของไทเฮาก็ก้มลงไปมองที่ใบหน้าฮองเฮาของตู้
นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และยืดหลังตรง “ข้าเดินเองได้!”
แผ่นหลังที่อ้างว้างและน่าสลดใจเพียงใด เพียงแต่หลังงอหลังตรงแค่ไหน ภายนอกก็ดูแข็งแกร่ง
ในดวงตาของฮองเฮาตู้ที่มีความเยาะเย้ยพาดผ่านไป และในไม่ช้าสีหน้าก็กลับมาเป็ดังเดิม เมื่อมองไปด้านข้าง ก็เห็นรอยยิ้มที่สมบูรณ์แบบก็ปรากฏบนใบหน้าของนางอีกครั้ง “ยินดีกับองค์หญิงใหญ่ที่กลับมายังวัง ข้าไม่เคยคิดเลยว่าจะปีศาจร้ายอยู่ในวัดตงหัว องค์หญิงคงต้องใแย่เลยใช่ไหม?”
“จะไปนับประสาอะไรกับปีศาจคนชั่ว ระหว่างการเดินทางยังมีนักฆ่าอีกด้วยนะ” ชิงอีมองนางด้วยรอยยิ้มบางๆ “โชคดีที่นักฆ่าไม่ได้ตายทั้งหมด ยังมีชีวิตรอดอยู่หนึ่งหรือสองคน คิดว่าอีกไม่นานฆาตกรตัวจริงที่อยู่เื้ัจะถูกเปิดเผย”
ในใจของฮองเฮาตู้สั่นไหว ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้ายังคงไม่เปลี่ยนแปลง
“เช่นนี้ ข้าก็ต้องยินดีกับองค์หญิงแล้วล่ะ” นางพยักหน้าเมื่อพูดจบ จากนั้นก็ขึ้นรถม้ากลับวัง และรีบพาผู้คนออกไปอย่างรวดเร็ว
ทันทีที่หันหลังกลับ ใบหน้าทั้งหน้าก็แปรเปลี่ยนเป็มืดมนอย่างหาที่เปรียบมิได้ ในแววตาก็เต็มไปด้วยหงุดหงิด
เห็นได้ชัดว่าคนที่ถูกส่งออกไปคือผู้ที่ไม่กลัวตาย แม้ว่าภารกิจจะล้มเหลว ทว่าการที่คนเ่าั้ก็ฆ่าตัวตายก็ถูกแล้ว จะถูกปล่อยให้มีชีวิตอยู่ได้อย่างไร!
************************
[1] ลิ่วกงคือที่พำนักของนางสนม
