สองเดือนต่อมา ณ เมืองหยางโจว ตำหนักเ้าเมืองเก่าได้เปลี่ยนเป็ตำหนักผู้บัญชาการ ราวกับเป็เมืองเล็กๆ แห่งใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นภายในเมืองหยางโจว
พื้นที่รอบตำหนักผู้บัญชาการมีขนาดใหญ่กว่าแต่ก่อน มันมีทั้งตำหนัก ศาลา แม้กระทั่งป้อมปราการ มันทั้งสง่างามและให้ความรู้สึกถึงพลังอำนาจมหาศาล
นอกจากนี้ ดูเหมือนว่าทั้งสี่ด้านของตำหนักจะไม่มีกำแพง เพราะถึงตอนนี้มันยังคงขยับขยายออกไปเรื่อยๆ
นอกเหนือจากเหล่าทหารม้าโลหิตที่กำลังก่อสร้างสิ่งต่างๆ แล้ว ภายในบริเวณตำหนักยังมีคนอื่นๆ อยู่ด้วย ซึ่งคนเหล่านี้มีทั้งผู้ที่ถูกว่าจ้างให้มาช่วยงานและกลุ่มคนที่มาช่วยในฐานะอาสาสมัคร
ผู้คนในเมืองหยางโจวขณะนี้ต่าง้าไปที่ตำหนักผู้บัญชาการและเต็มใจไปช่วยงานที่นั่น เพราะพื้นที่ตำหนักในตอนนี้มีหยวนชี่ที่หนาแน่น ซึ่งหมายความว่ามันเป็สถานที่ที่มีประโยชน์ต่อผู้ฝึกยุทธ์เป็อย่างมาก
พื้นฐานของทักษะยุทธ์นั้นคือหยวนชี่ฟ้าดิน การดูดซับหยวนชี่ฟ้าดินจะสามารถขยับขยายเส้นเืและเส้นเอ็น รวมไปถึงเพิ่มความแข็งแกร่งของผู้ฝึกยุทธ์ เพราะอย่างนั้นจึงไม่มีผู้ฝึกยุทธ์คนไหนปฏิเสธหยวนชี่ฟ้าดิน
แต่ผู้คนในเมืองหยางโจวไม่ได้มีหินหยวนไว้ในมากนัก หาก้าฝึกฝน มันจะเป็การฟุ่มเฟือยมากขึ้น พวกเขาจึงได้แต่ดูดซับหยวนชี่ฟ้าดินในอากาศเพื่อเพิ่มพลังการบ่มเพาะของตน อย่างไรก็ตามในตอนนี้ที่ตำหนักผู้บัญชาการ พวกเขาจึงมีโอกาสที่จะอยู่ในพื้นที่ที่มีหยวนชี่ฟ้าดินหนาแน่น แม้พวกเขาจะแค่เข้าไปช่วยงานเฉยๆ ก็ยังได้รับผลประโยชน์ไปด้วย อีกทั้งพวกเขาสามารถฝึกฝนที่บริเวณรอบนอกตำหนักได้อีกด้วย
ตำหนักผู้บัญชาการในตอนนี้ถูกแบ่งออกเป็ตำหนักนอกและตำหนักใน ซึ่งตำหนักในนั้นเป็พื้นที่หลักของตำหนักผู้บัญชาการ ที่นี่ไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปได้ ยกเว้นทหารม้าโลหิต หากใครฝ่าฝืน ผู้นั้นจะต้องตาย
ในขณะนั้นได้มีร่างเงาไม่กี่ร่างกำลังเดินผ่านประตูพื้นที่ด้านในตำหนักไปยังด้านนอก พวกเขาเป็กองทหารม้าโลหิตที่กำลังควบม้าวิ่งเต็มกำลังจนเกิดพายุฝุ่นขึ้นเื้ัพวกเขา ในชั่วพริบตาพวกเขาก็ลับสายตาไป
“ผู้บัญชาการหลินเฟิง ช่างเป็ชายหนุ่มที่กล้าหาญและน่าเกรงขามจริงๆ”
“ใช่ เขายังเยาว์วัยเหมือนกับข่าวลือที่ข้าได้ยินมาเลย ช่างเป็เกียรติแก่ข้ายิ่งนักที่ได้เห็นผู้บัญชาการหลินเฟิง”
ด้านนอกมีฝูงชนกำลังมองม้าโลหิตที่วิ่งผ่านไป ในสายตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น หลินเฟิงในวันนี้ได้กลายเป็ตำนานของเมืองหยางโจว ผู้คนยังคงกล่าวขานและวิพากษ์วิจารณ์เขาไม่ขาดปาก การได้เห็นหลินเฟิงสักครั้งถือว่าเป็เกียรติมากสำหรับพวกเขา นอกจากนี้แม้ว่าหลินเฟิงจะเป็ขุนนาง แต่พวกเขาก็ชอบเรียกเขาว่า ‘ผู้บัญชาการหลินเฟิง’
คำว่า ‘ผู้บัญชาการ’ นั้นทั้งฟังดูสูงส่งและน่าเกรงขาม ซึ่งสอดคล้องกับสถานะของหลินเฟิงในตอนนี้ที่สุด
“เ้าเคยเห็นคนรักของเขาไหม? สาวงามผู้นั้นสวมผ้าคลุมหน้าราวกับเทพธิดาเชียวล่ะ”
“แน่นอนข้าเคยเห็น แม้จะยังไม่เห็นใบหน้าสักครั้งก็ตาม แต่ข้าพนันได้เลยว่านางต้องเป็หญิงสาวที่โดดเด่น นางต้องเหมาะสมกับผู้บัญชาการหลินเฟิงอย่างแน่นอน”
ผู้คนกำลังแสดงความคิดเห็นกันไปต่างๆ นานา หลังจากที่ม้าศึกของหลินเฟิงได้วิ่งผ่านพวกเขาไปแล้ว
“เมิ่งฉิง ทุกคนต่างพูดว่าเ้าเป็คนรักของข้า”
หลินเฟิงกล่าวขณะอยู่บนหลังม้าและเหลือบมองเมิ่งฉิงที่กำลังควบม้าอยู่ข้างๆ หลินเฟิงยิ้มอย่างสดใสท่ามกลางเสียงพูดคุยของฝูงชน
เมิ่งฉิงเหลือบมองหลินเฟิงแล้วไม่ได้กล่าวอะไร ถึงอย่างนั้นหลินเฟิงก็ยังคงยิ้มให้นางอย่างยินดี เพราะเมื่อก่อนเมิ่งฉิงเ็าราวกับน้ำแข็งและไร้อารมณ์ความรู้สึกโดยสิ้นเชิง แต่ในวันนี้อย่างน้อยนางก็หันมามองเขา จากปฏิกิริยาดังกล่าวเห็นได้ชัดว่านางค่อยๆ เปลี่ยนไปเล็กน้อย
กลุ่มทหารม้าโลหิตกำลังวิ่งออกจากตำหนัก แล้วพวกเขาก็ออกจากเมืองหยางโจวอย่างรวดเร็ว ทั้งหมดต่างควบม้าไปตามถนนสายเก่าแก่ที่กว้างขวางอย่างเป็ระเบียบ
…
เมืองเทียนลั้วเป็เมืองโบราณที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานนับล้านปี
เมืองโบราณแห่งนี้แม้จะผ่านกาลเวลามาเนิ่นนาน แต่ก็ยังคงมีกลิ่นอายของเมืองอันเก่าแก่อบอวลอยู่โดยรอบ และที่ประตูทางเข้ามีรูปสัตว์อสูรปีศาจถูกแกะสลักไว้อย่างประณีต เป็ภาพสัตว์ในตำนานอย่างนกฟีนิกซ์ หลังปีกของมันมีเปลวเพลิงลุกโชนอยู่และเต็มไปด้วยกลิ่นอายที่แปลกประหลาด
เมืองเทียนลั้ว หรืออีกชื่อหนึ่งก็คือ ‘เมืองฟีนิกซ์’
เมืองเทียนลั้วตั้งอยู่ใจกลางอาณาจักรเสวี่ยเยว่ มันถูกล้อมรอบไปด้วยทะเลทราย เมื่อมองไปสุดสายตาจะไม่เห็นอะไรเลยนอกจากทรายสีเหลือง อย่างไรก็ตามตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ที่นี่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาเมือง ซึ่งเป็หนึ่งในศูนย์กลางการค้าขนาดใหญ่ในอาณาจักรเสวี่ยเยว่ เมืองแห่งนี้นับว่าเป็จุดแลกเปลี่ยนสินค้าขนาดใหญ่แห่งหนึ่งทีเดียว
มีชาวพื้นเมืองไม่กี่คนที่อาศัยอยู่ในเมืองเทียนลั้ว ส่วนผู้คนที่เดินสวนกันไปมาเ่าั้มักจะเป็พ่อค้าหรือนักท่องเที่ยวที่มา เพื่อเจรจาแลกเปลี่ยนสินค้าที่ตัวเอง้า
ในอาณาจักรเสวี่ยเยว่มีประโยคหนึ่งที่ว่า ‘หากเ้า้าสิ่งใด จงไปเมืองเทียนลั้ว แล้วเ้าจะพบสิ่งที่เ้าตามหา’
ค่าเฉลี่ยของผู้ฝึกยุทธ์ในเมืองเทียนลั้วนั้น นับว่าแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกยุทธ์ในอาณาจักรเสวี่ยเยว่นัก ผู้ที่อยู่ขอบเขตนักรบลมปราณระดับต่ำมักจะรู้สึกอับอายเมื่อมาที่นี่ เพราะที่นี่ล้วนเต็มไปด้วยผู้ฝึกยุทธ์มากฝีมือ
บางครั้งเมื่อผู้คนเห็นผู้ฝึกยุทธ์ที่ไม่รู้จักเดินอยู่ตามถนน บางทีพวกเขาอาจเป็ถึงผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตแห่งจิติญญาหรือแม้กระทั่งขอบเขตลี้ลับ ซึ่งนี่เป็เสน่ห์ของเมืองโบราณแห่งนี้
ในขณะนั้นที่นอกเมืองเทียนลั้ว พลันปรากฏกลุ่มม้าโลหิตกำลังวิ่งอยู่บนพื้นทะเลทราย รอบตัวพวกเขาถูกล้อมรอบไปด้วยพายุฝุ่นสีเหลือง ปลายทางที่พวกเขากำลังมุ่งหน้าไปคือเมืองโบราณแห่งนี้ กลุ่มคนกลุ่มนี้มี 3 คนคือหลินเฟิงและอีกสองคน
หลินเฟิงและเมิ่งฉิงกำลังควบม้าอยู่ด้านหน้า โดยมีป้าเตาที่สวมหน้ากากอยู่ด้านหลัง วันนี้ป้าเตานิ่งเงียบไปราวกับกำลังเก็บซ่อนความแข็งแกร่งและอารมณ์ในใจได้ดีขึ้น
“เมิ่งฉิง เมืองเทียนลั้วเป็เมืองที่มีอิสระเสรีที่สุดในอาณาจักรเสวี่ยเยว่ แม้ว่าพวกเราจะสามารถเข้าไปข้างในได้ตาม้า แต่ภายในเมืองกลับอันตรายมาก”
หลินเฟิงกล่าวกับเมิ่งฉิง เพราะประสบการณ์การใช้ชีวิตของเมิ่งฉิงนั้นน้อยกว่าเขา ดังนั้นหลินเฟิงจึงอธิบายให้นางฟัง
“อืม” เมิ่งฉิงตอบกลับพลางพยักหน้าเล็กน้อย เห็นท่าทางดังนั้นแล้วหลินเฟิงจึงหันหน้ากลับไปมองทางข้างหน้าได้อย่างวางใจ สุดสายตาของหลินเฟิงเห็นเพียงม้าสองตัวอยู่ทางซ้ายมือของพวกเขากำลังวิ่งเข้าไปในเมืองก่อน
“ทั้งสองเป็ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 9”
ป้าเตากระซิบด้านหลังหลินเฟิง ทำให้หลินเฟิงประหลาดใจ อย่างที่เขาคิดไว้ไม่มีผิด ว่าข่าวลือเกี่ยวกับเมืองเทียนลั้วเป็ความจริง
ในขณะนั้นพวกเขาได้วิ่งผ่านทะเลทรายสีเหลือง จนมาถึงถนนที่สร้างด้วยหินสีฟ้าซึ่งทอดยาวไปยังประตูเมืองฟีนิกซ์
แต่ในขณะเดียวกันก็มีร่างเงาสองร่างก็ร่อนลงมาจากอากาศ จากหอประตูเมืองมาขวางทางของพวกเขา
หลินเฟิง ป้าเตาและเมิ่งฉิงดึงบังเหียนกะทันหัน ทำให้ม้าของพวกเขาค่อยๆ ชะลอความเร็วและหยุดลงในที่สุด
พวกเขามองร่างเงาทั้งสองร่างที่อยู่ด้านหน้า พวกเขาเป็ชายหนุ่ม 2 คนที่มีอายุ ประมาณ 30 ปี หนึ่งในพวกเขาดูเยือกเย็นและมืดมน ส่วนอีกคนมีรอยยิ้มชั่วร้ายประดับอยู่บนใบหน้า เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ได้มีเจตนาดี
“เ้า้าอะไร?”
หลินเฟิงถามด้วยน้ำเสียงเ็าขณะจ้องมองพวกเขา
“ใครก็ตามที่เข้าไปในเมืองเทียนลั้ว จะต้องจ่าย 10 หินหยวนระดับกลางเป็ค่าผ่านทาง พวกเ้ามีสามคนก็ 30 ก้อน หากจ่ายหินหยวนระดับต่ำก็ต้องจ่ายมา 300 ก้อน”
หนึ่งในพวกเขากล่าวขณะยิ้มอย่างชั่วร้าย ทำให้หลินเฟิงต้องขมวดคิ้ว
“เมืองเทียนลั้วเป็เมืองแห่งเสรีภาพ ทำไมต้องจ่ายเป็ค่าผ่านทางด้วย? อีกอย่างหากต้องจ่ายจริงๆ แล้วทำไมต้องจ่ายให้พวกเ้าด้วย?”
หลินเฟิงกล่าวอย่างเ็า
“อยากเข้าก็จ่ายมา พูดจาไร้สาระอยู่ได้” เมื่อคนนั้นได้ยินคำพูดของหลินเฟิงจึงะโอย่างโกรธเกรี้ยวขึ้นมา
ตอนนี้หลินเฟิงดูเยือกเย็นเล็กน้อย เมื่อครู่ได้มีสองคนเข้าไปในเมือง แต่สองคนนี้ไม่ได้ขัดขวางแต่อย่างใด ทว่าขณะที่พวกเขาทั้งสามมาถึง อีกฝ่ายกลับโผล่มา เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายต้องมองพวกหลินเฟิงเป็พวกอ่อนแออย่างแน่นอน
เมืองเทียนลั้วเป็์ของผู้ที่แข็งแกร่ง แต่ในทางกลับกัน ที่นี่เปรียบเสมือนนรกของผู้อ่อนแอ
“หากข้าไม่จ่ายล่ะ?” หลินเฟิงกล่าวอย่างไม่แยแส
“ไม่จ่าย?” ชายคนหนึ่งยิ้มเยาะเย้ย ที่เมืองเทียนลั้วแห่งนี้ แม้จะมีผู้ที่แข็งแกร่งมากมาย แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะแข็งแกร่งไปหมดทุกคน เช่นเดียวกับหลินเฟิงที่ยังเยาว์วัยนัก ไม่ว่าพร์จะเป็เช่นไร หาก้าเข้าไปในเมืองล่ะก็ คนประเภทเดียวกับเขามักจะกลายเป็เป้าหมายของพวกเขา
พวกเขามักจะอยู่เฝ้าประตูเมืองและคอยรีดไถ่หินหยวน ซึ่งมันเป็เื่ง่ายมากที่จะทำเช่นนี้ เพราะคนที่มาเมืองเทียนลั้วมักจะมีจุดประสงค์เพื่อทำการค้าทั้งนั้น
“ไม่จ่าย เ้าก็ต้องตาย!” ชายคนหนึ่งกล่าวเสียงเย็น พลันปลดปล่อยจิตสังหารออกมา
“จ่ายเพียง 30 หินหยวนระดับกลางเพื่อแลกกับสามชีวิต เ้าลองคิดให้ดีๆ นะ” ชายอีกคนหนึ่งถามพร้อมแสยะยิ้มชั่วร้าย
“ไม่ต้องหรอก ข้าคิดดีแล้ว” หลินเฟิงกล่าวขณะบังคับม้าถอยหลังไปไม่กี่ก้าว ทั้งสองคนนั้นก็ยิ้มเยาะเย้ยและกล่าวว่า “เ้าคิดจะหนีหรือ?”
เมื่อพวกเขากล่าวจบ ป้าเตาก็พุ่งไปหาพวกเขาและปลดปล่อยลมปราณออกมา ในขณะนั้นลมปราณของป้าเตากลายเป็พลังใบมีดอันแหลมคมและเยือกเย็น
สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว นี่คืออำนาจมีดที่ทรงพลัง นอกจากนี้อีกฝ่ายก็ยังอยู่ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 7 เช่นเดียวกับพวกเขา
“ตาย!”
ป้าเตาคำรามเสียงต่ำพลางกวาดสายตามองพวกเขาที่ตอนนี้ดวงตาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ขณะนี้เองกลับมีแสงสว่างจ้า ทันใดนั้นศีรษะของทั้งสองคนก็ถูกตัดโดยไม่ทันตั้งตัว
ส่วนป้าเตายังคงไร้ความรู้สึกใดๆ
“ไปกันเถอะ” หลินเฟิงกล่าวขึ้น แล้วทั้งสามคนก็เข้าไปในเมืองเทียนลั้ว
ในขณะนั้นได้มีชายหนุ่ม 2 คนและหญิงสาวอีก 1 คน เมื่อพวกเขาเห็นหัวสองหัวกลิ้งอยู่บนพื้น พวกเขาต่างก็ตกตะลึงจนหายใจไม่เป็จังหวะ
“ช่างเป็มีดที่ร้ายกาจยิ่งนัก!”
หญิงสาวกล่าวอย่างแ่เบา พวกเขาทั้งสามได้เดินทางมาถึงเมืองเทียนลั้วได้สักพักแล้ว แต่พวกเขากลับเห็นคนพวกนั้นกำลังปล้นหินหยวน ก็เลยซ่อนตัวจนถึงตอนนี้
“คนที่สวมหน้ากากเขาเป็ใครกัน? เขาน่าจะบรรลุขอบเขตมีดแล้ว ข้าได้ยินมาว่าศิษย์หลักอันดับสองของตระกูลเฮ่าเยว่มาที่เมืองเทียนลั้วเหมือนกัน บางทีอาจจะเป็เขาก็ได้”
หญิงสาวพึมพำอีกครั้ง แต่กลับได้ยินผู้ชายที่อยู่ข้างๆ กล่าวว่า “ถ้าเขาเป็คุณชายเตา แล้วอีกสองคนล่ะเป็ใครกัน?”
หญิงสาวส่ายหน้าบ่งบอกว่านางนั้นไม่รู้ จากนั้นทั้งสามคนก็เข้าไปในเมืองเทียนลั้ว