......
ใน่เวลาพักฟื้น เจี่ยหลีไม่อาจควบคุมการตื่นและการหลับของตนเองได้ดังใจ ราวกับว่าในเส้นชีพจรมีกระแสธารเชี่ยวกราก ม้าศึกนับหมื่นกำลังควบทะยาน หรือดั่งน้ำตกบนฟากฟ้าที่โถมกระหน่ำ ร่างกายเล็กจ้อยกลับต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ที่ยากจะทานทน
ยามตื่น หากไม่ได้นั่งสมาธิบำเพ็ญเพียรอย่างตั้งใจ อวัยวะภายในทั้งห้าก็อาจแตกสลายได้ทุกเมื่อเชื่อวัน ยามหลับ หากไม่ได้รับการ “เตือน” จากเยว่อู๋โยว บางทีเขาอาจต้องหลับใหลชั่วนิรันดร์ มิอาจตื่นขึ้นมาได้อีก
วิธีการปลุกเจี่ยหลีของหญิงสาวผิวสีน้ำผึ้งผู้นี้ มักมีจุดเริ่มต้นจากการร่วมรักเสมอ เมื่อเจี่ยหลีที่าเ็สาหัสตื่นขึ้น สิ่งแรกที่นางจะทำ หากไม่ใช่การใช้ริมฝีปากนุ่มนวลอมพร้อมเกี่ยวกระหวัดรัดดึงแท่งั ก็อาจเป็การให้ท่อนเนื้อแข็งขืนสอดแทรกเข้าออกในช่องสวาทเบื้องล่างนาง ราวกับวันแรก ร่องรอยแห่งเปลวเพลิงและฟืนที่สุมโหม ผิวสีน้ำผึ้งเกลี้ยงเกลาเป็ประกายดุจเครื่องทองสัมฤทธิ์โบราณ ทั้งงดงามดั่งบทกวี และยั่วยวนเกินประมาณ
ภายใต้การสลับสับเปลี่ยนระหว่างความรู้สึกตัวและห้วงนิทรานี้ ไม่อาจรู้ได้เลยว่าหยาดหยดน้ำวิสุทธิ์ของเขาหลั่งไหลเข้าไปในร่างของนางมากเท่าใด
เยว่อู๋โยวบอกว่านางเป็สตรีโอสถ บางทีอาจเป็เพราะฤทธิ์โอสถที่ซึมซาบเข้าสู่ร่างกาย ความร้อนรุ่มที่จุดชนวนพลังปราณทั่วร่าง บีบบังคับให้เจี่ยหลีต้องใช้พลังทั้งหมด เพื่อเปลี่ยนถ่ายและดูดซับความร้อนรุ่มมหาศาลที่แทบจะฉีกทึ้งทะเลปราณของเขา
จนกระทั่งวันหนึ่ง เจี่ยหลีลืมตาขึ้น เขามองเห็นเพียงแสงเงาจากเปลวเทียนที่สั่นไหว ไม่ใช่ทรวงอกอิ่มเอิบและปลายผมสีเงินยวงสยายของหญิงสาว
ร่างกายเบาหวิวอย่างน่าเหลือเชื่อ เขานั่งลงบนขอบเตียง พร้อมถอนหายใจอย่างแ่เบา
ความรู้สึกราวกับตายแล้วเกิดใหม่ที่แสนจะน่าเหลือเชื่อนี้ ผสานรวมกับความเงียบสงัด โอบล้อมเขาไว้
“ร่างกายเบาเกินไป...” เขาพึมพำ ก่อนจะชะงักไป
เสียงที่ฟังดูค่อนข้างอ่อนเยาว์นี้ เป็ของเขาจริงหรือ?
เขาพลิกตัวลงจากเตียงอย่างคล่องแคล่ว ความหนักอึ้งและความเ็ปที่เคยทรมานเขาใน่เวลาที่สับสนเลือนรางนั้น หายลับไปราวกับความฝัน
บนร่างของเขา มิได้มีอาภรณ์กระบี่สีเหลืองอ่อนที่มักสวมใส่ กลับเป็เพียงอาภรณ์สีขาวสะอาดที่ทอจากผ้าป่าน นับั้แ่ที่บ้านเกิด เจี่ยหลีได้ก้มลงคำนับอาจารย์ที่เหินกระบี่มา นั่นคือ ต้วนเจิ้งสิง เ้าสำนักกระบี่ไท่สิง เขาจำไม่ได้เลยว่าตนเองไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้าเช่นนี้มานานเท่าใดแล้ว
เมื่อละจากทางโลก เลือกที่จะอยู่ระหว่างโลกมนุษย์ โลกมาร และโลกเซียน เขาก็เป็เซียนกระบี่หนุ่มที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ ผู้บรรลุขั้นแปดประทับจุดสูงสุดเมื่ออายุเพียงสามสิบปี แต่ในตอนนี้ พลังของเขาถูกทำลายจนหมดสิ้น บางทีอาภรณ์เรียบง่ายนี้อาจเหมาะสมกับเขาที่สุดแล้ว
ขณะที่กำลังครุ่นคิด เขาก็เดินผ่านกระจกทองแดงในห้อง เงาที่สะท้อนในกระจกกลับมิใช่รูปลักษณ์ที่เขาคุ้นเคย
ผิวพรรณขาวผ่องราวกับทารกที่ไม่เคยผ่านโลก หากจะบอกว่าอ่อนเยาว์ก็คงไม่เกินไปนัก หรือจะเรียกว่างดงามก็คงเหมาะสมกว่า ผมสีเงินขาวยาวสลวย มิได้เป็เช่นนั้นในชั่วข้ามคืน ผมที่ละเอียดราวหิมะแผ่ออกราวกับน้ำตกสีขาว ในความทรงจำ นอกจากเยว่อู๋โยวที่ได้พบหน้ากันเพียงไม่กี่วัน เขาก็ยังไม่เคยเห็นผมเช่นนี้มาก่อน ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่ามันกลับปรากฏขึ้นอยู่บนศีรษะของเขาเสียเอง
รูปหน้ายิ่งน่าตกตะลึงยิ่งกว่า... จากในอดีต ที่เขาเคยเหินกระบี่ท่องไปในโลกมนุษย์และโลกเซียน เจี่ยหลีกล้าพูดได้เลยว่าเขาไม่เคยเห็นชายหนุ่มรูปงามเช่นนี้มาก่อน
“นี่...ใครกัน?”
คำถามที่ผุดขึ้นมาท่ามกลางความตกตะลึง หลุดออกจากปากอย่างไม่รู้ตัว ขณะที่เขาถามตัวเองเช่นนี้ กลับมีบางสิ่งในอ้อมอกสั่นะเืไปตามความสงสัยนั้น เขาหยิบกระบี่สีดำขลับที่ส่องประกายเย็นเยียบออกมา นั่นคือกระบี่แห่งวิถี กระบี่ที่ถือกำเนิดขึ้นจากหอบ่มเพาะกระบี่ของสำนักกระบี่ไท่สิง เป็กระบี่ที่ไร้คม ดำรงอยู่ด้วยพลังปราณ เป็สิ่งมีชีวิต มีจิติญญา
ในสำนัก มิใช่ใครก็ได้ที่จะได้รับการประทานกระบี่แห่งวิถี กระบี่แห่งวิถีจะเลือกนาย จนกว่านายจะสิ้นชีพ หรือกระบี่แห่งวิถีจะถูกทำลาย มันจะไม่เชื่อฟังผู้ใดเป็คนที่สอง ด้วยเหตุนี้ แม้รูปลักษณ์จะเปลี่ยนแปลงไป จากชายหนุ่มกำยำกลายเป็หนุ่มงามหมดจด... ดูเหมือนว่ามีเพียงการติดตามของกระบี่แห่งวิถีเท่านั้นที่จะทำให้เขามั่นใจได้ว่า ตัวเขายังคงเป็ตัวเขาอยู่เสมอ
ชายหนุ่มผมขาวถอนหายใจออกมาแ่เบา เก็บกระบี่แห่งวิถีกลับเข้าสู่อ้อมอก ก่อนจะเปิดประตูไม้ออก แล้วเดินเข้าไปในห้องพักที่เรียบง่าย โต๊ะไม้ เครื่องปั้นดินเผา เตาผิง ชามยา เครื่องเรือนและเครื่องใช้วางเรียงรายอย่างเป็ระเบียบ ในมุมหนึ่งของห้องมีธูปหอมจุดไว้ ส่งกลิ่นหอมอบอวล ทำให้ห้องเล็กๆ นั้นสดชื่นและน่ารื่นรมย์ จากนั้นชายหนุ่มก็เปิดประตูอีกบาน สวมรองเท้าแตะสานที่ขนาดพอดีตัว หิมะสีเงินขาวโพลนยังคงสูงตระหง่านและทอดยาวอยู่บนยอดเขา ส่วนหิมะที่สะสมอยู่หน้าประตูกลับละลายไปเกือบหมด เผยให้เห็นยอดหญ้าอ่อนที่พยายามแทรกตัวขึ้นมาจากพื้นดิน
“ท่านเซียน”
เสียงหวานหยดย้อยดังขึ้น ชายหนุ่มหันกลับไปมอง นั่นคือเยว่อู๋โยว หญิงสาววัยเยาว์ผู้มีผิวสีน้ำผึ้งและผมสีขาวเช่นกัน
หญิงสาวสวมเสื้อสีทองอ่อนคอตั้ง ผิวที่โผล่พ้นคอเสื้อยังคงงดงามราวภาพจำ ในมือของนางถือตะกร้าที่เต็มไปด้วยดอกไม้ใบหญ้า ไม่จำเป็ต้องเข้าใจอะไรมากนัก ก็สามารถรับรู้ได้ว่านั่นคือวัตถุดิบสมุนไพรต่างๆ ที่จะนำไปใส่ไว้ในบ้านไม้
ชายหนุ่มรีบเข้าไปช่วยเหลือ แบ่งเบาภาระของเยว่อู๋โยว ส่วนสาวผิวสีน้ำผึ้งผู้นั้นเพียงเหลือบมอง มิได้เอ่ยถามหรือพูดอะไรมาก
ทั้งสองเดินเรียงตามกันเข้าไปข้างใน จัดประเภทสมุนไพรอย่างเงียบๆ เสียงซู่ซ่าๆ ล้วนเป็เสียงของการทำงานอย่างเงียบสงบ เมื่อทำงานเสร็จ เยว่อู๋โยวก็มีเหงื่อซึมเล็กน้อย นางจึงคว้าผ้าขนหนูชุบน้ำมาเช็ดเนื้อตัวโดยไม่สนใจผู้ใด
ในตอนแรกชายหนุ่มเพียงเฝ้ามอง แต่เมื่อนางเตรียมจะถอดเสื้อตัวบนออก และเริ่มทำความสะอาดร่างกาย เขาก็อดรนทนไม่ได้ที่จะเอ่ยปาก
“แม่นางเยว่ เกรงว่าคงจะไม่เหมาะ...”
“ไม่เหมาะอย่างไร?” เยว่อู๋โยวถาม แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีว่าจะหยุดการกระทำในมือ
“เราสองคนเป็ชายหญิง...”
เมื่อได้ยินเหตุผลของชายหนุ่ม เยว่อู๋โยวก็หันหน้ามา มองชายหนุ่มที่หน้าแดงก่ำ ดวงตาสีเพลิงทั้งสองข้างของนางพลันเบิกกว้าง ราวกับไม่อยากจะเชื่อ
“ท่านหลั่งในตัวข้าไปตั้งเท่าไรแล้ว เพิ่งจะมาพูดเื่รักษาระยะห่าง...ไม่สายเกินไปหน่อยหรือ?”
เมื่อได้ยินนางกล่าวเช่นนั้น ชายหนุ่มก็หน้าแดงลามไปถึงใบหู
อย่างไรก็ตาม หญิงสาวกลับทำเหมือนว่าความกระอักกระอ่วนของเขาไม่มีอยู่จริง นางถอดเสื้อผ้าออกอย่างสบายอารมณ์ จนเผยให้เห็นเนินอกสูง นางใช้ผ้าฝ้ายชุบน้ำเช็ดร่างกาย นางทำเช่นนั้นพลางถามว่า “ไม่คิดจะถามไถ่เื่ของตัวเองบ้างหรือ นี่เป็ความเย่อหยิ่งของศิษย์เอกแห่งสำนักใหญ่ที่เลื่องชื่อบนูเาสูงตระหง่านหรือ?”
“ข้าน้อย...มิบังอาจล่วงเกินท่านผู้มีพระคุณ” ชายหนุ่มเบือนหน้าหนี ไม่กล้าสบตารูปร่างเย้ายวนและโฉมสะคราญของหญิงสาว “ท่านได้ช่วยชีวิตข้าไว้ นี่เป็เื่ที่ชัดเจนอยู่แล้ว แม้ว่าจะมีข้อสงสัยมากมายเกี่ยวกับตนเอง แต่หากท่านไม่สะดวกที่จะพูด ข้าก็ไม่ปรารถนาที่จะบังคับให้ท่านพูดออกมา”
“จะว่าเป็การบีบบังคับได้อย่างไร” เยว่อู๋โยวกลับหัวเราะเบาๆ “หากจะพูดให้ถูกคือ ท่านเป็คนที่แปลกประหลาดนัก ก่อนหน้านี้หรือหลังจากนี้ เกรงว่าคงไม่มีใครเคารพข้าเช่นท่านอีกแล้ว”
เยว่อู๋โยว ผู้ได้ชื่อว่าเป็ “สตรีโอสถ” ผู้ซึ่งสามารถฉุดรั้งชีวิตจากยมโลกกลับมาได้ กลับต้องเผชิญกับการปฏิบัติเช่นนี้ ชายหนุ่มรู้สึกเหลือเชื่อจากใจจริง
หรือว่าด้วยเหตุนี้ นางจึงไม่เห็นคุณค่าของร่างกายตนเอง?
“ความพิเศษของอู๋โยว ใช่ว่าจะไม่สร้างปัญหาให้กับท่านเซียนเลย” เยว่อู๋โยวเดินเข้าไปหาชายหนุ่ม ก่อนจะโน้มตัวลงเล็กน้อย “ร่างกายของท่านไม่อาจกลับคืนสู่สภาพเดิมได้อีก เป็เพราะท่านได้บำเพ็ญคู่กับข้า ในขณะที่พลังบำเพ็ญเพียรของท่านถูกทำลายจนสิ้น อู๋โยวรู้สึกผิดต่อท่านเหลือเกิน”
พลังปราณแท้ที่เคยไหลเวียนเต็มเปี่ยมทั่วร่างได้เหือดแห้งจนหมดสิ้น ชายหนุ่มที่ถูกเยว่อู๋โยวเรียกว่า “ท่านเซียน” บัดนี้กลับมีแต่ความขมขื่นเต็มหัวใจ