Chapter 19
Maybe we found the answer
“บ้าเอ๊ย”
นายตำรวจหนุ่มตัวสูงยืนสบถอย่างหัวเสียด้วยใบหน้าที่ไม่สบอารมณ์อย่างหนัก แมททิวไม่ได้ยินเสียงอะไรจากเครื่องดักฟังนั่นแล้ว พอโทรถามเจคว่าสัญญาณมันเกิดล่มหรือเปล่า หมอนั่นตอบกลับมาเพียงว่าไอ้บ้านั่นคงรู้ทันแล้วแหละว่ามีคนดักฟัง เช้านี้ของแมททิวจึงเป็เช้าที่ไม่เปรมปรีดิ์เอาเสียเลย
เขาตัดสินใจว่าจะรีบอาบน้ำแต่งตัวให้เสร็จก่อนเวลาที่ต้องไปกรมตำรวจ แมททิวยังไม่วางมือจากเื่นี้ง่ายๆหรอก อย่างน้อยบางทีถ้าหากเขาเองไม่ได้มีเวลาว่างไปคอยเฝ้าอยู่ใกล้ๆกับบ้านจัสตินล่ะก็ มันคงจะมีอีกทางที่ต้องยืมมือคนใกล้ๆมาช่วย เพราะงั้นการถามไถ่เพื่อนบ้านละแวกนั้นสักสองสามคำถามคงไม่ใช่เื่ใหญ่
ถึงจะพอเดาไม่ยากว่าแถวนั้นเรียกได้ว่าต่างคนต่างอยู่โดยสมบูรณ์แบบ หากแต่ในใจลึกๆเขาก็หวังว่าจะพอได้ข้อมูลอะไรใหม่ๆบ้าง แม้มันจะฉลาดกว่าตำรวจแบบเขา แต่จุดเล็กน้อยมากเพียงใดก็ไม่ควรมองข้าม บางทีแค่เพียงนิดเดียวเขาอาจจะพลิกมาก้าวนำแซงหน้ามันก็ได้ใครจะรู้
น่าเสียดายที่พอมาถึง คนรุ่นราวคราวเดียวกันกับเขาแน่นอนว่าต้องออกไปทำงานกันหมด จะเหลือก็แต่คนสูงอายุที่อยู่บ้านเพียงเท่านั้น แมททิวนึกภาวนาในใจว่าขอให้เ้าของบ้านหลังถัดไปช่วยนึกอะไรออกทีเถอะ เพราะไม่งั้นเขาคงเรียกว่างมเข็มในมหาสมุทรแน่ๆ
“อ้าว สวัสดีจ้ะคุณตำรวจ” หญิงแก่คนหนึ่งเปิดประตูบ้านออกมาหลังจากได้ยินเสียงกดกริ่ง หล่อนส่งยิ้มให้อย่างเป็มิตรเพราะพอจะจำใบหน้าของนายตำรวจผิวขาวคนนี้ได้รางๆ
“สวัสดีครับคุณผู้หญิง จะขอรบกวนอะไรสักหน่อยได้มั้ยครับ” หล่อนพยักหน้าตอบรับ ทำท่าจะเชิญชวนให้แมททิวเข้ามาในบ้านแต่เขาปฏิเสธด้วยความเกรงใจ กลัวว่าจะรบกวนทั้งเวลาของหล่อนและเวลาของตัวเองด้วย
“คุณผู้หญิงรู้จักกับจัสตินมั้ยครับ”
“พ่อหนุ่มคนนั้นที่พึ่งตายไปน่ะเรอะ ฉันเคยวานให้เขามาช่วยดูท่อที่อ่างล้างจานให้น่ะ ประมาณสองสามครั้งจ้ะคุณตำรวจ” แมททิวยิ้มกว้างจนตาหยี รู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้างที่เห็นลางดีเริ่มปรากฏ โชคดีที่ไม่ได้ถอดใจไปเสียก่อน
“แสดงว่าคุณผู้หญิงต้องรู้จักกับเขาประมาณหนึ่งใช่มั้ยครับ”
“จ้ะ เคยอบขนมไปให้เขาชิมอยู่ กับอันยาแฟนเขาฉันก็รู้จัก แม่หนูคนนั้นน่ะนิสัยดีมากเลยนะคุณตำรวจ” แววตาเป็ประกายและเศร้าสร้อยในคราเดียวกันทำให้แมททิวรับรู้ได้เลยว่าทั้งสองคนที่ตายไปคงจะเป็ความทรงจำดีๆของหล่อนอยู่ไม่น้อย
“ถ้าอย่างนั้น คุณผู้หญิงเคยเห็นใครเข้านอกออกในบ้านจัสตินนอกจากอันยาอีกมั้ยครับ” หล่อนนิ่งไปเล็กน้อยดูท่าใช้ความคิด แมททิวได้แต่ลุ้นจนแทบเขียนบันทึกไม่เป็คำ
“นอกจากอันยาแล้วก็มีผู้ชายอีกคนนึง”
“จริงหรอครับ เขาหน้าตาเป็ยังไงพอจะอธิบายได้มั้ยครับ หรือชื่อก็ได้” น้ำเสียงของแมททิวตื่นเต้นจนแทบคุมไม่อยู่
“ฉันเองก็จำไม่ค่อยได้เท่าไหร่ ยิ่งเป็ชื่อฉันยิ่งไม่เคยได้ยินเขาเรียกกันเลย แต่เขาตัวสูงๆผอมๆ ฉันจำได้แค่นี้จริงๆคุณตำรวจ” สีหน้าของหล่อนดูจะรู้สึกผิดอย่างที่ว่าจริงๆ แมททิวรีบส่ายหัวเป็เชิงบอกว่าไม่เป็ไร เขาจดลงไปครู่หนึ่งก็เงยหน้าขึ้นมากล่าวขอบคุณหญิงคนนั้นและกลับมาที่รถ
ใครกันนะอีกคนหนึ่ง เท่าที่รู้มาจัสตินเองั้แ่ย้ายมาอยู่แถวนี้ก็มีแค่อันยาคนเดียวที่ไปมาหาสู่กัน แล้วใครกันล่ะที่จะเข้านอกออกในได้เหมือนกัน หรือว่าจะเป็เพื่อนสนิทกันนะ แมททิวตัดสินใจหยุดความคิดลงก่อน สตาร์ทรถและขับไปยังกรมตำรวจเพื่อเข้าทำงาน ไว้ตอนว่างค่อยมานั่งคิดอีกทีแล้วกัน
คนตัวเล็กเดินขึ้นบันไดหลังจากกินมื้อเช้าในวันเสาร์กับพ่อเสร็จ ทิ้งตัวลงบนที่นอนหนานุ่มอย่างหมดแรง วันนี้ไม่เหมือนทุกวันตรงที่ตั้งใจจะพักอยู่บ้านให้คลายเหนื่อย อันที่จริงเจย์ลีนเองไม่ได้อยากหยุดพักแต่อย่างใด ทว่าเดวิดกำชับเชิงออกคำสั่งไว้ว่าสภาพจิตใจเจย์ลีนในตอนนี้ควรได้รับการพักสักระยะหนึ่งจากเื่ที่ทำท่าว่าจะหนักหน่วงกว่าเก่าหลายเท่า
ดวงตากลมมองบนเพดานนิ่งไม่เคลื่อนไหว แพขนตาหนากะพริบช้าๆ พลันหยดน้ำตาไหลร่วงลงบนที่นอนอย่างห้ามไม่ได้ เจย์ลีนนึกถึงเื่นั้นอีกแล้ว เื่ที่เดวิดบอกมันทำเอาเขาแทบจะหยุดฟูมฟายไม่ได้หากไม่ได้รับอ้อมกอดเยียวยาจากนายตำรวจหนุ่ม เจย์ลีนไม่อาจรับมันได้เลย และระยะเวลาเกือบครึ่งเดือนมันยิ่งทำให้คนเป็พี่รู้สึกทุกข์ใจกว่าเก่าจนทำอะไรไม่ถูก
มันคิดถึงเหลือเกิน
ทันทีที่คำว่าคิดถึงผุดขึ้นในหัว เจย์ลีนยันตัวลุกจากที่นอน หลังมือขาวปาดน้ำตาออกจากพวงแก้ม ก้าวขาลงบนพื้นอย่างช้าๆ จุดหมายในหัวในตอนนี้คือห้องสี่เหลี่ยมที่ปิดสนิทนับั้แ่วันที่เ้าของหายไป ครู่หนึ่งก็หยุดยืนอยู่หน้าประตู เจย์ลีนยืนชั่งใจอยู่นานว่าควรจะเข้าไปมั้ย แต่สุดท้ายก็คว้าลูกบิดเปิดประตูออกให้ได้กลิ่นอายของจูเลียนบ้างสักหน่อย ให้มันบรรเทาความทรมานในตอนนี้เสียบ้าง
บานประตูเปิดออกกว้าง ก้าวขาเพียงไม่กี่ก้าวและปิดประตูลง แสงแดดสาดส่องลงบนเตียงสะท้อนให้เห็นมวลฝุ่นลอยเคว้ง เจย์ลีนเม้มปากบางอิ่มแน่น ดวงตากลมสั่นระริกไม่แพ้หัวใจดวงน้อย ความทรมานกอดรัดในอกจนแทบแหลกสลาย ทำไมมันช่างเหมือนกับว่าจูเลียนแค่ออกไปทำงานนะ มันไม่เหมือนกับว่าน้องหายไปร่วมครึ่งเดือนแล้ว กลิ่นน้ำหอมประจำตัวยังคงโชยมาบางๆให้ได้กลิ่น
เจย์ลีนขยับร่างกายอย่างเชื่องช้า ดวงตากลมบอบช้ำแดงก่ำจากการร้องไห้ฟูมฟายที่สะสมั้แ่เมื่อคืน พอพ่อถามเมื่อเช้าที่โต๊ะอาหารก็ทำได้แค่บอกว่าดูหนังโรแมนติกก็เท่านั้น เขาไม่รู้ว่าจะพูดกับพ่อยังไง ไม่รู้ว่าต้องเริ่มแบบไหน เพราะมันดูยิ่งใหญ่เสียจนคาดคะเนไม่ถูก คนตัวเล็กค่อยๆทิ้งตัวนั่งลงบนพื้นไม้ กอดเข่านั่งมองรอบห้องไปมาอย่างไร้จุดหมาย
จู่ๆเจย์ลีนก็เอนลงนอนกับพื้นโดยไม่รู้ตัว อีกครั้งแล้วที่หยาดน้ำตารินไหล จริงอยู่ที่ยังไม่แน่ใจสักหน่อยว่าสิ่งที่เดวิดกังวลนั้นจะจริงหรือเปล่า คดีทั้งสองมันจะเชื่อมโยงใยกันได้มั้ย หากแต่เจย์ลีนกลัวเหลือเกิน กลัวว่าจะไม่มีโอกาสได้พบกันอีกแล้ว จิตใจที่เดิมทีบอบบางอยู่แล้วยิ่งเปราะหักง่ายเข้าไปใหญ่
ดวงตาที่เหม่อลอยกลับเพ่งมองบางสิ่งใต้เตียงของน้องชายอย่างฉงน เจย์ลีนเอื้อมมือม่านน้ำตาให้มองมันชัดเจนขึ้น เหมือนกับอะไรสักอย่างถูกซุกซ่อนอยู่ ร่างเล็กเปลี่ยนท่าเป็นอนคว่ำราบกับพื้น ยื่นแขนเข้าไปหยิบมันออกมาอย่างทุลักทุเลเล็กน้อย
กล่องไม้ฝุ่นเขรอะที่ในตอนนี้เริ่มฟุ้งกระจายเล็กน้อยวางอยู่ตรงหน้า เจย์ลีนนั่งมองมันอย่างพินิจพิเคราะห์ ของอะไรที่ถึงขั้นต้องซ่อนมันไว้ใต้เตียงขนาดนั้นนะ ในเมื่อสงสัยก็ต้องไขข้อข้องใจให้สิ้นซาก มือเล็กง้างเปิดฝามันออก ก่อนที่บางสิ่งข้างในที่รอการค้นพบมาแสนนานจะทำเจย์ลีนขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม
รูปถ่ายจากกล้องฟิล์มประจำตัวจูเลียนไม่ผิดแน่ หัวใจดวงน้อยเต้นระส่ำด้วยความตื่นเต้น นี่มันอะไรกัน ตัดสินใจหยิบรูปถ่ายหนึ่งใบขึ้นมามองให้ใกล้มากขึ้น จากหนึ่งเป็สอง เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆทีละรูปจนเรียงรอบตัวเต็มไปหมด ทำไมมันถึงมีแต่รูปต้นไม้กันนะ ต้นไม้ที่รกทึบ เหมือนกับว่ามันคือ
ป่า
จริงด้วย เจย์ลีนจับมุมรูปถ่ายในมือแน่น ถ้ามันเป็แบบที่บาเอลบอกว่าพบจักรยานหน้าเส้นทางธรรมชาติ ไหนจะจุดพบโทรศัพท์ ทั้งที่บาเอลพบและจุดแกะรอยจากเจคอีก ทุกอย่างมันบ่งชี้ไปหมดว่าจูเลียนเข้าไปในป่า เพียงแต่เจย์ลีนยังไม่ปักใจเชื่อสักเท่าไหร่ว่าน้องชายจะเข้าไปในที่แบบนั้น แต่ถ้ารูปพวกนี้มันพูดได้ มันคงะโร้องบอกว่านี่แหละหลักฐานสำคัญ จูเลียนกำลังสนใจอะไรในป่าอย่างถอนตัวไม่ขึ้นแน่ๆ
ไม่ได้การล่ะ เจย์ลีนรีบกวาดรูปที่วางอยู่บนพื้นทั้งหมดใส่กล่องตามเดิม ผุดลุกขึ้นโดยหยิบกล่องไม้ติดมือมาด้วยและกลับไปที่ห้อง คว้าโทรศัพท์มือถือกดโทรออก พูดจากับคนปลายสายอยู่สองสามคำ ก่อนจะคว้ากุญแจรถและวิ่งลงบันไดไปอย่างเร่งรีบ ไม่นานนักรถคันหรูก็แล่นออกจากโรงรถไปตามถนนด้วยความรวดเร็วตามใจที่เร่งร้อนของคนหลังพวงมาลัย
นายตำรวจหนุ่มก้าวขาลงจากรถพร้อมบิดี้เีด้วยความเมื่อยล้า ก่อนจะเดินเข้าร้านขายของชำที่แวะมาไม่บ่อยนักเท่าไหร่ แมททิวยอมรับว่าั้แ่เริ่มทำงานเช้านี้เขาไม่มีสมาธิเอาเสียเลย มัวแต่ครุ่นคิดว่าใครกันนะคือคนคนนั้น คนที่หญิงชราคนนั้นบอก มันทำเขาหัวเสียลงน้อยจนต้องขอออกมาข้างนอกเพื่อสูดอากาศเสียบ้าง บางทีการซื้อของเข้าบ้านอาจช่วยให้เคลียร์ความคิดไปได้สักนิดหน่อยก็ยังดี
“อ้าว ไม่เจอกันตั้งนาน”
แมททิวเอ่ยร้องทักคนคุ้นหน้าที่ไม่ได้เห็นมาหลายอาทิตย์แล้ว อเล็กซ์ละสายตาหันมองคนมาใหม่ พักบทสนทนากับแซมที่เคาท์เตอร์ก่อนจะหันมาส่งยิ้มให้แมททิวบางๆ แซมก้มหัวให้นายตำรวจเล็กน้อย พอจะจำได้ว่าเคยแวะมาที่นี่อยู่แต่ไม่บ่อยนัก
“ซื้อของหรอครับคุณตำรวจ” อเล็กซ์เอ่ยถาม
“ครับ พอดีออกมาหาอะไรทานตอนบ่ายด้วย”
แมททิวตอบกลับก่อนจะเดินเลี่ยงไปอีกทาง ไม่ได้สนิทชิดเชื้อกับใครจนถึงขั้นต้องกระโจนไปร่วมวงสนทนา อีกอย่างเขาเองก็ออกจะไม่ได้ชอบใจหมอนี่สักเท่าไหร่ เพราะที่ผ่านมาการกระทำของอเล็กซ์ที่บุกมาถึงชั้นแผนกสืบสวนมันก็ไม่ค่อยมีมารยาทเท่าไหร่นัก แมททิวลากรถเข็นคันจ้อยก่อนจะลับหายไปตามชั้นวางของ
เพียงครู่ก็วนกลับมาที่เดิม อเล็กซ์ยังคงยืนอยู่ แมททิวแปลกใจเล็กน้อยที่หมอนี่ดูมีเวลาว่างมากโขให้มายืนคุยเล่นกับเ้าของร้านแบบนี้ แต่ยังไงซะมันก็ไม่ใช่เื่ของเขาอยู่ดี อเล็กซ์เดินถอยหลังออกจากเคาท์เตอร์เล็กน้อยเพื่อหลีกทางให้แมททิว นายตำรวจหนุ่มค่อยๆวางข้าวของลงบนเคาท์เตอร์ แซมหยิบคิดเงินทีละชิ้น
“หยุดงานหรอวันนี้” เป็แมททิวที่เอ่ยทำลายความเงียบ เพราะมันดูช่างอึดอัดเล็กน้อยหากจะยืนนิ่งไม่แยแส อย่างน้อยหมอนี่ก็เป็ประชาชนคนหนึ่งที่เขาควรจะถามไถ่หรือดูแลสารทุกข์สุขดิบอย่างเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว
“เปล่าหรอกครับ มาหามื้อเที่ยงทานเหมือนคุณนั่นแหละ” แมททิวพยักหน้ารับ พึ่งสังเกตการณ์แต่งตัวก็พบว่าคงจริงอย่างที่อีกคนบอก ดูใส่ชุดสุภาพมากกว่าวันที่เคยเห็น
“อ้าวแล้วนั่น หน้าไปโดนอะไรมาล่ะ ที่คิ้วน่ะ” นายตำรวจหนุ่มขมวดคิ้วด้วยความสงสัยที่เป็ปกติ คนถูกถามกลับสะดุ้งเล็กน้อย ยกมือลูบพลาสเตอร์ที่แปะแผลเอาไว้ไปมาพลางส่งยิ้มแหย
“เอื้อมหยิบจานบนชั้นน่ะครับ โชคร้ายมันดันเทลงมาตกใส่ซะอย่างนั้น”
“ตายแล้ว โชคร้ายจริงด้วย ปกติผมไม่เคยเจอเหตุการณ์อะไรแบบนั้นซะด้วยสิ เอาเถอะ ก็ถือว่าฟาดเคราะห์ไปเนอะ” แมททิวพูดกลั้วหัวเราะให้อีกฝ่ายคลายกังวล อเล็กซ์หัวเราะเสียงเบาในลำคอ แซมเอ่ยขัดจังหวะแจ้งราคาของก่อนที่แมททิวจะแตะบัตรเครดิตเพื่อจ่ายเงิน เขามองหน้าอเล็กซ์และส่งยิ้มให้หนึ่งที เพียงครู่ก็คว้าข้าวของบนเคาท์เตอร์และผลักประตูร้านออกไป
“นายรู้จักเขาหรอ” แซมเอ่ยถามหลังแมททิวเคลื่อนเ้าสี่ล้อลับหายไปบนถนนเส้นยาว
“เขาทำคดีอันยาน่ะ เอ่อ ฉันขอตัวกลับก่อนนะ จวนจะเวลางานแล้ว”
ยังไม่ทันที่แซมจะอ้าปากตอบรับอีกคนก็รีบผลักประตูร้านออกไปทันที แซมหัวเราะเบาๆให้กับท่าทีหุนหันพลันแล่นของเขา มองจ้องแผ่นหลังที่ลับหายไปตามฟุตบาธ สีหน้าของแซมเริ่มฉายแววสงสัยเล็กน้อยจากคำพูดของอเล็กซ์ ก็ในเมื่อเขาบอกกับแซมว่าเปลี่ยนกระถางต้นไม้ ไหงบอกกับคุณตำรวจคนนั้นว่าเอื้อมหยิบจานกันนะ หรือว่าแผลมันจะเป็แผลใหม่ ช่างเถอะ ยังไงซะก็ขอให้หายไวๆก็แล้วกัน
“คุณคิดว่ายังไง”
เ้าของดวงตากลมโตเอ่ยถามทันทีที่เดวิดวางรูปทั้งหมดลงบนโต๊ะ คนผิวแทนถอนหายใจเฮือกใหญ่ ตอนนี้ในหัวเขาสับสนกว่าเดิมเสียอีก เจย์ลีนมองจ้องท่าทางหนักใจของอีกคนแล้วก็พลอยรู้สึกแบบเดียวกันไปด้วย
“คุณบอกว่าน้องคุณเป็นักเขียนคอลัมน์อิสระใช่มั้ย” เดวิดเอ่ยเสียงเรียบ เจย์ลีนพยักหน้าตอบทันที
“ส่วนใหญ่เขาเขียนเกี่ยวกับเื่อะไร” คำถามนี้ทำเอาคนเป็พี่แน่นิ่งไปพักใหญ่ เดวิดเอียงหัวราวกับจะถามซ้ำ สีหน้าของเจย์ลีนในตอนนี้ช่างลังเลและตอบอะไรไม่ออก เขาไม่รู้ ไม่มีอะไรในหัวเลยทั้งนั้น เอาเข้าจริงพอมาถามตรงๆแบบนี้ก็ตอบไม่ถูกเลย
“อย่าบอกนะว่าคุณไม่รู้”
“ผมไม่รู้” เสียงแ่เบาที่ตอบออกมานั้นทำเอาเดวิดถอนหายใจด้วยความระอา เจย์ลีนก้มหน้างุด รู้สึกแปลบๆเล็กน้อยที่เป็ถึงฝาแฝดกัน ควรจะเป็คนที่รู้จักกันดีที่สุด แต่สุดท้ายเจย์ลีนไม่สามารถตอบคำถามเดวิดได้เลย
“เอาเถอะ ถ้างั้นตอนนี้ผมมีข้อสันนิษฐานอยู่หนึ่งข้อ คุณอยากฟังมั้ย” เจย์ลีนพยักหน้า
“ในเมื่อตอนนี้เราเองไม่รู้อะไรเกี่ยวกับงานของน้องคุณเลย หรือแม้กระทั่งอะไรที่เขาสนใจจริงๆ เพราะงั้นสิ่งที่ผมจะบอกมันก็สามารถเป็ไปได้ไม่ยาก” คนฟังกะพริบตาปริบๆตาใส ดูท่าตั้งใจฟังในสิ่งที่อีกคนจะพูดเหลือเกิน
“เป็ไปได้มั้ยว่าน้องคุณกำลังสนใจในคดีฆาตกรต่อเนื่องอยู่” สิ้นเสียงของเดวิดทำเอาเจย์ลีนเบิกตาโพลงด้วยความใ แต่ไอ้ครั้นจะพูดแย้งว่าไม่จริงแล้วเคลมว่าตัวเองรู้จักจูเลียนดีที่สุดคงเป็ไปไม่ได้แล้ว ในตอนนี้เขาไม่มั่นใจอะไรสักอย่าง คำถามง่ายๆก็ยังตอบไม่ได้เลย
“ผมก็ไม่รู้ แต่บ้านเราไม่มีห้องล้างฟิล์มนะ รูปพวกนี้…”
“โถ่คุณ ร้านล้างฟิล์มเดี๋ยวนี้ก็มีเกลื่อนเมือง ขับรถไปแป๊บเดียวก็เจอแล้ว” เดวิดเสียงแข็งขึ้นมาเล็กน้อย
“ไม่ ผมเองก็เคยถ่ายรูปฟิล์มมาก่อน รูปพวกนี้ต้องเป็รูปที่ล้างเองเพราะมันจะต่างจากร้านล้าง มันอาจจะสังเกตไม่ได้ชัดมาก แต่ผมมั่นใจว่ารูปพวกนี้มันมาจากการล้างเอง” คนตัวเล็กเถียงหัวชนฝาจนคริสหันมามอง หมอนั่นส่ายหัวอมยิ้มเล็กน้อยเพราะรู้ดีว่าเดวิดนั่นไม่ชอบคนแบบนี้สักเท่าไหร่ หากแต่ดูเหมือนว่าท่าทีของเดวิดดูจะชินชากับคนอายุน้อยกว่าไปแล้ว เดวิดเพียงพยักหน้ารัวๆเพื่อแสดงว่าเขาเชื่อในสิ่งที่เจย์ลีนพูด
“แล้วถ้าอย่างนั้นมันที่ไหนล่ะ” นายตำรวจหนุ่มกอดอกมองอย่างคาดคั้น คนหัวชนฝานิ่งไปสักครู่อย่างใช้ความคิด ไม่นานดวงตากลมก็มีประกายขึ้นมาพร้อมรอยยิ้ม
“ผมคิดออกแล้วว่าที่ไหน มีอยู่ที่เดียวและมันต้องใช้แน่ๆ”
“พี่เจย์”
เ้าของบ้านเบิกตากว้างทันทีที่เห็นคนทั้งสองยืนอยู่หลังประตู เคนโตะมองสีหน้าของเจย์ลีนและเดวิดก็พอเดาได้ไม่ยากว่าเขาต้องพูดอะไรต่อไป ชายหนุ่มหลีกตัวให้ทั้งสองเดินเข้ามาก่อนจะปิดประตูลง
“ชาหรือกาแฟมั้ยครับ” ร่างสูงนั่งลงบนโซฟา มองใบหน้าแขกไม่ได้รับเชิญทั้งสองคนสลับกันไปมา เดวิดส่ายหน้าเบาๆ ผิดกับเจย์ลีนที่จ้องเขาเขม็งจนนายตำรวจต้องสะกิดเตือน
“พี่เจอนี่ใต้เตียงของจูล” เจย์ลีนล้วงกล่องไม้เ้าปัญหาจากในกระเป๋าสะพายและวางลงบนโต๊ะกระจก กอดอกมองท่าทางของเ้าของบ้านตาไม่กะพริบ เคนโตะรู้ดีว่าข้างในมันคงมีอะไรสักอย่างที่พาทั้งสองคนมาถึงที่นี่ หากแต่ก็ยังเดาไม่ออกนัก
“เปิดสิ จะได้ไม่เสียเวลาทั้งผมทั้งคุณนะ” น้ำเสียงของเดวิดช่างดูสุขุมกว่าปกติ ครั้นจะแข็งกระด้างแบบที่เจย์ลีนพยายามทำอยู่คงไม่ดีสักเท่าไหร่ เคนโตะอาจยิ่งหวาดกลัวและซุกซ่อนความจริงไว้หนักกว่าเก่า ชายหนุ่มเอื้อมมือเปิดกล่องไม้ช้าๆ เพียงครู่เดียวที่ของข้างในปรากฏ เ้าของบ้านก็ถอนหายใจออกมาทันที
“รู้ใช่มั้ยว่ามันคืออะไร” เดวิดถามย้ำ เคนโตะเพียงพยักหน้าและปิดกล่องไม้ลงตามเดิม สีหน้าของเขาช่างดูลำบากใจเล็กน้อย แต่เดวิดพอเดาออกว่าคนอายุน้อยกว่าตรงหน้าเองก็อยากจะบอกความจริงเสียเต็มแก่ ท่าทางเขาอึดอัดใจไม่น้อย
“ช่วยเล่าให้พวกเราฟังได้มั้ย นายคงเป็คนเดียวที่รู้เื่ทั้งหมดแบบจริงๆ” น้ำเย็นเข้าลูบนั้นได้ผล เดวิดโล่งใจที่เคนโตะพยักหน้ารับ หันไปมองเจย์ลีนก็พบว่าเด็กนั่นบีบมือเข้าหากันอย่างใจจดใจจ่อ
“จูลกับผมเราสนใจคดีนั้นกันมาก คดีฆาตกรต่อเนื่องหกศพ” เจย์ลีนหันมองเดวิดทันทีที่สิ้นประโยคของเคนโตะ มันเป็แบบที่เดวิดตั้งข้อสงสัยเอาไว้จริงๆด้วย เคนโตะสูดหายใจเฮือกใหญ่และพรั่งพรูทุกอย่างออกมาอย่างไม่มีหยุด
“ทีแรกเราสองคนแค่แอบขโมยสำนวนจากบนโต๊ะทำงานพ่อมาอ่าน แต่จูลดูจะอยากรู้อะไรเพิ่ม บางครั้งเราก็เลยลองขับรถไปที่เกิดเหตุด้วยกันบ้างแต่แค่มองจากไกลๆ จูลตื่นเต้นมากที่ได้ทำแบบนั้น เขามักจะบอกกับผมว่าเขาอยากตามสืบให้ได้ว่าคนร้ายเป็ใคร แต่ผมคิดว่าเขาพูดเล่น ทำไปทำมาถึงรู้ว่าจูลเอาจริง ผมเตือนเขาเสมอว่าให้เลิกสนใจเื่นี้ซะ แต่…” เคนโตะหยุดไปเล็กน้อย จ้องมองดวงตาของเจย์ลีนที่สั่นระริก มือทั้งสองบีบเข้าหากันแน่นจนข้อนิ้วขึ้นสีขาว
“แต่อะไร เล่าต่อสิ” เดวิดเอ่ยเรียกความสนใจ
“แต่จูลอยากทำให้ได้ จูลอยากทำให้สำเร็จเพราะพ่อจะได้ไม่คิดว่าจูลไม่เอาไหน ผมขอโทษพี่เจย์ ผมขอโทษที่ไม่ยอมพูดอะไรแต่แรก ผม…”
“ไม่เป็ไรเคน ไม่ใช่ความผิดนาย” เจย์ลีนเอ่ยเสียงสั่น พอรับฟังเหตุผลแล้วก็จุกอกจนแทบเอ่ยอะไรไม่ออก หยดน้ำตาร่วงหล่นลงบนหลังมือขาวด้วยความเสียใจ
“เอาเป็ว่านายแน่ใจใช่มั้ยว่าที่จูลหายไปต้องเกี่ยวกับเื่นี้” เดวิดถามย้ำและเริ่มจะจดอะไรยุกยิกลงไปในสมุดประจำตัวอีกครั้ง
“ครับ ผมมั่นใจว่าต้องเป็แบบนั้น เพราะครั้งล่าสุดที่ผมเจอจูล เราทะเลาะกันเื่นี้ ผมพยายามแล้วเดวิด ผมพยายามจะห้ามเขาแล้ว และตอนที่พวกคุณมาที่นี่ผมเองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจเลย แต่ผมไม่รู้ว่าควรจะทำยังไง ผมไปที่เส้นทางธรรมชาติมา ถามเ้าหน้าที่แล้วเขาก็บอกว่าไม่เคยเห็นจูลมาที่นี่ ผม…”
เคนโตะเริ่มเสียงสั่นและลุกลี้ลุกลนกว่าเก่า เขาดูทุกข์ร้อนและกังวลใจแบบที่พูดไว้จริงๆ แววตาของเด็กหนุ่มดูเ็ปไม่แพ้กัน เดวิดพอเดาออกถึงความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งคู่ แต่ไม่ได้พูดอะไรออกไป
“ใจเย็นๆนะเคน ดีแล้วที่นายตัดสินใจพูดมันออกมา มันไม่มีช้าไม่มีเร็ว เรายังช่วยจูเลียนได้อยู่เชื่อฉัน นายมีข้อมูลอย่างอื่นเพิ่มอีกมั้ยหรือไม่แล้ว”
“ไม่มีแล้วครับ ผมรู้แค่นี้จริงๆ ผมขอโทษ ผมขี้ขลาดเกินไปกว่าจะปกป้องคนที่รักได้” เจย์ลีนขมวดคิ้วสงสัยกับคำพูด เดวิดเงียบ เขากะไว้แล้วว่ามันต้องเป็แบบนี้
“นายกับจูล” คนเป็พี่เอ่ยถามเสียงเครือ
“เราเคยคบกัน่ไฮสคูลครับ ตอนนี้เป็แค่เพื่อนกันแล้ว แต่ผมยังรักจูลเหมือนเดิม ขอโทษที่ไม่เคยบอกนะพี่เจย์ จูลว่ากลัวจะไม่มีใครเข้าใจ” คำตอบของเคนโตะทำเอาเจย์ลีนปล่อยโฮอย่างหนักจนเดวิดต้องเอื้อมมือมาลูบแผ่นหลังบางเบาๆ
“เอาล่ะ ถ้านายว่ามีเท่านี้พวกเราก็จะรบกวนเท่านี้ ขอบคุณมากนะเคนที่ยอมพูด ฉันรู้ดีว่านายรู้สึกยังไง มีอะไรที่พอจะนึกออกอีกก็รีบโทรหาฉันนะ”
เดวิดลุกยืนขึ้น เจย์ลีนยังคงนั่งสะอึกสะอื้นอยู่ที่โซฟา เขาจึงต้องก้มลงไปกระซิบกระซาบสองสามอย่างคนตัวเล็กจึงยอมลุกเดินตามมาได้ เคนโตะเปิดประตูบ้านให้ เดวิดตบบ่าเขาสองสามทีก่อนจะพาเจย์ลีนออกมา สตาร์ทรถและเคลื่อนหายลับไปบนถนนเส้นยาว
“อยากกินอะไรมั้ย” เสียงทุ้มเอ่ยถาม คำถามช่างโง่เง่าแต่เดวิดเองคิดอะไรไม่ออกแล้วนอกจากนี้ เพราะเมื่ออีกฝ่ายร้องไห้เสียใจขึ้นมาเมื่อไหร่ พอได้กินของอร่อยแล้วดูท่าจะทำให้อารมณ์ดีขึ้นอยู่ไม่น้อย
“ทำไมก็ไม่รู้” เจย์ลีนเอ่ยสั้นๆหลังจากส่ายหน้าปฏิเสธคำถาม ดวงตากลมที่แดงก่ำบอบช้ำมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างไร้จุดหมาย
“มันเหมือนกับว่าผมไม่เคยรู้จักน้องชายตัวเองมาก่อนเลย” เสียงสั่นนั่นบ่งบอกได้ดีว่าคนพูดแสนเ็ปเพียงใด เดวิดตัดสินใจหยุดรถและจอดข้างทาง ดูแล้วคงต้องมีเื่ให้พูดกันอีกสักพักใหญ่
“ไม่ใช่แบบนั้นหรอกคุณ เราต้องยอมรับว่าเมื่อเขาโตขึ้น เขาเองก็ต้องมีโลกส่วนตัวของเขาบ้าง” เดวิดค่อยๆพูดด้วยน้ำเสียงเย็น เผื่อว่ามันจะช่วยปลอบคนข้างๆในตอนนี้ได้บ้าง
“แต่ทำไมน้องถึงคิดแบบนั้นกันล่ะ ทำไมถึงคิดว่าพวกเราจะมองว่าจูลไม่เอาไหน ทั้งๆที่ผมเองนับถือจูลด้วยซ้ำว่าเขากล้าหาญกว่าผมเสมอ จูลเก่งกว่าผมตั้งเยอะที่กล้าทำอะไรตามใจตัวเอง”
“แล้วคุณได้เคยบอกเขามั้ยเจย์ลีน” คนถูกถามกลับสะอึกอยู่ไม่น้อย เพราะคิดเอาแต่ว่าจูเลียนคงเข้าใจในสิ่งที่ตัวเองและพ่อทำ เจย์ลีนไม่เคยรู้เลยว่าน้องคิดแบบนั้น เพราะงั้นคงไม่แปลกที่จูเลียนเองจะมีพื้นที่ปลอดภัยอีกที่ที่หลบซ่อนไว้อยู่
“จริงอยู่นะที่น้องคุณคงโตมากพอจะเข้าใจอะไรง่ายๆ แต่บางครั้งแค่คำพูดเล็กๆน้อยๆก็อาจจะช่วยทำให้เขารู้สึกดีได้ คุณไม่ผิดที่ไม่พูดมัน เขาเองก็ไม่ผิดที่จะรู้สึกว่าไม่ได้รับมันเลยเหมือนกัน”
“แล้วผมจะได้มีโอกาสบอกเขาอีกมั้ยครับ” เจย์ลีนนิ่วหน้าปล่อยให้หยดน้ำตาร่วงหล่นลงมาอีกครั้ง เขาอ่อนแอเหลือเกินในเวลานี้ มันมีแต่อะไรไม่รู้ถาโถมเข้ามาพร้อมกันอย่างไม่หยุดหย่อนและยากที่จะรับมือ
“มีสิ คุณต้องได้บอกเขาแน่ๆ ต้องได้บอกเขาว่าคุณภูมิใจในตัวเขามากแค่ไหน น้องคุณน่ะเก่งจะตายจริงมั้ย”
เดวิดไม่พูดเปล่า นายตำรวจหนุ่มเอื้อมมือมาวางลงบนหลังมือขาวของเจย์ลีนและลูบอย่างแ่เบา คนตัวเล็กหันมองหน้าเขาด้วยแววตาขอบคุณ พยักหน้ารับความหวังดีและห่วงใยที่ส่งผ่านออกมาจนรู้สึกได้ ถ้อยคำที่เขาพูดช่วยปัดเป่าความรู้สึกแย่ๆได้มากเหลือเกิน
“ไม่ต้องห่วง จากนี้เรามีจุดหมายที่ชัดเจนกว่าเดิมแล้ว อีกไม่นานคุณจะได้เจอน้องคุณแล้วนะ”