Chapter 18
Another way to the truth
เสียงเครื่องยนต์รอบตัวนับสิบดังระงมบนท้องถนนจนคนหลังพวงมาลัยต้องนิ่วหน้า แมททิวเหลือบตามองกระจกหลังก็พบว่าแยกที่เขากำลังจอดนิ่งอยู่นั้นมีรถคันอื่นจอดต่อยาวไปอีกเป็ขบวน จินตนาการไม่ออกเลยว่าหางแถวจะอยู่ตรงไหน สัญญาณไฟนี่ก็อย่างกับจะแกล้งกัน ไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าร้อยวันพันปีไม่ยักกับเคยเห็นว่าแยกนี้มันจะรถติด ดันมาเป็ในวันที่เขาเร่งรีบเสียได้
“สักทีเถอะพระเ้า!” นายตำรวจหนุ่มสบถอย่างหัวเสีย
ในที่สุดสีแดงก็ถูกเปลี่ยนเป็สีเขียวแบบที่้า แมททิวออกรถให้พ้นแยก เพียงครู่หนึ่งก็หักเลี้ยวเพื่อไปยังจุดหมายที่้า ใจเต้นระส่ำเล็กน้อยที่ต้องทำทุกอย่างในตอนนี้โดยลำพัง ไม่ใช่ว่าไม่เคยทำ แต่ปกติแล้วจะต้องมีเดวิดไม่ก็คริสนั่งมาด้วย แต่เพราะสองคนนั้นดูจะมีภาระงานที่ต้องสะสางพอสมควร และอีกอย่างเขาเองก็เป็คนเจอกับเครื่องดักฟังด้วยตัวเอง
พักหนึ่งยานพาหนะคู่ใจก็จอดนิ่งหน้าตึกสูงระฟ้า แมททิวก้าวขาลงจากรถ รีบรุดวิ่งไปทางลิฟต์ก่อนจะกดชั้นที่นัดหมายกับใครอีกคนหนึ่งไว้ ดูเวลาจากนาฬิกาข้อมือก็พบว่ามาถึงก่อนเวลานัดไว้อย่างเฉียดฉิว ถึงแม้ภายนอกนายตำรวจตัวสูงคนนี้จะดูสบายๆไม่จริงจังกับงานสักเท่าไหร่ แต่แมททิวให้ความสำคัญเื่เวลาเสมอ เขาไม่เคยมาสาย ไม่ชอบการมาสาย เพราะมันจะทำให้ตารางในวันนั้นของเขาพังลงไปด้วย
บานประตูลิฟต์เลื่อนออก ขาเรียวก้าวยาวไปตามทางเดินที่ปูด้วยพรมกำมะหยี่ ไม่นานนักก็หยุดอยู่ที่หน้าประตูไม้ เขาเคาะสองทีแสดงตัวว่ามาถึงแล้ว อีกฝั่งเอ่ยตอบให้นั่งรอสักครู่ ร่างสูงนั่งลงบนโซฟาหน้าห้อง อึดใจเดียวคนที่นัดไว้ก็ปรากฏตัวตรงหน้า
“ฉันนึกว่าเดฟจะมาด้วย” เจคเอ่ยทัก
“หมอนั่นมันมีคดียุ่งน่ะ ฉันเข้าไปได้เลยมั้ย” แมททิวลุกพรวดทันทีที่เห็นเจคเปิดประตูออกมา
“มาเลย ดูท่าทางนายร้อนใจน่าดูนะพวก” เจคกอดอกดูท่าทางของอีกฝ่ายแล้วก็อดจะหัวเราะออกมาไม่ได้ สีหน้าของแมททิวนั่นร้อนรนอย่างกับอะไร
“เื่ด่วนน่ะสิ”
เจคเดินนำเข้าไปในห้องก่อน แมททิวตามหลังมาติดๆและเป็คนปิดประตูลง เครื่องปรับอากาศเย็นเฉียบที่เ้าของห้องเปิดไว้ทำเอานายตำรวจหนุ่มย่นจมูกเล็กน้อยเพราะความหนาวจัดที่เรียกว่าปรับตัวไม่ทันสักเท่าไหร่
“ห้องทำงานนายเคยน้ำแข็งขึ้นบ้างมั้ยวะเจค” แมททิวร้องทักเรียกเสียงหัวเราะจากอีกฝ่าย เจคส่ายหน้า ลากเก้าอี้ล้อเลื่อนคู่ใจมาตรงหน้าแมททิวก่อนจะพยักหน้าให้เขาเริ่มพูดก่อน
“ฉันไปเจอนี่มา นายพอจะทำอะไรกับมันได้บ้างมั้ย” นายตำรวจหนุ่มเลื่อนหน้าเจอโทรศัพท์เพียงอึดใจและยื่นให้กับฝ่ายแกะรอยมือฉมังที่ทีมสามแอบใช้งานแบบลับๆมาร่วมหลายปี
“ขอฉันดูแปปหนึ่ง” เจครับโทรศัพท์มาถือในมือ พินิจพิเคราะห์ขมวดคิ้วเล็กน้อย ซูมรูปเข้าออกอยู่พักหนึ่งจึงส่งโทรศัพท์คืนให้เ้าของ
“สบาย เครื่องดักฟังรุ่นไม่เก่าแต่ไม่ได้ถือว่าใหม่ ฟังก์ชันไม่ซับซ้อน ว่าแต่นายอยากให้ฉันทำอะไรกับมันล่ะ” เจคกอดอกมอง รอยยิ้มเ้าเล่ห์ส่งสัญญาณบอกแมททิวได้ดีว่าเขามาหาถูกคน แต่อันที่จริงนอกจากเจคแล้วก็คิดไม่ออกเหมือนกันว่าจะมีใครทำอะไรแบบที่เขาอยากให้ทำได้หรือเปล่า
“ดักฟังอีกที พอทำได้มั้ย” แมททิวเอ่ยเสียงเรียบ
“เฮ้ นี่นายใช้คำว่าพอทำได้หรอพวก เสียดแทงใจแบบนี้คงต้องเลี้ยงยินฉันสักสามดริ้งนะสหาย” คนทั้งคู่หัวเราะร่าพร้อมกัน แมททิวรู้ดีว่าเจคทำได้แทบจะทุกอย่างบนโลกใบนี้ นั่นคือเหตุผลที่ทำไมทีมสามถึงถือไพ่เหนือกว่าทีมอื่นตลอดทุกครั้งที่มีการแกะรอยทางเทคโนโลยีแสนยาก
“นายเจอที่ไหน ฉันขอพิกัดแบบละเอียด”
เจคพูดจบก็หันหน้าไปทางจอคอมทันที แมททิวรีบลุกขึ้นเดินมาประกบหลัง เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดในบ้านของจัสติน เจคนิ่วหน้าตอนฟังเล็กน้อยขณะนิ้วเรียวทั้งสิบรัวกดแป้นคีย์บอร์ดตรงหน้าเสียงดัง ตัวเลขและตัวอักษรมากมายไหลผ่านหน้าจอคอมอย่างรวดเร็วจนแทบมองไม่ทัน เจคละมือจากคีย์บอร์ด กอดอกมองและปล่อยให้มันทำงานไปเรื่อยๆจนสุดท้ายมันก็แน่นิ่งไป
“ให้ฉันยิงสัญญาณเข้าโทรศัพท์นายเลยมั้ย” เจคเลิกคิ้วถาม
“หมายความว่า” แมททิวโพล่งออกมาทันทีด้วยความสงสัย เพราะลำพังเท่าที่ดูแล้วยังไม่ค่อยเข้าใจเลยว่าเมื่อครู่เจคลงมือทำอะไรบ้าง นอกเสียจากพิมพ์ยิกๆจนแป้นคีย์บอร์ดแทบหลุด แต่อย่างว่าตัวแมททิวเองก็ทำอะไรแบบที่เจคทำไม่เป็หรอก
“ก็หมายความว่านายอยากดักฟังมันอีกทีใช่มั้ย ถ้านายให้ฉันยิงสัญญาณเข้าโทรศัพท์นาย นั่นก็แปลว่าตอนนี้ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนนายจะฟังเสียงเดียวกับที่มันกำลังฟังอยู่ พอจะเข้าใจมั้ยคุณตำรวจหน้ายิ้ม”
“ถามจริง พระเ้านายแม่งโคตรเจ๋งเลยว่ะเจค เอาสิ ฉันอยากจะฟังไม่ให้มันรู้ตัวเหมือนกัน”
เจคดีดนิ้วพยักหน้ารับทราบ รัวแป้นคีย์บอร์ดอยู่สักอึดใจ ก่อนจะยื่นมือขอโทรศัพท์มือถือของนายตำรวจหนุ่ม แมททิวส่งให้แต่โดยดี สายตาในตอนนี้เพลิดเพลินไปกับตัวอักษรและตัวเลขที่หลั่งไหลบนหน้าจอผืนผ้าไม่หยุด เพียงครู่มันก็ร้องเตือนราวกับจะบอกว่าทั้งหมดเสร็จสิ้น
“เรียบร้อย” เจคส่งโทรศัพท์มือถือคืนเ้าของ
“เสร็จ เสร็จแล้วหรอ แล้วนี่ฉันต้องทำอะไรต่อ” สีหน้าสับสนของแมททิวผู้ที่ค่อนข้างล้าหลังในเทคโนโลยีนิดหน่อยทำเอาเจคหัวเราะเบาๆ
“นายแค่กดเข้าไอคอนตรงหน้าจอข้างๆกับทินเดอร์นายน่ะ”
“ไอ้…” ใบหน้าของนายตำรวจตัวขาวแดงระเรื่อเป็ตำลึงสุกเมื่ออีกคนพูดถึงแอพหาคู่ที่เขาพึ่งดาวน์โหลดมาไม่กี่วันก่อน
“ไม่แซวละ แต่มันอยู่ข้างๆกัน แอพสีดำนั่น พอนายกดเข้าไปปุ๊บมันจะดึงสัญญาณจากเครื่องดักฟังนั้นมาให้ฟังทันที ข้อดีคือมันค่อนข้างเรียลไทม์ ส่วนข้อเสียคือนายอาจจะต้องฟังในที่เงียบไม่มีเสียงรบกวนสักหน่อย เพราะมันคือการขโมยสัญญาณ มันคือการแบ่งมาอีกที เพราะงั้นมันอาจไม่ค่อยเสถียรมากเท่าที่เ้าของเครื่องฟัง นายต้องระวังข้อนี้ เข้าใจ๊”
แมททิวพยักหน้ารับ พูดคุยกับเจคเื่สารทุกข์สุกดิบเพียงครู่ก็ขอตัวกลับ ปิดประตูรถและนั่งจ้องหน้าจอโทรศัพท์ตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง อันที่จริงถ้าหากแกะรอยสัญญาณไปยังตัวต้นเื่มันก็คงจบเรียบร้อย แต่นายตำรวจหนุ่มเริ่มรู้สึกว่ามันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น มันต้องรู้ว่าตำรวจคงกำลังระดมหาตัวมันอย่างบ้าคลั่ง แต่มันอาจคิดไม่ถึงว่าเขาจะเจอกับสิ่งนี้ เพราะงั้นการทำตัวเหมือนคลื่นั์ในผืนน้ำอันแน่นิ่งอาจนำพาเขาไปสู่อะไรที่มันมากกว่านั้น
มันกำลังคิดว่าตัวเองนำหน้าตำรวจหลายก้าว
เพราะฉะนั้นแมททิวและคนอื่นในทีมเองต้องนำหน้ามันสิบก้าว
“ถ้าไม่ผิดก็น่าจะที่นี่นะ”
เจย์ลีนพยักหน้ารับ คนทั้งคู่จ้องมองบ้านหลังเล็กที่เรียงกันนับสิบในย่านชุมชนที่ไม่คุ้นเคย ถนนตรงกลางเต็มไปด้วยเด็กตัวเล็กหลายคนหยอกล้อเล่นกันอย่างสนุกสนานในเสื้อผ้ามอมแมม ผู้ใหญ่บางคนนั่งคุยกันอยู่หน้าบ้าน ดูแล้วล้วนแต่อายุมากกว่าเดวิดทั้งนั้น ไม่ต้องนับเจย์ลีนเลย ดูท่าหญิงแก่คนนั้นอาจรุ่นราวคราวเดียวกับทิมพ่อของเขาด้วยซ้ำ
“เราไปแบบนี้เขาจะไม่ใกันใช่มั้ย” เจย์ลีนเอ่ยถามด้วยความกังวลเล็กน้อย
“คุณอย่าลืมสิวันนี้ผมไม่ได้ใส่ชุดตำรวจ” เดวิดก้มหน้ามองชุดที่ตัวเองสวม เสื้อเชิ้ตคอจีนสีขาวแขนสั้นกับกางเกงยีนฟอกสีซีด มันดูแปลกตาจนเจย์ลีนไม่กล้ามองเท่าไหร่ ไม่รู้สิ
“จริง จริงด้วย แต่คุณคงคุยกับพวกเขาได้อยู่แล้วแหละ งานถนัดคุณนี่”
“แล้วไม่ใช่งานถนัดคุณหรอ คุณนักสืบ” เดวิดคลี่ยิ้มขี้เล่นออกมา เจย์ลีนจ้องตาเขาด้วยความแปลกใจ พลันความรู้สึกร้อนผ่าวจากคำพูดของเขาผสมรวมกับรอยยิ้มบนใบหน้าคมยิ่งแล้วใหญ่
เป็เดวิดที่ผลักประตูลงไปก่อน อันที่จริงั้แ่มาจอดรถเทียบที่ริมฟุตบาทก็เรียกความสนใจจากคนละแวกนั้นพอสมควร ครั้นพอลงจากรถมาด้วยกันแล้วยิ่งทำให้สายตาทุกคู่มองเขาเป็ตาเดียวกัน เพราะการแต่งกายที่ดูแปลกแยกจากคนที่นี่เหลือเกิน เจย์ลีนขนาบข้างเดวิดด้วยความรู้สึกประหม่าเล็กน้อย นายตำรวจหนุ่มที่ในวันนี้นอกเครื่องแบบหันมองคนตัวเล็กเพียงครู่ ก่อนจะตัดสินใจเลือกสักคนที่นั่งอยู่เพื่อถามหาคนที่อยากพบ
“ขอโทษนะครับคุณ” เดวิดเอ่ยเสียงนอบน้อม เขาเลือกเดินเข้าไปหาหญิงชราคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนเก้าอี้โยกตรงชานหน้าบ้าน หล่อนกำลังยิ้มน้อยๆมองเด็กๆเล่นกันดูท่ามีความสุข สิ้นเสียงเอ่ยทักของชายหนุ่มแปลกหน้า หล่อนเพียงปรายตามองอย่างช้าๆ ท่าทีดูเนิบนาบทว่าสายตาแฝงไปด้วยความใจดี
“มีธุระอะไรกับฉันหรือพ่อหนุ่ม” น้ำเสียงใจดีไม่แพ้แววตาทำให้คนทั้งคู่ที่ยืนเก้ๆกังๆอยู่เบากังวลไปได้บ้าง เจย์ลีนยิ้มออกมาอย่างโล่งอก
“ผมเดวิดครับ กำลังตามหาคนคนหนึ่งอยู่ คุณพอจะรู้จักคนชื่อบาเอลมั้ยครับ ผมทราบมาว่าเขาอาศัยอยู่แถวนี้” หญิงชราพยักหน้าช้าๆในทุกคำพูดที่เอ่ยจากปากเดวิด หล่อนนิ่งไปครู่หนึ่ง เจย์ลีนและเดวิดหันมองหน้ากันด้วยสีหน้างุนงงเล็กน้อย นายตำรวจหนุ่มทำท่าจะเอ่ยปากต่อ ทว่า
“บาเอล เพื่อนนายมาน่ะ” หญิงชราส่งเสียงเรียกเข้าไปทางในบ้านที่เธออยู่ มันเบาเสียจนไม่น่าจะมีใครในนั้นได้ยิน เพราะลำพังเดวิดกับเจย์ลีนที่ยืนอยู่ก็ว่ามันเบาแล้ว ทว่าสักพักก็ปรากฏชายคนหนึ่งเดินออกมาจากหลังประตูที่เปิดอ้าไว้
“ใครล่ะแม่”
ชายผิวสีคนนั้นมองหน้าคนไม่คุ้นเคยทั้งสองด้วยแววตาสงสัยั้แ่หัวจรดเท้า หญิงชราพยักพเยิดไปทางเดวิดและเจย์ลีนก่อนจะหันไปสนใจเด็กตัวน้อยๆที่เล่นกันอยู่กลางถนนต่อ
“เอ่อคือ” เดวิดอ้ำอึ้งเล็กน้อย
“คุณสองคนเป็ใคร” บาเอลในชุดเสื้อกล้ามและกางเกงขาสั้นเอ่ยถามเสียงแข็งดูท่าไม่เป็มิตร เดวิดเริ่มหวั่นใจว่าจะเกิดอะไรบานปลายหรือเปล่า เขารีบโพล่งออกไปทันทีโดยไม่รีรอ
“ผมมีเื่ให้ช่วยนิดหน่อยครับ เกี่ยวกับโรงไม้เก่า” ถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นบาเอลมีสีหน้าผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย เขาพยักหน้าก่อนจะเดินเลี่ยงไปอีกทางเพื่อให้พ้นจากหญิงชรา เดวิดคิดในใจว่าดีเหมือนกัน การตามสืบเบาะแสควรจะเป็อะไรที่ค่อนข้างลับอยู่พอสมควร
“โรงไม้ทำไมหรอ” บาเอลเอ่ยถามหลังหยุดยืนเมื่อเห็นว่าห่างจากผู้คนแล้ว เขายืนพิงลูกกรงเหล็กสนิมเขรอะ กอดอกมองด้วยสายตาที่ประหลาดใจเล็กน้อย คนผมสีบลอนด์นั่นดูเด็กมาก อาจพี่งจบไฮสคูลเมื่อวานด้วยซ้ำ ส่วนอีกคนก็ดูแล้วน่าจะอายุไล่เลี่ยเขา
“จริงๆผมมาถามเื่จักรยานกับโทรศัพท์มือถือที่คุณเอาไปขายให้ร้านมือสอง” เดวิดเอ่ยเสียงเรียบ เขาเปลี่ยนท่าทีเป็เอาจริงเอาจังขึ้นกว่าเมื่อครู่ บาเอลครุ่นคิดสักครู่ก่อนจะเบิกตากว้าง
“อย่าบอกนะว่าคุณเป็…”
ยังไม่ทันที่เขาจะเอ่ยจบประโยค ตราสัญลักษณ์กรมตำรวจในมือเดวิดก็ถูกเผยหราออกมาทันที บาเอลหน้าซีด ไม่คิดเลยว่าคนตรงหน้าเขาจะเป็ถึงตำรวจ กะไว้ในใจแล้วว่าโรงไม้บ้าบออะไรนั่นมันจะต้องมาถึงเขาเลยหรือไงกัน ถามคนแถวนั้นเอาก็ได้ ชายผิวสีทำท่าจะเดินหนี แต่เดวิดกระแอมไอหนึ่งทีพร้อมก้าวมาขวางทางไว้ บาเอลจึงถอยกลับไปยืนพิงลูกกรงตามเดิมอย่างเสียไม่ได้
“ให้ความร่วมมือกับเ้าหน้าที่จะดีที่สุด เข้าใจนะ” บาเอลพยักหน้า เขาถอนหายใจอย่างไม่สบอารมณ์นิดหน่อย
“ผมเดวิด นี่เจย์ลีนคู่หูของผม”
คู่หู คู่หูอย่างงั้นหรอ
“ผมอยากทราบว่าคุณเจอจักรยานกับโทรศัพท์ที่ไหน ขอตำแหน่งแบบละเอียดเพราะเรา้ามันมาก” น้ำเสียงเอาจริงเอาจังไม่เท่าท่าทาง เจย์ลีนรู้ดีว่าเดวิดเริ่มมันแล้วด้วยการล้วงเอาสมุดคู่ใจกับปากกาขึ้นมาเตรียมจด เขาเหมือนกับนักเรียนตอนไปทัศนศึกษาไม่มีผิด
“แล้วผมจะได้อะไรจากการตอบคำถามนี้” ชายผิวสีเล่นลิ้นเรียกร้องอะไรตอบแทน เดวิดหายใจเข้าลึกท่าทางเริ่มไม่สบอารมณ์บ้างแล้ว เจย์ลีนเห็นท่าไม่ดีจึงตัดสินใจโพล่งบางอย่างออกมา
“คุณอาจจะเสียเวลาตอบคำถามเราสั้นๆเพียงแค่ครู่เดียว แต่มันอาจยื้อเวลามหาศาลให้กับคนคนหนึ่งที่ไม่กลับบ้านมาเกือบครึ่งเดือนแล้วก็ได้นะครับ ผมขอร้อง”
เดวิดหันมองหน้าอีกคน แววตาของเจย์ลีนนั้นร้าวรานชัดเจน ผสมกับสุ้มเสียงที่อ้อนวอนอย่างหมดหนทาง แน่นอนว่าคนอย่างบาเอลเองก็ไม่ได้ใจไม้ไส้ระกำถึงขนาดจะเมินเฉยได้ เขาไม่ได้มีพิษมีภัย และยิ่งดูเหมือนว่าจะเป็การสูญเสียแล้วนั้น เขาเองก็ยิ่งเพิกเฉยต่อมันไม่ได้
“ผมเจอกันคนละรอบ…” เขายอมเปิดปากพูดหลังจากเงียบอยู่สักพัก
“รอบแรกผมเจอจักรยานก่อน เห็นว่ามันยังพอใช้งานได้เลยเอามา เจอที่หลังพุ่มไม้ไม่ไกลจากเส้นทางธรรมชาติที่คนชอบไปกัน”
แสดงว่าจูเลียนเข้าไปที่นั่นจริงๆด้วย
“ส่วนโทรศัพท์ผมเจอตอนที่เข้าไปหาผลไม้ป่า ตอนนั้นหิวมากน่ะก็เลยเข้าไป เริ่มเดินจากโรงไม้เก่าไปเรื่อยๆ น่าจะไกลจากถนนใหญ่อยู่นะ แล้วผมก็เจอมันตกอยู่”
“แถวนั้นมันใกล้อะไรบ้างมั้ย อะไรที่พอจะสังเกตได้”
“ขอนึกเดี๋ยวเดียวนะ” บาเอลทำท่าครุ่นคิด เดวิดจดทุกอย่างลงสมุดมือเป็ระวิง เขาไม่ได้พูดอะไรทว่าในใจเริ่มกังวลอะไรบางอย่าง ลางสังหรณ์มันเริ่มชัดเจนขึ้นจนจิตใจว้าวุ่นไปหมด
“นึกออกแล้ว ขากลับผมเกือบหลง แต่ว่าก็เดินกลับมาได้ ดูเหมือนว่าป่า่นั้นมันจะเชื่อมกับถนนตัดใหม่นะ ถ้าผมจำไม่ผิด”
ถนนตัดใหม่หรอ
“มีข้อมูลสำคัญอะไรจะบอกกับเราอีกมั้ย” เดวิดเงยหน้าจากสมุดจดในมือ ถามเขาอีกครั้งและคิดว่าคงเป็คำถามสุดท้าย เพราะในใจตอนนี้คิดถึงเพียงอย่างเดียวแล้ว
“อืมมม คิดว่าไม่มีนะ แต่เออ ตอนที่ผมเก็บโทรศัพท์มาน่ะ มันเหมือนกับว่าจะมีรอยเปื้อนอยู่ เป็หยด เหมือนกับเืเลยแต่ผมเองไม่แน่ใจนะ บางทีอาจจะเป็ฝุ่นหรือดินก็ได้”
แน่นอนว่าพอสิ้นประโยค เจย์ลีนตาเบิกกว้างขึ้นทันทีอย่างไม่ต้องเดา เื เขาแน่ใจจริงๆใช่มั้ยว่าเป็เื แต่คำพูดเขาก็ดูไม่มั่นใจเลย แล้วถ้ามันไม่ใช่เืแต่เป็อย่างอื่นแบบที่เขาว่า แต่ถ้ามันเป็เืขึ้นมาจริงๆล่ะ
“ขอบใจมากบาเอล ถ้าผมว่างจะแวะมาขอบคุณนะ คุณช่วยเราได้เยอะมาก”
เดวิดเอ่ยขอบคุณ บาเอลเพียงพยักหน้ารับด้วยความมึนงงเล็กน้อย ดูสีหน้าของเด็กหนุ่มอีกคนแล้วหลังจากได้ยินคำว่าเืท่าจะใมาก เดวิดเดินนำโดยมีเจย์ลีนเดินตามมาห่างๆ ความเงียบปกคลุมไปยันบนรถ ไม่มีใครเอ่ยปากพูดสิ่งใด หากแต่ความคิดแตกกระเจิงเป็เสี่ยงๆเรียบร้อย เจย์ลีนครุ่นคิดอย่างหนักแค่คำว่าเืคำเดียว ส่วนเดวิดในตอนนี้คงต้องบอกว่าหนักใจ เพราะจุดที่พบโทรศัพท์มือถือนั้น มันช่างล่อแหลมเสียเหลือเกิน
จวบจนเกือบถึงกรมตำรวจ สีหน้าของคนหลังพวงมาลัยก็ยังคงเคร่งขรึม ในขณะที่เจย์ลีนเองเริ่มจะพอคลายกังวลได้เพียงนิด ไม่ใช่ว่าไม่ห่วงจูเลียน แต่สิ่งที่บาเอลพูดนั้นแม้แต่ตัวคนพูดเองก็ยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าสิ่งที่เห็นมันจะเป็สิ่งนั้นจริงหรือเปล่า ดวงตากลมลอบมองอีกคนด้วยแววตาสงสัย
เขามักเป็แบบนี้ ทีแรกเจย์ลีนเองไม่เข้าใจสักเท่าไหร่ แต่พอเห็นจากคราวนั้นที่อยู่ดีๆเขาก็ไปบ้านพ่อกับแม่ มันทำให้รู้ว่าที่จริงเดวิดซับซ้อนกว่าที่คิด ภายนอกเขาดูเป็คนมีมิติเดียว ดูโผงผาง ไร้มารยาทในบางครา หากแต่ที่จริงเขาเองก็แบกรับเื่ในใจไม่ต่างจากเจย์ลีนเลยแม้แต่น้อย เพราะงั้นการปล่อยให้เขาได้ใช้ความคิดของตัวเองเงียบๆคงดีกว่าการซักถามขึ้นมาลอยๆ คนตัวเล็กจึงหันหน้าไปอีกฝั่งเพื่อดูสองข้างทางคงเป็ทางออกที่ดีที่สุด
อยู่ดีๆคนนิ่งเงียบก็หักพวงมาลัยจอดหน้าร้านอาหารโดยที่เจย์ลีนไม่ทันตั้งตัว ยกข้อมือขาวดูนาฬิกาก็พบว่าจวนจะหกโมงเย็นแล้ว ไม่รู้เลยว่าผ่านมานานขนาดนี้ แต่ไม่แปลกเพราะวันนี้เล่นออกนอกเมืองกันไปไกลเหลือเกิน เดวิดดับรถ หันมองหน้าเจย์ลีนแวบหนึ่งโดยไม่พูดอะไร
“คุณหิวหรอ” ปากบางอิ่มเอ่ยถาม
“อืม ลงมาสิ” เขาตอบเพียงแค่นั้นก็ย้ายตัวออกจากรถโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง อะไรกันนะคนคนนี้ ชักจะอ่านเขาไม่ออกโดยสมบูรณ์ซะแล้วสิ
หลังจากพนักงานสาวเดินจากไป เดวิดกอดอกมองรอบๆร้านเพื่อหาที่พักสายตาให้ผ่อนคลาย ยอมรับว่าระหว่างทางกลับเขาไม่ได้คิดเื่อะไรในหัวเลยนอกเสียจากเื่สองเื่ที่เหมือนจะมีจุดเชื่อมกันอย่างน่าประหลาด เขากำลังวางสายตาที่ชั้นบรรจุน้ำอัดลมขวดแก้ว แต่แล้วก็ต้องย้ายสายตามายังดวงตากลมที่จ้องเขาอยู่อย่างสงสัย
“อะไร” นายตำรวจหนุ่มเอียงหัวเล็กน้อย
“คุณเป็อะไรหรือเปล่า ดูเงียบผิดปกติจัง” ในที่สุดเจย์ลีนก็ตัดสินใจถามออกมา เผื่อว่าบางทีเขาอาจทำอะไรไม่เหมาะหรือเปล่า เดวิดถึงได้ดูมึนตึงขนาดนี้
“แค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อย” เขาตอบสั้นๆ คว้าแก้วน้ำดื่มตรงหน้าขึ้นจิบและกอดอกต่อ
“ผมทำอะไรผิดหรือเปล่า หรือว่าสิ่งที่ผมพูดกับบาเอลมันเหมือนว่าขัดการทำงานของคุณมั้ย หรือ…”
“จะขัดอะไร ก็บอกแล้วว่าคุณเป็คู่หูผม” ดวงตากลมเลื่อนย้ายหนีทันทีด้วยความประหม่า รอยยิ้มมุมปากพร้อมประโยคเมื่อครู่มันช่างจงใจยกยอเขาชัดๆ เห็นมั้ย บทเขาจะเย้าแหย่เขาก็ทำแบบหน้าตาเฉย ใครจะไปทันเขากัน
“ที่คุณพูดกับบาเอลน่ะดีมาก เห็นอยู่ว่ามันช่วยพลิกสถานการณ์จากหน้ามือเป็หลังมือเลย วันนี้คุณทำดีมาก” ใบหน้ากลมเปื้อนยิ้มจนแก้มแทบปริ หากแต่เจย์ลีนก็ยังไม่คลายสงสัยสักเท่าไหร่ว่าถ้าในเมื่อเขาทำดีแล้ว ทำไมเดวิดถึงยังมีท่าทีแบบนี้อยู่กันนะ
“ถ้าคุณว่าแบบนั้นผมก็ดีใจ แต่ทำไมคุณถึงดูไม่ค่อยพูดนักล่ะ เราน่าจะได้อะไรเพิ่มไม่ใช่หรอ มันไม่ได้คว้าน้ำเหลวสักหน่อย” คนตัวเล็กเขยิบเข้ามาใกล้และขมวดคิ้วสงสัย เดวิดเองก็พลอยรู้สึกผิดไปด้วยที่ทำบรรยากาศแย่ลงจนอีกคนรู้สึกไม่ดี
“ไว้เดี๋ยวกินข้าวเสร็จแล้วผมเล่าให้ฟังทีเดียวก็แล้วกัน”
“สรุปคุณโมโหหิวหรอ” เจย์ลีนพูดกลั้วหัวเราะ ดวงตาเป็ประกายทำเอาเดวิดอดจะอมยิ้มตามไม่ได้
“ใช่ที่ไหนกันเล่า เด็กบ้า”
“ก็ถ้างั้นมันคืออะไรล่ะ คุณบอกผมไม่ได้หรอ” ท่าทีเร่งเร้าของคนตรงหน้าทำเอาเดวิดส่ายหัวด้วยความระอาใจ ไม่ใช่ว่ารำคาญแต่อย่างใดหากแต่เจย์ลีนดูผ่อนคลายมากขึ้นต่างจากตอนที่ได้ยินคำว่าเืออกจากปากบาเอลครั้งแรก
เดวิดไม่ตอบอะไร เพียงจ้องดวงตากลมด้วยท่าทางกอดอกนิ่งแบบนั้นก็ทำเอาเจย์ลีนหันหน้าไปอีกทางเองอัตโนมัติ จะว่ายังไงดีล่ะ เจย์ลีนไม่เคยเห็นเขาแต่งตัวด้วยชุดนอกเสียจากเครื่องแบบสีดำสนิทนั่นมากก่อน เพราะงั้นเสื้อคอจีนแขนสั้นและกางเกงยีนฟอกสีซีดแบบในตอนนี้มันแปลกตาเหลือเกิน
เขาดูดี
คงต้องบอกว่าดูดีมาก ดูมีรสนิยมในการเลือกขัดกับท่าทางที่ดูไม่สนโลกของเขา แต่ช่างเถอะ ใครสนกันว่าจะแต่งตัวยังไง เพียงครู่จานอาหารที่สั่งไปก็ถูกวางตรงหน้า เจย์ลีนคว้าช้อนตักกินก่อนคนที่บอกว่าหิวแบบเดวิดเสียอีก นายตำรวจหนุ่มค่อยๆบรรจงกินทีละคำ สลัดปลัดเปลื้องความคิดนั้นในหัวไม่ได้สักที สำหรับเขาหากบอกไปคงหนักหนา ไม่รู้ว่าคนตรงหน้าจะมีอาการยังไงหลังรู้มันเข้า
“ทีนี้คุณจะบอกได้หรือยัง” เจย์ลีนทักท้วงทันทีเพียงแค่ปิดประตูรถ ยังไม่ทันจะสตาร์ทเ้ามัสแตงเสียด้วยซ้ำ
“คุณแน่ใจใช่มั้ยว่าจะรับมันได้ มันมีรายละเอียดอีกมากที่คุณต้องรู้” พอเขาพูดแบบนี้เข้าเจย์ลีนเองก็เริ่มจะลังเลนิดหน่อย หากแต่ในใจก็อยากจะรู้มันให้ได้ เพราะท่าทีของเดวิดดูเปลี่ยนไปจริงๆหลังคุยกับบาเอล
“ว่ามาสิ ผมพร้อม” เดวิดพยักหน้ารับและเริ่มเปิดปากพูด
“ตำแหน่งที่บาเอลเจอจักรยาน คุณรู้ใช่มั้ยว่าเราเคยไปที่นั่นกันมาแล้ว” เขาหยุดครู่หนึ่งเพื่อดูท่าทางของอีกฝ่าย เจย์ลีนพยักหน้าตาใส สีหน้าดูใจจดใจจ่อเสียจริง
“นั่นแหละ มันแปลว่าน้องคุณเข้าไปที่นั่นจริงๆ เื่เหตุผลเราคงต้องมาว่ากันอีกที แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ…”
“ประเด็นสำคัญมันอยู่ที่ตำแหน่งการพบโทรศัพท์มือถือของน้องคุณ ถ้ายึดตามที่บาเอลบอก และผมก็เชื่อไปเกินครึ่งว่าเขาคงไม่โกหก มันค่อนข้างที่จะ…”
“จะอะไรหรอ” ยิ่งหยุดพูดยิ่งทำอีกคนใจไม่ดี เดวิดสูดหายใจเข้าและตัดสินใจว่ามันคงจำเป็ต้องให้เจย์ลีนรู้จริงๆ
“คุณคงพอรู้ว่าทีมสามเรามีคดีที่ยังสางกันไม่เสร็จก่อนหน้าคุณจะเข้ามา ถูกมั้ย”
“ครับ”
“คดีนั้นเราสืบกันอย่างลับๆ จริงอยู่มันอาจจะมีการพูดปากต่อปากบ้าง แต่คนที่รู้รายละเอียดดีที่สุดคงมีแค่ตำรวจในทีมเท่านั้น มันเป็คดีฆาตกรต่อเนื่อง”
สิ้นคำท้ายประโยค เจย์ลีนเบิกตาโพลงด้วยความใอย่างห้ามไม่อยู่ เดวิดกะเอาไว้แล้วว่าต้องเป็แบบนี้ เขาจึงพูดต่อให้มันจบเสียทีเดียว
“เราพบศพทั้งหมดหกศพ สภาพผมคงไม่บรรยาย และทุกที่ที่เราพบมันมักจะไม่ห่างจากที่ที่บาเอลเจอโทรศัพท์มือถือของน้องคุณเลย ทุกศพล้วนเจอในเขตของป่าหลังถนนตัดใหม่ และในวันที่น้องคุณหายตัวไป ศพที่เจ็ดก็งอกขึ้นมาทันที”
“ไม่…”
“ไม่ใช่น้องคุณหรอก แต่นั่นแหละที่ผมจะบอก มันเลยทำให้ผมหยุดคิดไม่ได้เลยว่ามันจะเกี่ยวข้องกันหรือเปล่า เพราะมันช่างล่อแหลมเหลือเกิน มันไม่ได้ทิ้งห่างกันจนพอจะวางใจได้สักนิด”
เจย์ลีนดวงตาสั่นระริก ยกมือขึ้นปิดปากด้วยความใที่เรียกว่าช็อกเกินขีดสุด ในหัวสับสนจับต้นชนปลายอะไรไม่ถูกสักอย่าง ขอบตาร้อนผ่าวเหมือนว่าน้ำตามันจะพาลไหลลงมายังไงยังงั้น เดวิดเห็นท่าไม่ดีจึงเอื้อมมือมาลูบที่ไหล่บางเบาๆ
“ผมยังขอไม่ด่วนสรุปว่าน้องคุณจะเป็เหยื่อมันหรอก เพราะอันที่จริงถ้าหากเป็เหยื่อมันจริงๆ ป่านนี้คงมีคนเจอน้องคุณแล้ว แต่นี่…”
“แล้วถ้าจูลตาย ถ้าจูลตายไปตั้งนานแล้วล่ะ”
ในที่สุดน้ำตาที่กลั้นมาแสนนานก็ไหลพรูออกจากดวงตาคู่สวย เจย์ลีนยกฝ่ามือปิดหน้าร้องไห้ฟูมฟายเสียจนคนบอกพลอยเอาใจเสียไปด้วย เดวิดถอนหายใจ เขาไม่น่าบอกเลย หากแต่ยังไงซะสักวันเจย์ลีนก็ต้องรู้อยู่ดี เป็ไปไม่ได้ที่จะเพิกเฉยในข้อนี้ ถึงแม้มันอาจไม่เกี่ยวกันในตอนท้าย แต่สัญชาตญาณของนายตำรวจหนุ่มมันกู่ร้องบอกให้เขาระวังไว้ก็ไม่เสียหาย
“คุณ” เดวิดเอ่ยเรียกสติ ทว่าราวกับหูเจย์ลีนทั้งสองข้างมันดับสิ้นไปแล้ว คนตัวเล็กไม่รับรู้อะไรอีก
“เจย์ลีน”
แค่เพียงเอ่ยชื่อและััเบาๆร่างเล็กก็โผเข้ากอดอีกคนทันที เสียงสะอื้นดังก้องในหูของเดวิด เขานิ่งไปครู่หนึ่ง ทำตัวไม่ถูกจนมือเก้ๆกังๆ สุดท้ายก็ตัดสินใจลูบที่แผ่นหลังบางอย่างแ่เบา เสียงอู้อี้ฟังไม่เป็ภาษาของคนอายุน้อยกว่านั้นมันช่างหวาดกลัวเสียเหลือเกิน
“ไม่ต้องกลัวนะ คุณบอกกับผมเสมอนี่ว่าน้องคุณเป็คนเก่ง จริงมั้ย เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรต้องกลัวนะเจย์ลีน ไม่ต้องกลัวเชื่อผมนะ”
แม้ถ้อยคำที่ตอบกลับมาจะทำให้คนฟังอย่างเขาไม่รู้เื่สักเท่าไหร่ หากแต่เดวิดรู้ดีว่าเจย์ลีนรู้สึกยังไง แค่เพียงจินตนาการว่าคนที่รักยิ่งกว่าชีวิตต้องหายไปจากโลกนี้และไม่ได้พบอีกนั้น คงต้องบอกว่ามันยิ่งกว่าพังทลาย เขารู้ดี แต่เขาเชื่อว่าจูเลียนยังอยู่ ไม่รู้เพราะอะไรแต่เขามั่นใจแบบนั้น
แมททิวนอนเสียบหูฟังบนเตียงนอนมาร่วมหลายชั่วโมง ปาเข้าไปเกือบเที่ยงคืนก็ไม่ยักกับได้ยินเสียงอะไรที่น่าสงสัย มีเพียงเสียงแว่วไกลๆที่เดาว่าคงเป็บ้านข้างๆเพียงเท่านั้น หรือไม่ก็เป็เสียงลมหวีดไหวตามปกติ นายตำรวจหนุ่มในชุดนอนเริ่มจะถอดใจ หรือว่ามันจะไหวตัวทันกันแน่นะ
หาวปากกว้างจนน้ำตาไหล เขาตัดสินใจลุกขึ้นยืนจะไปปิดไฟ เดาว่าคืนนี้คงไม่มีอะไรให้ฟังแน่ๆ แต่แล้วกลับหยุดชะงักอยู่กับที่ทันที เสียงกุกกักที่ชัดเจนกว่าปกติดังแว่วขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว เขานิ่งไม่ขยับเพื่อให้โฟกัสกับเสียงในหูได้มากขึ้น
“ไม่ได้การละ” แมททิวรีบย่องลงจากบันไดอย่างรวดเร็วจนถึงชั้นล่าง คว้ากุญแจและรองเท้ากีฬาที่ใกล้ที่สุด สตาร์ทรถขับหายไปในความมืด
เสียงนั้นมันยังคงมีให้ได้ยินอยู่บ้างระหว่างทางที่ขับรถมา บางครั้งก็สลับกับเสียงเดิน เขาแน่ใจว่าฟังไม่ผิด มันเป็เสียงเดินจริงๆ เมื่อใกล้ถึงบ้านของจัสตินเขารีบหักพวงมาลัยเทียบกับฟุตบาท ดับเครื่องยนต์ให้แน่ใจว่าถ้าหากมีใครเข้ามาในบ้านจัสตินจริงๆ มันจะต้องไม่ได้ยินเสียงรถของเขา
แมททิวก้าวลงจากรถปิดประตูอย่างเบามือ เสียงฝีเท้ายังคงวนไปวนมา เขาดักซุ่มอยู่ที่พุ่มไม้บ้านข้างๆจัสติน เสียงจากเครื่องดักฟังยังคงอยู่ คราวนี้มันเหมือนกับเสียงขยับของอะไรบางอย่าง เหมือนว่าใครคนหนึ่งกำลังหาของที่หายไป หรือไม่ก็อาจจะกำลังรื้อบางอย่างอยู่ก็ได้
เขาแน่ใจว่าต้องมีใครอยู่ แมททิวตัดสินใจถอดหูฟังออกและเก็บมือถือใส่กระเป๋ากางเกง ลงฝีเท้าแ่เบาเข้าไปในบ้าน ความมืดค่อนข้างเป็อุปสรรคเล็กน้อย เขาไม่ได้เอาไฟฉายติดมาเพราะกลัวว่าแสงไฟจะทำมันหนีกระเจิง อาวุธป้องกันตัวอะไรก็ไม่มี บ้าเอ๊ย นี่รีบจนลืมทุกอย่างเลยหรือไงวะ
แถบกั้นสีเหลืองยังคงอยู่เหมือนเดิม อาจไม่ตึงเท่าตอนแรกที่กั้นเอาไว้เท่าไหร่ เพราะทั้งเขาทั้งแดนเองก็แกะเทปนี้เพื่อเข้าออกกันทั้งนั้น แมททิวตัดสินใจเข้าทางประตูหน้าบ้าน ยังดีที่เขาไม่ลืมหยิบกุญแจบ้านจัสตินจากเก๊ะบนรถมาด้วย แมททิวกำกุญแจดอกเดียวในมือไว้แน่น เอื้อมจับลูกบิดประตูที่เย็นเฉียบและบิดมันให้แน่ใจว่ามันยังล็อกอยู่
ปรากฏว่ามันไม่ได้ล็อก
นายตำรวจหนุ่มยิ่งแน่ใจเข้าไปใหญ่ว่าต้องมีใครเข้ามาที่นี่ ไม่มีทางที่เขาหรือตำรวจคนอื่นจะสะเพร่าลืมล็อกที่เกิดเหตุแน่ๆ แมททิวบิดลูกบิดเข้าไปอย่างเบามือ ปรับสายตาเข้ากับความมืดที่มากกว่าภายนอกอยู่ครู่จึงก้าวเท้าเข้าไป
ความเงียบเอ่ยทักทายเขาเป็อย่างแรก กลืนน้ำลายอึกใหญ่เพราะเมื่อครู่แอบคิดว่าถ้าหากมีคนอยู่จริงๆ มันอาจจะหาอะไรฟาดหัวเขาแล้วก็ได้แต่ไม่ได้เป็แบบนั้น เห็นทีต้องเพลาๆการดูซีรีส์ฆาตกรรมบ้างแล้ว นายตำรวจหนุ่มก้าวฝีเท้าแ่เบา บ้านหลังนี้ไม่ได้กว้างใหญ่และมีมุมหลบมากขนาดที่มันจะซ่อนตัว หรือว่าบางทีเขาแค่หูฟาดกันนะ
แต่ไหนๆมาถึงแล้วคงต้องดูให้ครบ แมททิวตัดสินใจรวบรวมความกล้าเดินสำรวจภายในบ้านอย่างรวดเร็วท่ามกลางกลิ่นอายของความหวาดระแวงเล็กน้อย ข้าวของระเกะระกะจนบางครั้งก็เกือบสะดุด สุดท้ายวนอยู่นานสองนานก็ไม่พบอะไร เห็นทีคงคว้าน้ำเหลวจนได้ หูแว่วจริงๆซะด้วยนะเรา เขาหันหลังกลับออกจากบ้าน ไม่ลืมจะล็อกประตูให้แน่ใจว่าล็อกแล้วจริงๆ ก่อนจะสตาร์ทรถขับกลับบ้านและหายไปในความมืด
ทันทีที่รถยนต์ลับหายไปบนท้องถนน ใครบางคนภายใต้ฮู้ดสีดำจึงเผยตัวออกจากที่ซ่อนนอกบ้าน มันเห็นไม่ถนัดว่าไอ้หมอนั่นมันสำรวจอะไรบ้าง แต่ที่แน่ใจและรู้โดยไม่ต้องเดาคือ
ตำรวจรู้เื่เครื่องดักฟังแน่ๆ
มันตัดสินใจลอบเข้าบ้านอีกครั้ง ยิ้มมุมปากเมื่อบิดกลอนประตูไม่ออก ก่อนจะคว้ากุญแจแบบเดียวกันออกมาและไขเข้าอย่างง่ายดาย มันตรงดิ่งไปที่โซฟาตัวนั้น หงายขึ้นและแกะเครื่องดักฟังออกให้สิ้นซาก เท่านี้ก็เรียบร้อย อยากจะสืบอะไรต่อก็เชิญถ้าหากทำได้
ก้าวตามกูให้ทันก็แล้วกัน
ไอ้พวกโง่