หลังจากรอให้หลี่อวิ๋นอี้สิ้นสุดการสนทนาลับ มองไปรอบด้านอย่างหลบซ่อน เจียงเฉิงเยว่จึงรีบถอยหลังหนึ่งก้าว ดึงหญิงสาวตรงหน้าอย่างสนิทสนมและแเีมาซ่อนตัวอยู่หลังหินประดับ หลังจากหลี่อวิ๋นอี้ไม่พบความผิดปกติใดจึงเดินจากไปตามปกติ
จากนั้นเจียงเฉิงเยว่กลับคืนสติ เขามองหญิงสาวตรงหน้าแล้วบอก “ขออภัย...เมื่อครู่เ้าพูดว่าอะไร?”
หญิงสาวนำถุงหอมที่ปักอย่างวิจิตรงดงามชิ้นหนึ่งในมือส่งให้ตรงหน้าอย่างเขินอายพลางกล่าว “กลิ่นหอมนี้เรียกว่า ‘ไขกระดูกกิเลน’ กลิ่นนี้สกัดจากชะมดกับใบสะระแหน่ กลิ่นหอมนี้จะช่วยกระตุ้นให้สมองปลอดโปร่ง เมื่อครู่ฝ่าาทรงเมาสุราอาจรู้สึกไม่สบาย...หากฝ่าาไม่นึกรังเกียจ...”
เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง คิดไม่ถึงว่าการที่ตนเองตอบแบบส่งๆ กับนางไปสองสามประโยคจะทำให้เกิดกระแสลมเช่นนี้...การที่สตรีสมัยใหม่มอบถุงหอมให้กับบุรุษนั้นมีความหมายคลุมเครือเป็อย่างมาก
เมื่อเห็นหญิงสาวมองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง เจียงเฉิงเยว่พลันลำบากใจขึ้นมา รับดีหรือไม่? แม้จะมีความคลุมเครืออยู่ ทว่าสุดท้ายความคลุมเครือก็เป็เพียงความคลุมเครือ หากไม่รับ...จะทำให้หญิงสาวที่รวบรวมความกล้าอับอายหรือไม่กัน? แต่ว่าหากรับ...หากมีครั้งแรกแล้ว หากผู้คนจำนวนมาก้าส่งให้ตนจะทำอย่างไร? นี่ไม่ใช่ว่าเขาหลงตัวเอง เพราะร่างที่อาศัย ณ ตอนนี้อยู่ในสถานะใดเขาย่อมรู้ เขาพลันนึกถึงวัตถุดิบที่นักพรตจากสำนักชิงเฟิงผู้นั้นส่งให้เมื่อสองสามปีก่อน ซึ่งถูกหลี่อวิ๋นหังหาข้ออ้างปฏิเสธ เด็กคนนั้นมีนิสัยแปลกๆ บางครั้งแสดงความเป็เ้าของตนอย่างแข็งกร้าว...
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เจียงเฉิงเยว่จึงทำได้เพียงยิ้มพร้อมกล่าวขอโทษ “ทำให้ความปรารถนาดีของคุณหนูต้องผิดหวังแล้ว เพียงแต่ข้าไม่ชอบพกถุงหอมติดตัวมาแต่ไหนแต่ไร...”
ใบหน้าของหญิงสาวถอดสีในชั่วพริบตา ก่อนเปลี่ยนเป็ขาวซีด
เจียงเฉิงเยว่รู้สึกอึดอัดใจขึ้นมา ข้ออ้างนี้ยังมีความไม่ใส่ใจอยู่เล็กน้อยอย่างที่คาดไว้ ไม่ต้องกล่าวถึงอย่างอื่น จะอธิบายอย่างไรถึงกลิ่นหอมจางๆ ที่ติดอยู่ตามปลายเสื้อและเส้นผมของเขาในตอนนี้กันเล่า บอกว่าไม่ชอบพกถุงหอมอย่างนั้นหรือ?
หลังครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเขายิ้มอีกครั้งแล้วกล่าว “แต่ไหนแต่ไรมาข้าชอบที่จะใช้ ‘กลิ่นสาลี่กับผลเซียนอวี๋’ เป็กลิ่นในการอบร่ำหยก กลิ่นนี้ช่างหนักแน่น ไม่เหมาะที่จะผสมกับกลิ่นหอมอื่น ปกติแล้วข้าจึงไม่พกถุงหอมติดตัวอีก ขออภัย...”
ในที่สุดเขาหาทางลงได้ ใบหน้าของหญิงสาวผู้นั้นจึงกลับเป็ปกติเล็กน้อย รีบรับถุงหอมกลับมา จากนั้นถวายคำนับ “ฝ่าาทรงกล่าวเกินไปแล้ว เป็การล่วงเกินของข้าที่ไม่ได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วน”
เจียงเฉิงเยว่พยักหน้าพร้อมยิ้มให้นาง หลังจากนั้นพูดอีกสองประโยคแล้วจากไปด้วยข้ออ้างว่าจะกลับไปในงานเลี้ยง
ย้อนกลับมาในงานเลี้ยง หลี่อวิ๋นซินเมาไปกว่าครึ่งจนหน้าดำหน้าแดง บรรยากาศยิ่งร้อนแรงขึ้น เมื่อเห็นเจียงเฉิงเยว่กลับมาเขาพูดด้วยรอยยิ้ม “เสด็จพี่...เหตุใดถึงไปนานเช่นนี้เล่า? คิดจะหนีจากการพนันเหล้าหรือ? สมควรโดนลงโทษ สมควรโดนลงโทษ” ขณะที่พูดกลับดึงขุนนางกลุ่มหนึ่งที่ติดพันเหล้าเริ่มโห่ร้องให้เขาดื่ม
เจียงเฉิงเยว่ปวดศีรษะอย่างไม่รู้จบ ขอละเว้นซ้ำแล้วซ้ำอีก เมื่อหลบหนีไม่ได้จึงดื่มไปครึ่งถ้วย จู่ๆ เขารู้สึกเหมือนว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขามองหาโดยรอบเป็เวลานานกลับไม่เห็นหลี่อวิ๋นหัง เจียงเฉิงเยว่ใรีบผินหน้าไปด้านหลัง ข้าราชบริพารที่คอยรับใช้เข้าใจความหมายจึงยื่นหูมาด้านหน้า
เจียงเฉิงเยว่ถาม “องค์ชายห้าเล่า?”
ข้าราชบริพารกล่าว “องค์ชายห้าไปตามหาฝ่าาเมื่อครู่...ฝ่าาไม่ได้พบหรอกหรือ?”
เจียงเฉิงเยว่ตอบ “ไม่นะ...แล้วเขาในตอนนี้ล่ะ?”
ข้าราชบริพารกล่าวอีกครั้ง “องค์ชายห้ากลับมาและบอกว่าไม่สบาย จึงไปเรียนองค์ชายรอง กลับพระราชวังไปก่อนแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เจียงเฉิงเยว่ “...”
.............................
่เวลากลางคืน เจียงเฉิงเยว่อาบน้ำเสร็จแล้ว หลังจากใช้กลอุบายเก่าเพื่อส่งข้าราชบริพารออกไปจึงใช้เคล็ดวิชาล่องหน วิ่งไปหาหลี่อวิ๋นหังที่วังหลินเฉวียน
หลี่อวิ๋นหังฝึกฝนบนเขาฉีหวนั้แ่เล็กจึงไม่ชอบให้คนมากมายมารับใช้ แม้ว่าในวังจะไม่ดีเท่าวิหารหลิงเซียว แต่การมีคนมากมายรับใช้ก็เป็ความโอ่อ่าที่จำเป็ต่อผู้มีสถานะองค์ชาย การส่งพวกเขาไปด้วยใบหน้าเ็านับว่าไม่ใช่เื่ยาก โชคดีที่หลี่อวิ๋นหังส่งข้าราชบริพารออกไปด้วย ไม่เช่นนั้น เงาร่างคนผู้หนึ่งที่ปรากฏในอากาศอาจทำให้พวกเขาตกตะลึงหนัก
เจียงเฉิงเยว่พลิกตัวเข้าไปในวิหารของวังหลินเฉวียน บังเอิญเป็สถานที่ที่หลี่อวิ๋นหังชอบอยู่และอ่านหนังสือที่นั่นเสมอ ทว่าวันนี้กลับมืดมิดไร้แสงสว่าง ไม่พบเงาของผู้ใด
เห็นได้ชัดว่าเมื่อคืนนี้อีกฝ่ายยังคงนั่งรอเขาอยู่อย่างเชื่อฟัง...หัวใจของเจียงเฉิงเยว่พลันกระตุก เมื่อนึกได้ว่าอาหังบอกหลี่อวิ๋นซินว่ารู้สึกไม่สบาย หรือว่าจะป่วยจริง? คิดถึงตรงนี้ เขาไม่อาจทนรอได้อีกต่อไปจึงรีบลุกขึ้นเข้าไปในห้องนอนของหลี่อวิ๋นหังอย่างคุ้นเคย เป็ดังที่คาด เข้ามาแล้วเหลือเพียงแสงกลางคืนสลัวๆ อีกฝ่ายถูกปกคลุมด้วยผ้าห่มผืนบาง นอนหลับอย่างสงบโดยนอนตะแคงแล้วหันหลังให้ประตู
เจียงเฉิงเยว่ปิดประตู จากนั้นย่องเท้าเดินเข้าไปใกล้ก่อนนั่งข้างเตียง ยกผ้าห่มผืนบ้างเบาๆ เริ่มถอดรองเท้าออกแล้วเข้าไปอย่างว่องไว
หลี่อวิ๋นหังไม่ขยับแม้แต่น้อย ราวกับว่าหลับสนิท
เจียงเฉิงเยว่นอนอยู่ด้านข้างมองแผ่นหลัง เขาลังเลอยู่เป็เวลานานจึงอดใจไม่ได้ที่จะลุกขึ้นแล้วโน้มตัวเข้าไปใกล้ จากนั้นยื่นมือไปลูบหน้าผาก ้าสำรวจว่าอีกฝ่ายเป็ไข้หรือไม่ก่อนถามด้วยเสียงนุ่ม “อาหัง...ไม่สบายตรงไหนหรือ?”
ร่างกายของหลี่อวิ๋นหังแข็งทื่ออยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นหันกลับมานอนราบ สบตากับเจียงเฉิงเยว่โดยไม่พูดอะไร เจียงเฉิงเยว่มองใบหน้าที่สงบ หัวใจกลับหนักอึ้งอย่างไม่มีเหตุผล เขารับรู้โดยสัญชาตญาณว่าบรรยากาศผิดปกติอยู่เล็กน้อย เป็เวลานาน หลี่อวิ๋นหังจึงกล่าวอย่างเฉยเมย “เสด็จพี่...ต่อไปท่านไม่จำเป็ต้องมาที่นี่อีก”
เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึง
หลี่อวิ๋นหังกล่าว “ค่ายกลที่ข้าวาดตอนนี้ยับยั้งพลังหยินชั่วร้ายใน่คืนเดือนดับได้ไม่มีปัญหา เสด็จพี่มีหยกคู่เพลิงสุวรรณอยู่ในมือจึงไม่ต้องกลัว ข้าไม่จำเป็ต้องรบกวนเสด็จพี่กดทับค่ายกลให้อีกแล้ว”
เจียงเฉิงเยว่ “...”
ทั้งสองคนไร้คำพูดอยู่เป็เวลานาน เจียงเฉิงเยว่รู้สึกขมขื่นในใจ...แม้ว่านี่จะเป็ผลลัพธ์ที่เขา้า ทว่าเขาคิดไม่ถึงว่าสุดท้ายแล้วจะเป็หลี่อวิ๋นหังเสนอออกมาด้วยตนเอง หลังจากงุนงงอยู่พักหนึ่ง เขาถึงตระหนักว่าตนเองควรตอบสนองบ้าง...แต่ว่าตอบสนองอย่างไรกันเล่า?
ผ่านไปนาน เขาเพียงเอ่ยอย่างเหม่อลอย “โอ้...” แล้วตกตะลึงไปอีกครั้ง หลี่อวิ๋นหังไม่ได้พูดอะไรอีก เจียงเฉิงเยว่จึงทำได้เพียงเกาท้ายทอยของตนเองพร้อมถามหยั่งเชิง “เช่นนั้น...เช่นนั้นข้ากลับก่อนดีหรือไม่?”
หลี่อวิ๋นหังไม่ตอบ เขาไม่ได้คัดค้าน
เจียงเฉิงเยว่ทำได้เพียงจำใจลุกขึ้นยกผ้าห่มออก จากนั้นยื่นเท้าออกมาเพื่อหารองเท้าของตนก่อนค้อมตัวเพื่อสวมใส่ โดยไม่ลืมที่จะยัดมุมผ้าห่มให้ ค่อยๆ เดินออกจากประตูไปอย่างแ่เบา
เมื่อเดินกลับมาถึงห้องนอนของตนเอง เขายังไม่ได้สติกลับคืน
เจียงเฉิงเยว่เข้าไปนอนในเตียงของตนเอง พลิกตัวไปมาโดยไม่ง่วงงุน ประเดี๋ยวก่อน ข้าถูกเด็กน้อยเกลียดแล้วหรือ? ฉิงชางจวินเบ้ปากอย่างน้อยอกน้อยใจ โอ้ ที่แท้รสชาติอมเปรี้ยวที่อยู่ในใจนั้น...เรียกว่าน้อยใจหรอกหรือ? เจียงเฉิงเยว่ เ้าเป็เด็กน้อยสามขวบหรือไร? หลังจากตำหนิตนเองอยู่เป็เวลานานแล้ว ฉิงชางจวินจึงฝืนใจที่จะหลับตาลงอย่างเลืองราง
ไม่รู้ว่าเมื่อไร เขารู้สึกว่าตนเองถูกโอบกอดเข้าไปในอ้อมแขนของใครบางคน บนหน้าอกนั้นมีกลิ่นหอมของผลเซียนอวี๋อย่างคุ้นเคย ทั้งเย็นเล็กน้อยและหอมหวาน แต่กลับคลุมเครือเสียจนรู้สึกคันยุบยิบหัวใจ แขนของคนผู้นั้นกระชับโอบกอดเขาไว้แน่น
ขณะที่เขาหลับอย่างสะลึมสะลือ เขาเพียงพึมพำอยู่สองประโยค “อาหัง...อย่าวุ่นวาย...”
คนผู้นั้นปฏิเสธ พร้อมกัดไหล่ของเขาอย่างน้อยใจแล้วเรียกด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “เสด็จพี่...”
“อืม” เจียงเฉิงเยว่ตอบรับ จากนั้นพลิกตัวอย่างไม่เต็มใจ กอดคนผู้นั้นไว้ในอ้อมแขนอย่างอ่อนโยน พลางลูบหลังราวกับปลอบเด็กน้อย
หลี่อวิ๋นหังกล่าว “เสด็จพี่...ข้าทรมาน...”
เจียงเฉิงเยว่กระพริบตาอย่างยากลำบากจากความง่วง “ทรมานตรงไหน?”
หลี่อวิ๋นหังกลับนำมือของเขาลากลงไปยังบางจุดที่แข็งขืนบริเวณร่างกาย่ล่าง ในลำคอมีเสียงแหบพร่าและน้อยใจเล็กน้อย “มันแน่นตรงนี้ เสด็จพี่นวดให้ข้า...”
เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึง เกือบหายง่วงเป็ปลิดทิ้ง ้าดึงมือออกอย่างใกลับถูกหลี่อวิ๋นหังคว้าไว้แน่น เจียงเฉิงเยว่รีบร้อนบอก “อาหัง ไม่ได้นะ! ตรงนั้นไม่สามารถ...ตรงนั้นเป็ที่ที่ไม่สามารถให้คนอื่นมาช่วยเ้านวดได้!!!”
เขายังไม่ทันตอบสนอง ริมฝีปากเล็กที่ชื้นและอ่อนนุ่มของหลี่อวิ๋นหังพลันแตะบนริมฝีปากของเขามีเสียงดัง ‘จ๊วบ’ ในหัวของเขาชั่วครู่ จากนั้นกลับสูญเสียสติสัมปชัญญะและหยุดหายใจ หลี่อวิ๋นหังค่อยๆ กระซิบอย่างออดอ้อน “ทรมาน...เสด็จพี่”
เจียงเฉิงเยว่รู้สึกว่าหัวใจของตนเองกำลังเต้นอย่างบ้าคลั่งจนแทบจะหลุดออกจากอก เขาตกตะลึงจนทั่วร่างแข็งทื่อราวกับไม้แกะสลัก...ไม่รู้ว่าเป็เวลาใด ความรู้สึกแปลกๆ มาจากร่างกาย่ล่าง ก่อนที่เขาจะลืมตาขึ้นหอบหายใจหนักโดยพลัน!
เขามองที่หลังคามุ้งของเตียงไม้จันทน์แดงขนาดใหญ่ในห้องนอนของตนเอง ไม่อาจฟื้นคืนสติได้ชั่วขณะ รอจนเขานึกอะไรออกในที่สุด เขายกผ้าห่มของตนเองขึ้น เฝ้ามองความชั่วร้ายที่อยู่ระหว่างขาทั้งสองข้าง ทันใดนั้นจึงกรีดร้องออกมา “อา!”
“ฝ่าา! เกิดอะไรขึ้น?!” ข้าราชบริพารที่เฝ้ายามกลางดึกใจนะโร้องลั่นก่อนพุ่งเข้ามาในทันที
เจียงเฉิงเยว่ไม่สนใจพวกเขา ผิวหน้าขาวใสกลายเป็สีแดงอมม่วง หน้าผากมีเส้นเืปูด เขาใช้มือบีบขมับทั้งสองข้างแล้วหายใจหอบ เหตุการณ์นี้ทำให้เหล่าข้าราชบริพารใกลัว หนึ่งในนั้นรีบหันไปทางคนอื่นๆ ที่เฝ้าอยู่นอกประตูแล้วสั่งเสียงดัง “เร็วเข้า! รีบเชิญแพทย์หลวงมา...ฝ่าาทรงฝันร้าย!”
“ออกไป!!!” เจียงเฉิงเยว่เอ่ยด้วยความโกรธ
เหล่าข้าราชบริพารตะลึงไปชั่วขณะ คนไม่กี่คนนี้ล้วนเป็ผู้ที่เขาพาไปที่เขาฉีหวน ค่อนข้างได้รับความไว้วางใจจากเขา หลี่อวิ๋นเฉินในอดีตก็ดีหรือแม้จะเป็เจียงเฉิงเยว่ก็ดี แม้ว่าจะเป็ความสัมพันธ์นายบ่าว ทว่าองค์รัชทายาทกลับไม่เคยตำหนิรุนแรงเช่นนี้
ไม่รอให้พวกเขาโต้ตอบ เจียงเฉิงเยว่ร้อนใจพลางะโ “ให้พวกเ้าออกไป พวกเ้าไม่ได้ยินหรือ?!!”
“ขอรับๆๆ” เหล่าข้าราชบริพารตอบรับทีละคน รีบหมุนตัวจากไป
“รอเดี๋ยว!” พวกเขาเพิ่งเดินไปถึงประตู เจียงเฉิงเยว่นึกอะไรขึ้นได้จึงรีบรั้งพร้อมสั่ง “ข้า้าอาบน้ำ!”
เหล่าข้าราชบริพารมองอย่างเหลือเชื่อ ใช่แล้ว ดึกดื่นเที่ยงคืนเช่นนี้...จะมีใครอาบน้ำกลางดึกกัน? ทันใดนั้น สองคนนั้นกลับรับรู้อะไรได้จึงมองไปที่ผ้าห่มดิ้นเงินดิ้นทองที่คลุมไว้บนร่างของเจียงเฉิงเยว่อย่างแเี
เจียงเฉิงเยว่ราวกับถูกผู้คนมองผ่านความคิดอันชั่วร้ายที่สุดในใจ ทันใดนั้นเขานึกเกลียดตนเองจนถึงขีดสุด ใบหน้ายิ่งแดงขึ้น พูดอย่างโกรธเคืองด้วยความอับอาย “เร็วเข้า! ไม่ได้ยินหรือ? ยังมี...ข้า ข้า้าน้ำเย็น!”
เพื่อเป็การขัดขวางความคิดของทุกคน เจียงเฉิงเยว่ยืนยันที่จะให้พวกเขาเอาน้ำเย็นเข้ามา จากนั้นเข้าไปแช่ทั้งตัว ผิวน้ำอยู่ในตำแหน่งระนาบใต้จมูก เขารู้สึกว่าหัวใจที่เต้นอย่างกระสับกระส่ายของตนเองสงบลงเล็กน้อย แม้แต่ใบหน้าที่โดนลวกจนทรมานก็เย็นลง
ฉิงชางจวินอายุเกือบสองร้อยปี ใช่ว่าไม่รู้ว่าฝันเปียกคือสิ่งใด เพียงแต่รู้สึกแปลกมากก็เท่านั้น
เขาอายุได้สิบหกปีเมื่อเสียชีวิต เคยมีความสับสนของ่วัยนี้...เพียงแต่ภายหลังกลายเป็ผีย่อมไม่มีการสั่นรัวทางสรีระจำพวกนี้อีก...ทว่าหลังจากที่ร่างของหลี่อวิ๋นเฉินนั้น ประการแรก ร่างกายของหลี่อวิ๋นเฉินอ่อนแอ ประการที่สอง เมื่อฝึกฝนในเขาฉีหวนจิตใจจึงเริ่มผ่องใส ประการที่สาม ิญญาของาาผีที่เป็หยินชั่วร้ายเฉกเช่นเขาคงส่งผลกระทบต่อร่างกายมนุษย์ระดับหนึ่ง...เขาควรไม่มีเื่ที่น่าอึดอัดใจเช่นนี้อีก ถึงอย่างไรอับอายไปแล้วก็ช่างเถิด...แต่ตอนนี้สิ่งที่ทำให้เขาหวาดกลัวไม่รู้จบ ไม่ใช่การที่เขาฝันเปียก แต่เป้าหมายในฝันฤดูใบไม้ผลิ1 ของเขาคือเด็กหนุ่มอย่างคาดไม่ถึงต่างหาก!
“อาๆๆๆ!” เจียงเฉิงเยว่ขยี้ผมที่แหวกออกอย่างยุ่งเหยิงด้วยความหงุดหงิด เขาสูดลมหายใจแล้วมุดศีรษะลงไปในน้ำ ราวกับทำเช่นนี้จะสามารถหยุดคิดได้ แม้ว่าตอนที่เขามีชีวิตจะฝันฤดูใบไม้ผลิ...แต่อย่างไรก็ควรจะเป็การฝันถึงกลุ่มสาวงามที่มาโปรดสรรพชีวิตสิถึงจะถูก...
เขารู้นานแล้วว่าความคิดของตนเองที่มีต่อหลี่อวิ๋นหังนั้นไม่บริสุทธิ์...แต่ก็รับไม่ได้จริงๆ ว่าตนเองจะสกปรกอย่างเกินความคาดหมายถึงเพียงนี้! ยิ่งไปกว่านั้น สถานการณ์นี้ยังเกิดขึ้นใน่เวลาสำคัญภายหลังถูกหลี่อวิ๋นหังไล่ออกจากห้องนอนเมื่อครู่
ฉิงชางจวินรู้สึกว่าใบหน้าชราของเขาไม่มีที่วางแล้วจริงเชียว ถูกต้อง หลี่อวิ๋นหังจะไม่ใกล้ชิดเขาอีกต่อไป นี่นับว่าคือสิ่งที่ถูกต้อง!!!
ผ่านมาหลายวันติดต่อกัน เจียงเฉิงเยว่ไม่มีหน้าไปพบหลี่อวิ๋นหังอีก แม้ว่าพวกเขาจะพบหน้ากันโดยบังเอิญในพระราชวัง แต่ก็อับอายอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ เขาพูดคุยเพียงสองประโยคอย่างขอไปทีแล้วรีบหาโอกาสวิ่งหนี วันนั้นที่เขาวิ่งไปอาบน้ำเย็นกลางดึก จึงได้รับผลตอบแทนจากการรนหาที่ตายอย่างที่คาดไว้ นั่นคือไข้ขึ้นสูงอย่างต่อเนื่อง กายจึงไม่ห่างจากเตียงผู้ป่วย ท้ายที่สุดแล้วร่างกายของหลี่อวิ๋นเฉินยังคงอ่อนแอเกินไปอยู่ดี
เดิมทีเขากลับมาเพื่อรับใช้คนป่วย ท้ายที่สุดกลับถูกท่านพ่อมาเยี่ยมเสียเอง เจียงเฉิงเยว่ยกยิ้มอย่างขมขื่นในใจ ทว่าหลังจากเห็นว่าจักรพรรดิส่งข้าราชบริพารทั้งหมดออกไป บิดากับบุตรนั่งตรงข้ามกัน เขาจึง้ากล่าวถ้อยคำบางอย่างซึ่งถึงเวลาต้องพูดให้ชัดเจนเสียที
เจียงเฉิงเยว่ลุกขึ้นสวมเสื้อผ้า ไม่สนว่าเสด็จพ่อจะคัดค้านอย่างไร จากนั้นคุกเข่าลงอย่างหนักแน่นต่อบิดา อธิบายถึงการตัดสินใจอย่างชัดเจนว่าตนเองไม่้าที่จะเป็องค์รัชทายาทต่อไป
จักรพรรดิมีพระพักตร์เศร้าหมอง นิ่งเงียบไปเป็เวลานานจึงตรัสถาม “เ้าคิดดีแล้วหรือ?”
------------------------
[1] ฝันฤดูใบไม้ผลิ หมายถึง ความฝันที่แสดงออกถึงจิตใต้สำนึกที่มีความ้าทางเพศ
