บางครั้ง สิ่งที่เรียกว่าอิสระและศักดิ์ศรีนั้นก็ต้องดูว่านำมาใช้เปรียบเทียบกับอะไร หากสิ่งที่นำมาเปรียบเทียบคือชีวิต เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรที่จะยอมถอยไม่ได้
พวกหนิวเซิ่งกลายมาเป็คนในบ้านสกุลลู่ รับหน้าที่เป็คนคอยปัดกวาดเรือนที่ตีนเขาของสกุลลู่ ติดตามพี่ใหญ่ลู่ เป็คนคอยส่งข่าวคราวต่างๆ ให้เขา ยามค่ำก็เข้าพักผ่อนที่เรือนชั้นนอกทิศใต้ นับว่าสุขสบายดี
ส่วนแม่นางน้อยสองคนนั้นเสี่ยวหมี่พากลับไปที่บ้าน เตรียมฝึกฝนให้เป็ลูกมือของนาง
แม่นางน้อยทั้งสองอายุยังน้อย แต่กลับขยันขันแข็งและรู้จักอ่านสีหน้าคน เป็ที่ชื่นชอบของท่านป้าเจียงเป็อย่างมาก ยามนี้เห็นว่ามีคนมาที่บ้าน จึงรับตะกร้าผักในมือของเสี่ยวหมี่มาแล้ววิ่งไปห้องครัว
เสี่ยวหมี่เองก็ร้อนใจ หากว่าต้องจัดงานมงคลภายในสามวันหลังจากนี้จริงๆ ที่บ้านก็คงมีเื่มากมายให้จัดการ
เมื่อนางส่งเด็กรับใช้สกุลเฉินกลับไปแล้ว ก็เชิญท่านป้าหลิวและสตรีมีอายุสองสามคนในหมู่บ้านมาเพื่อให้ช่วยแสดงความคิดเห็นว่าจำเป็ต้องเพิ่มเติมสิ่งใด อาหารการกินแบบไหน โต๊ะสุราต้องจัดใหญ่แค่ไหน ยังมีรายละเอียดยิบย่อยอีกมากมาย ทำให้คนปวดเศียรเวียนเกล้าจริงๆ
แต่สองปีมานี้หมู่บ้านเขาหมีไม่มีเื่มงคลเกิดขึ้นเลย และครั้งนี้คนที่แต่งงานยังเป็พี่ใหญ่ลู่ด้วย ยามปกติเขาเป็คนขยันขันแข็งและจิตใจดี คนในหมู่บ้านทั้งเด็กและผู้ใหญ่ต่างก็ชอบเขามาก แน่นอนว่าคิดจะจัดงานนี้ให้ครึกครื้นและยิ่งใหญ่เป็พิเศษเสียหน่อย
ดังนั้นคนในหมู่บ้านทั้งชายและหญิง นอกจากกลุ่มที่ทำหน้าที่สร้างเรือนกระจกแล้ว คนอื่นๆ ก็หยุดงานในมือจนหมดเพื่อมาช่วยงานมงคลนี้
เพราะบนเขามีความลับมากมายที่ให้คนนอกรู้ไม่ได้ งานเลี้ยงจึงจัดขึ้นที่เรือนหลังใหม่ที่ตีนเขา
เรือนของพี่ใหญ่ลู่ บิดาลู่ตั้งชื่อให้ว่าถิ่นสราญ [1] เรือนของพี่รองลู่ได้ชื่อว่าเรือนคุณธรรม
ท่านลุงหลิวที่ฝีมือดีที่สุดในหมู่บ้านรับหน้าที่เป็คนแกะสลักทำป้ายชื่อเรือนทั้งสองหลัง
สกุลลู่ไม่นับว่ารู้จักคนกว้างขวาง อีกทั้งสหายของบิดาลู่ที่ร่ำเรียนมาด้วยกันแล้วยังติดต่อกันอยู่ก็มีแค่ไม่กี่คน ส่วนหมู่บ้านเขาหมีก็ยิ่งเป็ดั่งสถานที่ที่ตัดขาดจากโลกภายนอก และพวกเขายังระแวดระวังคนนอกเป็อย่างมาก
ดังนั้นงานมงคลในครั้งนี้ นอกจากบิดาลู่ที่ส่งเทียบเชิญไปให้แขกนอกหมู่บ้านประมาณสี่ห้าคนแล้ว คนที่เหลือที่มาร่วมงานล้วนเป็คนในทั้งสิ้น
แต่งานก็ยังคงจัดอย่างรื่นเริงเอิกเริก เรือนของพี่ใหญ่ลู่ประดับประดาด้วยโคมไฟสีแดงมงคล ตามต้นไม้ประดับดอกไม้กระดาษและผ้าไหมแดง งดงามยิ่งนัก
รอจนท่านลุงหลิวนำป้ายชื่อเรือนมาติดไว้ การเตรียมการทุกอย่างก็นับว่าเสร็จสิ้นพร้อมรับเ้าสาวแล้ว
ทางด้านสกุลเฉินเองก็ยุ่งยิ่งนัก ฮูหยินเฉินแทบจะจับตัวเถ้าแก่เฉินมาบ่นเื่นู่นเื่นี้ให้หูชาได้ทุกวัน
เถ้าแก่เฉินเข้าใจดีว่าที่นางหงุดหงิดงุ่นง่านเป็เพราะบุตรสาวกำลังจะแต่งงานไปเป็สะใภ้บ้านอื่นแล้ว ทุกครั้งจึงเพียงหัวเราะขบขัน ไม่ถือสาแต่อย่างใด
แต่เมื่อฮูหยินเฉินได้เห็นบุตรสาวตระเตรียมสินเดิมด้วยใบหน้าเขินอาย นางก็ค่อยๆ ยอมรับความจริงได้
เถ้าแก่เฉินเห็นว่านางอ่อนลงแล้ว จึงถือโอกาสโน้มน้าวว่า “เ้าวางใจเถอะ สกุลลู่ก็อยู่ใกล้แค่นี้ เ้าคิดถึงเยว่เซียนเมื่อใดก็ไปเยี่ยมนางได้ เป็เื่ง่ายจะตายไป”
“จะได้อย่างไรกัน แต่งเข้าไปอยู่สกุลลู่ นางก็กลายเป็คนสกุลลู่แล้ว หากคนบ้านเดิมยังไปหานางอยู่บ่อยๆ คนสกุลลู่จะคิดอย่างไร”
ฮูหยินเฉินเห็นเถ้าแก่เฉินหัวเราะอย่างเ้าเล่ห์ก็รู้ว่าติดกับเข้าแล้ว จึงหงุดหงิดยิ่งนัก ทันใดนั้นก็ได้ยินสาวใช้เข้ามารายงาน “นายท่าน ฮูหยิน คุณชายใหญ่กลับมาแล้วเ้าค่ะ”
“อะไรนะ” ทั้งสองดีใจมากรีบออกไปต้อนรับทันที
ถึงแม้พวกเขาจะรักใคร่บุตรสาวคนเล็ก แต่จะอย่างไรก็ไม่เกินไปกว่าบุตรชายคนโตอย่างเฉินซิ่น อย่างไรเสียเขาก็เป็คนที่จะรับหน้าที่ดูแลเลี้ยงดูพวกเขาใน่ชีวิตครึ่งหลัง
อีกอย่างั้แ่เล็กเฉินซิ่นก็มีความสามารถ ไม่พึ่งพาที่บ้านออกไปสร้างกิจการของตนเอง คนเป็พ่อเป็แม่จะไม่ภูมิใจได้อย่างไร
เฉินซิ่นเดินก้าวเท้ายาวๆ เข้ามาในเรือน กวาดตามองเห็นว่าบิดามารดาหน้าตาดูมีชีวิตชีวายิ่งกว่าครั้งก่อนเสียอีก ก็รู้สึกเบาใจ รีบเข้าไปคุกเข่าคารวะ
ฮูหยินเฉินรีบเข้าไปประคองบุตรชายขึ้นมา คลี่ยิ้มอย่างเบิกบาน “ลูกชายข้า เหตุใดจึงกลับมาเร็วเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าท่านพ่อของเ้าเพิ่งส่งจดหมายไปหรอกหรือ?”
เฉินซิ่นได้ยินก็อึ้งไปเล็กน้อย แต่ก็ตอบรับว่า “ข้าไม่ได้รับจดหมายเสียหน่อย พอดีว่างานที่เมืองหลวงไม่ยุ่งเท่าใดนัก จึงกลับมาเยี่ยมบ้านโดยใช้ข้ออ้างว่าจะมาสะสมหนังสัตว์ขอรับ”
พูดจบเขาก็ชี้ไปยังการประดับประดาตกแต่งภายในบ้าน ถามว่า “มีเื่มงคลอันใดหรือ เหตุใดถึงดูครึกครื้นเช่นนี้”
“วันมะรืนเยว่เซียนจะออกเรือนแล้วน่ะสิ ไป เข้าไปคุยกันข้างใน”
คนทั้งสามเข้าไปนั่งในเรือนด้านใน ระหว่างที่ดื่มชาเฉินซิ่นก็ได้รู้เื่ราวทั้งหมด เขาจึงเอ่ยปลอบมารดา “ท่านแม่ นี่เป็เื่ดี หากว่าเยว่เซียนติดตามน้องเขยไปเปิดร้านค้าที่ภาคใต้และทุกอย่างราบรื่น ก็นับว่าสกุลลู่ยืนได้อย่างมั่นคงแล้ว ถึงตอนนั้นหากให้กำเนิดบุตร ไม่ว่าวันหน้าสกุลลู่จะเจริญก้าวหน้าไปในทิศทางใด ย่อมไม่มีทางละเลยเยว่เซียนอย่างแน่นอน”
คำพูดนี้เถ้าแก่เฉินพูดกับนางมาไม่รู้กี่หนแล้ว นางไม่เคยเห็นดีเห็นงามด้วยทั้งยังรำคาญเขา แต่พอเปลี่ยนมาเป็บุตรชายพูดกลับกลายเป็ฟังดูสมเหตุสมผลยิ่งนัก จิตใจนางพลันผ่อนคลายลง
“นั่นสินะ วันหน้าเยว่เซียนก็จะสบายแล้ว”
เถ้าแก่เฉินอดกระแอมเบาๆ ไม่ได้ เขาเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “กิจการที่เมืองหลวงเป็ไปตามที่เ้า้าหรือไม่?”
เฉินซิ่นพยักหน้า ยิ้มกล่าวว่า “ท่านพ่อวางใจ เ้านายข้าผู้นั้นมีเหตุมีผล ทั้งไม่เคยสอดมือเข้ามายุ่งวุ่นวายกับกิจการค้าขาย เวลามีเื่อะไรเกิดขึ้นก็ยังช่วยออกหน้าแทนข้า ช่างหาได้ยากยิ่ง”
“เช่นนั้นก็ดี ได้เจอเ้านายเช่นนี้ไม่ใช่เื่ง่ายเลย ยามปกติก็จงตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่ ฝึกฝนอีกสักสองปี วันหน้าไม่ว่าจะกลับบ้านหรือเปิดร้านเป็เ้านายของตนเองก็ล้วนง่ายดาย”
“ขอรับ ท่านพ่อ”
เฉินซิ่นสนทนาสัพเพเหระกับบิดา ที่จริงแล้วเขามีเื่สงสัยมากมายอยากถามแต่ก็ไม่ได้ถามออกมา เ้านายของเขาดีกับเขามาก ไม่อาจใช้แค่คำว่ามีเหตุมีผลมีคุณธรรมมาบรรยายได้ เรียกได้ว่าดีจนไม่อาจดีไปกว่านี้ได้แล้ว บางครั้งเขาทั้งรู้สึกเทิดทูนทั้งหวาดหวั่น
เขาคิดไปมาคิดว่าก็รู้สึกว่า ั้แ่ที่เขากลับเมืองหลวงไปครั้งนั้น ตอนขายตุ๊กตาจังหวะก็ช่างประจวบเหมาะเหมือนมีคนคอยช่วยเหลือ เขาออกจากสกุลถังมาก็ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากเ้านายคนใหม่ ทุกอย่างดูราบรื่นจนเกินไป ราวกับว่ามีคนคอยหนุนหลังเขาอยู่
บางครั้งเขานอนหลับไป ไม่รู้เพราะเหตุใดถึงได้ฝันถึงคนที่ยืนอยู่หลังแม่นางลู่คนนั้น ในใจเขาเหมือนจะคาดเดาอะไรได้บางอย่าง
ครั้งนี้ที่กลับมา เขาเองก็ตั้งใจจะมาดูให้แน่ใจว่าเป็คนผู้นั้นหรือไม่ที่หนุนหลังเขาคนนั้น
แน่นอน เื่พวกนี้เขาไม่อาจพูดกับบิดามารดาได้ อย่างไรเสียเื่นี้ก็เป็เพียงการคาดเดา อีกอย่างหากว่าสิ่งที่เขาคาดเดานั้นถูกต้อง เขาก็ยิ่งไม่ควรพูดออกมา ประการแรกเพราะเื่นี้ไม่ส่งผลเสียอะไรกับเขา ประการที่สอง การเปิดโปงความลับของผู้อื่นไม่ใช่การตัดสินใจที่ชาญฉลาด
“ท่านพ่อ คุณชายเฝิงท่านนั้นยังคงพักอยู่ที่เรือนสกุลลู่ใช่หรือไม่? ครั้งก่อนได้สนทนากันไปครั้งหนึ่งรู้สึกถูกชะตานัก เหมือนว่าเขาจะคุ้นเคยกับเมืองหลวงเป็อย่างดี ข้าอยากจะไปพบเขาอีกครั้ง”
“คุณชายเฝิงหรือ” เถ้าแก่เฉินเองก็ไม่คิดอะไรมาก เอ่ยว่า “เขายังอยู่ที่สกุลลู่ ่นี้เขาช่วยแม่นางลู่เื่การค้าอยู่ไม่น้อย ข้าดูแล้วเป็คนที่ไม่ธรรมดาคนหนึ่ง ไม่รู้เพราะเหตุใดถึงรั้งอยู่ที่สกุลลู่นานขนาดนั้น”
“จะเพราะอะไรได้อีก วีรบุรุษยากจะผ่านด่านสาวงามอย่างไรเล่า” ฮูหยินเฉินเอ่ยแทรกขึ้นมา ยิ้มเอ่ยว่า “ข้าว่าเขาดีกับเสี่ยวหมี่ไม่น้อย แม่นางลู่คนนั้นราวกับเฟิ่งหวงก็ไม่ปาน หุบเขาหมีคงจะขังนางเอาไว้ไม่ได้ วันหน้ายังไม่รู้จะบินไปที่ใด คุณชายเฝิงคนนั้น...”
“เอาละ ไม่ต้องพูดเื่พวกนี้แล้ว เื่ของสกุลลู่ สกุลลู่ย่อมตัดสินใจกันเอง พวกเรามาคุยเื่ส่งตัวเ้าสาวที่ใกล้เข้ามาแล้วจะดีกว่า”
เถ้าแก่เฉินเห็นว่าภรรยาพูดมากเกินไปแล้วก็รีบหยุดนางไว้ เกรงว่าคำพูดพวกนี้จะไปถึงหูสกุลลู่เข้าแล้วจะทำให้สกุลลู่ไม่พอใจ
เขามองออกว่า ถึงแม้เสี่ยวหมี่จะเป็คนจัดการเื่ราวต่างๆ ในสกุลลู่ และคล้ายว่าบิดากับพี่ชายทั้งสามคนนั้นจะไม่มีประโยชน์อะไร แต่หากใครไปล่วงเกินเสี่ยวหมี่เข้า พวกเขาไม่อยู่นิ่งเฉยอย่างแน่นอน บุรุษที่ราวกับแมวพวกนั้นคงได้กลายร่างเป็เสือกันหมด
ฮูหยินเฉินเองก็รู้สึกว่าเมื่อครู่นี้ตนพูดมากเกินไป จึงรีบเอ่ยว่า “ข้าจะไปดูว่าเด็กๆ เก็บของกันเสร็จแล้วหรือยัง”
“ไปเถอะ ให้ห้องครัวทำกับข้าวดีๆ มาสักสองจาน ข้ากับซิ่นเกอร์จะดื่มกันสักหน่อย”
เถ้าแก่เฉินเอ่ยสั่งภรรยาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม พอดีกับที่เฉินเยว่เซียนได้ยินว่าพี่ชายกลับมาแล้ว จึงรีบมายังเรือนหน้า ได้ยินประโยคนี้เข้าพอดีจึงตัดสินใจเข้าครัวด้วยตนเอง วันนั้นที่จัดงานเลี้ยงต้อนรับบรรดาเถ้าแก่เ้าของโรงเตี๊ยม นางได้เรียนวิชาจากเสี่ยวหมี่มาสองสามจาน ถือโอกาสได้นำมาแสดงฝีมือพอดี
ยามถึงเวลาอาหาร พวกเขาทั้งสี่คนได้มารวมตัวกันกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตาอย่างหาได้ยากยิ่ง คิดถึงว่าอีกไม่นานเยว่เซียนก็จะต้องออกเรือนไปแล้ว จึงอดทอดถอนใจจิบสุรารำพึงรำพันกันไม่ได้
เช้าวันรุ่งขึ้น สกุลเฉินก็ให้คนนำเตียงและเครื่องเรือนไม้มาติดตั้ง เตียงไม้งดงามประณีต สลักลวดลายอย่างวิจิตรเสียจนเสี่ยวหมี่ได้เปิดหูเปิดตา เฝิงเจี่ยนเห็นท่าทีของนางก็อดยิ้มเอ่ยขึ้นไม่ได้ว่า “หากเ้าชอบ ก็ให้ช่างไม้มาทำให้สักหลังก็ได้”
เสี่ยวหมี่กลับส่ายศีรษะ ยิ้มเอ่ยว่า “เตียงนี้ดูแล้วงดงาม แต่เกรงว่าคงจะหลับไม่สบาย ดูอึดอัดเกินไป ข้าชอบนอนบนเตียงเตาโล่งๆ มากกว่า จะเตะผ้าห่มพลิกตัวอย่างไรก็ย่อมได้”
พูดจบนางก็เพิ่งนึกได้ว่าประโยคเมื่อครู่ไม่ควรพูดให้บุรุษฟัง จึงหน้าแดงพูดประโยคต่อมาเร็วจี๋แล้ววิ่งหนีไปทันที
“ข้าจะไปดูที่โรงทำแป้งสักหน่อย ไม่รู้พวกชุ่ยหลันปิดประตูหน้าต่างมิดชิดดีหรือไม่”
ถึงแม้งานเลี้ยงจะถูกจัดขึ้นที่เรือนตรงตีนเขาเพื่อไม่ให้คนนอกมีโอกาสได้เห็นเรือนกระจกของคนในหมู่บ้านเขาหมี แต่โรงทำแป้งที่ตีนเขานั้นกลับไม่สามารถย้ายหนีไปเก็บซ่อนไว้ที่ไหนได้ ดีที่ไข่ดินถูกตัดไปจนแทบไม่เหลือแล้ว เหลือแต่ต้องปิดประตูลงกลอนโรงทำแป้งให้มิดชิด และหาฟางข้าวและหญ้ามาสุมเอาไว้ไม่ให้เป็ที่สังเกต
เฝิงเจี่ยนยิ้มกริ่มเตรียมจะเดินตามนางไป กลับเห็นเฉินซิ่นเดินเข้ามาเสียก่อน
เดิมทีเขาคิดว่าวันนี้จะถือโอกาสมาดูสถานที่ที่น้องหญิงจะอาศัยในอนาคตเสียหน่อย อีกอย่างเขาเองก็หมายมั่นปั้นมืออยากจะรู้ตัวตนของเฝิงเจี่ยนให้ได้ คิดไม่ถึงว่าจะบังเอิญได้เจอกับเขาเพียงลำพังเช่นนี้ จึงเดินหน้าเข้าไปหา
เขาไม่กล้าวางท่าแม้แต่น้อย รีบค้อมกายคารวะ “คุณชายเฝิง ไม่พบกันนาน ท่านสบายดีหรือไม่?”
เฝิงเจี่ยนพยักหน้า ตอบกลับเรียบๆ ว่า “ได้ยินว่าผู้ดูแลเฉินเปลี่ยนเ้านายใหม่แล้ว เป็อย่างไรบ้าง?”
เฉินซิ่นใจสั่นทันที เขาค้อมกายลงน้อยๆ เอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “ลำบากคุณชายเฝิงให้เป็ห่วงแล้ว เ้านายใหม่ของข้าใจกว้างอย่างยิ่ง ทุกอย่างราบรื่นดี อืม...”
เขาลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยเสริมไปประโยคหนึ่งว่า “ขอบคุณคุณชายเฝิงที่ให้การดูแล...”
เฝิงเจี่ยนสีหน้าเรียบเฉย ไม่มีท่าทีโกรธเคืองถึงแม้จะถูกหยั่งเชิงจากเฉินซิ่น เขาตอบกลับไปหนึ่งประโยคว่า “ไม่ต้องเกรงใจ”
เพียงแค่นี้ ต่อให้เฉินซิ่นจะเขลาเพียงใดก็ฟังความหมายแฝงในประโยคนั้นออกแล้ว
เขาจึงค้อมกายลงต่ำอีกสามส่วน หลานชายของเ้านายใหม่เขาเป็สหายร่วมเรียนขององค์รัชทายาท ยามปกติอยู่ในเมืองหลวงกล่าวได้ว่าไม่มีใครกล้ารังแก ดังนั้น ถึงแม้คุณชายรองถังจะแค้นเื่ที่เขาลาออกไปไม่เสื่อมคลาย แต่ก็ไม่กล้าลงมืออะไร
และการที่เฝิงเจี่ยนสามารถออกคำสั่งกับเ้านายของเขาได้ แสดงว่าสถานะของเขานั้น...ไม่เพียงต้องร่ำรวยแต่ต้องสูงศักดิ์มากเป็แน่ ไม่แน่อาจมากกว่าที่เขาคาดเดาเอาไว้ในตอนแรกด้วยซ้ำ!
เชิงอรรถ
[1] ถิ่นสราญ(福居)หมายถึงที่บ้านที่มีแต่ความสุข