มู่จื่อหลิงเดินไปยังขาอีกขาที่ไร้รอยตำหนิโดยไม่รอให้เฉิงอวี้ตอบสนอง
ทันใดนั้นนางก็ย่อกายลง ยกมือขึ้น กรีดลงไปอย่างฉับไวโดยไม่ลังเล
“อ๊า!”
การเคลื่อนไหวของมู่จื่อหลิงทั้งรวดเร็วและแม่นยำ นางฟันเฉือนเนื้อขาเฉิงอวี้ออกมาอีกหนึ่ง ใช้ใบมีดเหวี่ยงมันออกจนกระเด็นไปไกล
“อ๊ากกก!!!” เสียงกรีดร้องเสียดแทงหัวใจดังขึ้นอีก
“เ้า เ้ามันปีศาจ! ปีศาจ...”
แม้ว่านางจะมองไม่เห็น แต่เฉิงอวี้ก็สามารถรู้สึกได้ชัดเจนว่าเืในร่างของนางกำลังสูบฉีดอย่างรวดเร็ว
ขาของนาง มีเืรินไหลลงมาไม่หยุด เืสีแดงสดพุ่งออกมาอย่างต่อเนื่อง
มุมปากของมู่จื่อหลิงมีรอยยิ้มบางเบาอยู่เสมอ นางแสร้งหูหนวก เมินเฉยต่อเสียงนี้ แต่การเคลื่อนไหวของมือกลับไม่ชะงักลงเลย
“อะ อ๊ากก!”
เวลานี้มู่จื่อหลิงไม่ได้ทำอย่างช้าๆ อีกต่อไป แต่นางกำลังสับจนมันมีสภาพคล้ายเส้นก๋วยเตี๋ยว ซึ่งมีทั้งความแม่นยำและรวดเร็ว
การกระทำเปรียบได้กับทัณฑ์เลาะกระดูก [1] ความเ็ปเกินบรรยายไม่น้อยกว่าการได้รับทัณฑ์เลาะกระดูกเลย
เฉิงอวี้ไม่ได้รับโอกาสให้พูดแม้แต่น้อย
หลังจากมู่จื่อหลิงตัดชิ้นหนึ่งเสร็จ ก็ตัดอีกชิ้น...
ในที่สุดก็เห็นถึงกระดูก
ในที่สุดมือของมู่จื่อหลิงก็หยุดลง ทำให้เฉิงอวี้มีโอกาสอันมีค่าในการร้องขอความเมตตา
“เ้า...ไม่...ข้าพูด! ข้าจะพูดทุกเื่” เฉิงอวี้เ็ปมากจนอยากตายไปเสีย นางน้ำตานองหน้า คราบเืไหลอาบแก้มน่าหวาดหวั่นเป็อย่างยิ่ง
หากไม่ใช่เพราะถูกพิษจนไม่สามารถขยับแขนขาได้ ในยามนี้เฉิงอวี้จะต้องะโไปมาด้วยความเ็ปเป็แน่
‘ป๊อกป๊อก’
มู่จื่อหลิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ใช้ใบมีดเคาะกระดูกที่ถูกนางเปิดเปลือยสองครั้ง นางดูมีความสุขกับการใช้มีดของตนมาก “อืม กระดูกนี่ค่อนข้างแข็ง”
จากนั้น นางหันมองเฉิงอวี้อย่างช้าๆ พร้อมรอยยิ้มบางๆ ภายในดวงตา “เ้าทนอีกหน่อยไม่ได้หรือ? ข้ายังปอกเปลือกไม่เสร็จ”
รอยยิ้มของมู่จื่อหลิงเหมือนสายลมอุ่น บางเบา ไม่มีอันตราย และอ่อนโยนราวสายน้ำเอื่อย
แต่ยามแสงจันทร์กระจ่างส่องกระทบใบหน้าขาวดำและร่างกายดำมืดน่ากลัวของนาง ในสายตาของเฉิงอวี้ มู่จื่อหลิงเป็ดั่งเทพอสูรอาชูร่า [2] ที่ขึ้นมาจากแดนนรก ความเย็นะเืกระหายเื ช่างลึกลับน่าขนลุกยิ่ง
เฉิงอวี้กัดริมฝีปากล่างอย่างแรง หอบหายใจหนักด้วยความเ็ป “...พวกเรามีทั้งหมดห้าคน ยามนี้กระจายตัวทั่วทั้งเขาโฮ่วซานเพื่อตามหาเ้า”
“ห้าคน?” มู่จื่อหลิงพยักหน้า ถามอย่างตรงไปตรงมา “มีลักษณะพิเศษ และความสามารถอะไรบ้าง?”
เมื่อเผชิญหน้ากับความดุดันของมู่จื่อหลิง เฉิงอวี้ก็เงียบลงอีกครั้ง
“ดูเหมือนว่าเ้ายังอดทนได้อีก เนื้อขาถูกหั่นออกหมดแล้ว คราวนี้จะหั่นตรงไหนดี? ตรงนี้ก็มีเนื้อมากมายเช่นกัน เช่นนั้น หั่นตรงนี้ด้วย...” มู่จื่อหลิงลุกขึ้นยืน พูดอย่างสบายๆ พร้อมหยิบมีดในมือมาแกว่งไปมาเหนือร่างเฉิงอวี้
ในที่สุดใบมีดเย็นเฉียบก็พุ่งตรงไปยังใบหน้างดงามของเฉิงอวี้ที่ยามนี้น่าเกลียดจนดูไม่ได้
จู่ๆ ก็มีััเย็นแนบใบหน้า ไม่อยากนึกว่าหากเนื้อบนหน้าถูกเฉือนออกทีละชิ้นจะเ็ปเพียงใด เฉิงอวี้ใกลัวจนสติแตกทันที
“เครื่องแต่งกายของเราคือสีห้าอันดับแรกของสายรุ้ง หงซีถนัดอาวุธลับเช่นเดียวกับข้า หวงอีถนัดใช้แส้ ทั้งยังเก่งเื่พิษ ลวี่จู๋มีดีที่…” เฉิงอวี้กัดฟัน ก่อนเปิดเผยรายละเอียดของคนอื่นๆ
หลังจากมู่จื่อหลิงฟังจบ ความเย็นะเืก็พุ่งออกมาจากดวงตาของนาง
ปรากฏว่าเป็ยอดฝีมือทุกคน
มู่จื่อหลิงเยาะเย้ยในใจ
อา! ปรมาจารย์ทั้งห้า ตามล่านางผู้เดินเพียงไม่กี่ก้าวก็เหนื่อยหอบ...หญิงใจอำมหิตนั่นให้ค่านางมากเสียจริง
ดูเหมือนว่า ครั้งนี้นางจะโชคดี ครั้งหน้าอาจไม่มีโชคเช่นนี้แล้ว
ดวงตาของมู่จื่อหลิงทั้งมืดมนและเ็า นางใช้มีดปาดเืบนหน้าเฉิงอวี้ เอ่ยด้วยท่าทีคุกคาม “เ้าบอกมาหมดแล้วหรือ?”
เฉิงอวี้กัดฟัน หันหน้าหนีด้วยสายตาขุ่นเคือง ใช้การกระทำเป็คำตอบ
“ดี!” มู่จื่อหลิงพยักหน้าแสดงความพึงพอใจ
เฉิงอวี้กะพริบตาอย่างแรง บีบน้ำตาออกมาจากดวงตาที่พร่ามัวไปด้วยเืของตน จ้องมู่จื่อหลิงอย่างดุเดือด “หึ! ข้าบอกเื่นี้กับเ้าไปแล้วอย่างไร? เ้าคิดว่าเมื่อเ้าได้พบกับพวกนาง เ้าจะยังมีโอกาสหลบหนีได้หรือ?”
“แค่นี้เ้าก็ไม่เข้าใจ การรู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งก็ชนะทั้งร้อยครั้ง [3]” มู่จื่อหลิงมองกลับมาที่นางด้วยรอยยิ้มที่ไม่ใช่รอยยิ้ม น้ำเสียงนางผ่อนคลายราวกับนางไม่ได้กังวลเลยแม้แต่น้อย
แต่ไม่มีใครรู้ว่าในขณะนี้มู่จื่อหลิงรู้สึกอนาถอย่างยิ่ง
แม้ว่านางจะรู้เล่ห์เหลี่ยมความสามารถของคนเ่าั้ แต่เป็ไปไม่ได้ที่นางจะเข้าต่อกรโดยตรง!
เห็นได้ชัดว่าสู้ไม่ได้
ยามนี้ได้แต่แอบภาวนาขอให้นางสามารถกลับไปอย่างราบรื่นปลอดภัย
อย่างไรก็ตาม ความเป็ไปได้นี้ดูเหมือนจะมีน้อยนิด
หลังจากฟังคำพูดของมู่จื่อหลิง ราวกับเฉิงอวี้ได้ฟังเื่ตลกอย่างหนึ่ง เสียงหัวเราะกระหายเืดังออกมาจากปากของนาง “ไม่ว่าอย่างไรชีวิตของเ้าก็อยู่ได้อีกไม่นานแล้ว วรยุทธ์ของอีกสี่คนเหนือกว่าข้า แม้เ้าจะมีวรยุทธ์ แม้ว่าคราวนี้เ้าจะรอดไปได้ แต่หากเ้าพบพวกนาง เ้าต้องตายอย่างแน่นอน!”
“จริงหรือ?” มู่จื่อหลิงเหลือบมองนางด้วยรอยยิ้มที่ไม่ใช่รอยยิ้ม ยักไหล่ ยิ้มอย่างเฉยชา “วรยุทธ์ของพวกนางสูงกว่าเ้า เช่นนั้นก็คงมีสมองดีกว่าเ้าด้วย ข้าจะตั้งตารอ”
ตั้งตารอ? ตั้งตารอบ้าอะไรกัน มู่จื่อหลิงคร่ำครวญอยู่ภายใน
เฉิงอวี้โกรธจนตัวแทบะเิ
“ฮึ่ม!” เฉิงอวี้กรนเสียงเย็น ในใจรู้สึกเสียใจยิ่งนัก
สิ่งที่นางพูดราวกับกำลังกล่าวว่านางเป็ดั่งทหารอวดเก่งจึงย่อมต้องพ่ายแพ้ [4] หรอกหรือ?
หากนางพบกลอุบายของมู่จื่อหลิงได้เร็วกว่านี้ นางคงไม่ตกต่ำมากถึงเพียงนี้ เหมือนที่นางเป็ในยามนี้ ผิดก้าวเดียว ก้าวต่อไปล้วนผิดพลาดจริงๆ
น่าเสียดาย มันสายเกินไปแล้ว!
มู่จื่อหลิงสอดมีดในมือแทงลงไปบนดินข้างหัวเฉิงอวี้อย่างแรง ก่อนถอดถุงมือออก ลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ
จากนั้นนางก็หยิบผ้าเช็ดหน้าเนื้อนุ่มอีกผืนออกมา เช็ดมือสีดำคล้ำอย่างระมัดระวัง
“ด้วยสิ่งที่เ้าเพิ่งสารภาพมา...ข้าจึงถอนพิษให้เ้าแล้ว เ้าควรสำนึกในบุญคุณนะ พิษที่ข้าใช้กับศัตรูโดยทั่วไปไม่สามารถรักษาได้” มู่จื่อหลิงหลุบตาลงมองเฉิงอวี้อย่างเฉยเมย แล้วเม้มริมฝีปากแน่น “นี่! มีดอยู่ข้างเ้า เ้าทำเองเถิด”
หากประโยคแรกของมู่จื่อหลิงคือการมอบความหวังให้เฉิงอวี้ เช่นนั้นประโยคหลังก็คือการมอบความสิ้นหวังราวตกจาก์สู่เหวลึก
ยามได้ยินว่าพิษถูกถอนออกไปแล้ว เฉิงอวี้พยายามดิ้นรนเพื่อลุกขึ้น แต่เพิ่งลุกได้เพียงครึ่งทาง กลับได้ยินมู่จื่อหลิงบอกให้นางฆ่าตัวตาย เฉิงอวี้แสดงท่าทางหวาดกลัว จากนั้นจึงล้มตัวลงนอนอย่างไร้เรี่ยวแรงด้วยความสิ้นหวัง
“ไม่ อย่า...” ดวงตาของเฉิงอวี้เบิกกว้าง นางส่ายหัว นางไม่อยากตาย
ในขณะนี้ เฉิงอวี้เพิ่งตระหนักได้ว่าความตายเป็สิ่งที่น่ากลัวมากถึงเพียงนี้
หวาดกลัว เสียใจ หมดหนทางและสิ้นหวัง...ความรู้สึกเหล่านี้ท่วมท้นใจ
นางไม่อยากตาย! ไม่อยาก!
“คาดไม่ถึง เ้าชอบให้ข้าเฉือนเนื้อเ้าเพียงนี้เชียวหรือ? ไม่เป็ไร! ในยามที่มือของข้ายังเป็สีดำคล้ำ ข้าจะช่วยเ้าอีกสักครั้ง” มู่จื่อหลิงพูดด้วยรอยยิ้ม ทำท่าจะก้มลงหยิบมีดที่ปักอยู่บนพื้น “คราวนี้เราจะเริ่มจากตรงไหนดี?”
ก่อนนางจะพูดจบ เฉิงอวี้ก็หันไปด้านข้าง ดึงมีดข้างกายตนขึ้นมา
เมื่อนึกถึงความชั่วร้ายของมู่จื่อหลิง นึกถึงยามนางเฉือนเนื้อตนออกทีละชิ้น หัวใจของเฉิงอวี้ก็นึกหวาดกลัวมากขึ้นเรื่อยๆ
นางหยิบมีดขึ้นมาปาดคอตนเองโดยไม่ลังเล
สักพักเืจากแผลก็ไหลออกมาช้าๆ
แต่ใครจะคิด เฉิงอวี้ทรมานจนแทบสิ้นสติ ทำให้ในยามนี้กำลังของนางมีไม่มากพอ มีดเล่มนี้ไม่ได้ทำให้นางหมดลมในทันที นางยังมีลมหายใจเฮือกสุดท้ายเหลืออยู่
เฉิงอวี้อยากยกมือขึ้น ปาดมีดลงไปเป็ครั้งที่สอง
แต่นางไม่มีแรงจะยกมืออีกแล้ว ไม่มีแรงจับมีดเพื่อฆ่าตัวตายอีกต่อไป
เฉิงอวี้อ้าปาก แต่กลับพบว่านางพูดไม่ออก ทำได้เพียงมองมู่จื่อหลิงด้วยความเ็ปอย่างหมดหนทาง
“ช่างไร้ประโยชน์! เ้าพลาดโอกาสที่ดีเช่นนี้เสียได้” มู่จื่อหลิงส่ายหัว ถอนหายใจเบาๆ พูดด้วยความทุกข์ใจ “การเฝ้าดูเ้าเืไหลตายอย่างช้าๆ คงเป็บาปเกินไป แต่ข้าไม่อยากให้มือต้องสกปรกเพราะเ้า ควรจะทำอย่างไรดี?”
ทันใดนั้น มู่จื่อหลิงก็ยิ้มกว้าง พูดด้วยรอยยิ้ม “ที่จริง มีอีกอย่างเกี่ยวกับตัวข้าที่เ้าไม่เคยนึกถึง เ้าอยากรู้หรือไม่ เื่นี้จะทำให้เ้าตายอย่างสงบเป็แน่”
ทันทีที่พูดจบ มู่จื่อหลิงก็หันหลังกลับ เดินไปข้างกายม้าเมฆา โบกมือเบาๆ
ทันใดนั้นร่างสูงใหญ่ของม้าเมฆาก็หายไป หายไปต่อหน้าต่อตาเฉิงอวี้อย่างไม่น่าเชื่อ
เฉิงอวี้หวาดกลัวมากจนตาเบิกกว้าง ร้องคร่ำครวญ “อ๊า อ๊า” ด้วยความสยองขวัญออกมาสองครั้ง
ในชั่วพริบตา ของเหลวที่ไหลช้าๆ บนคอนางก็พุ่งออกมาราวน้ำพุ เืกระเซ็นไปทั่ว
มู่จื่อหลิงกะพริบตาอย่างไร้เดียงสา มองดูสิ่งนี้อย่างสบายอารมณ์ “หลังลงนรกไปแล้ว อย่าลืมไปเข้าฝันนายหญิงรองของเ้าด้วยเล่า...”
จากนั้น นางยืนตรงสง่าราวเทพเซียนที่ลงมาจากสรวง์ ยื่นนิ้วชี้สีดำเรียวยาวของตนเอง ชี้ท้องฟ้ายามราตรีอันกว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด มุมปากยังคงมีรอยยิ้ม “บอกเยวี่ยหลิงหลงว่าฉีหวางเฟยที่นางไล่ล่า ซึ่งก็คือตัวข้าเอง มู่จื่อหลิงผู้มาจากฟากฟ้า เช่นนั้นนางอาจถูก...”
ก่อนที่นางจะพูดคำว่า ‘์ลงโทษ’ ออกมา ร่างกายของเฉิงอวี้ก็สั่นไหวรุนแรง ทันใดนั้น นางกระอักเืออกมาคำใหญ่
“อะ อือ...”
เฉิงอวี้จบชีวิตลง
นางตายทั้งตาเหลือกค้าง [5]!
เพราะจนกระทั่งนางตายไป เฉิงอวี้ก็ยังไม่เข้าใจว่านางยั่วยุปีศาจน่าสะพรึงกลัวที่ทรงพลังแบบใดกัน?
“โธ่!” มู่จื่อหลิงโบกมือไปมาด้วยความผิดหวัง “ต้องโทษตัวเ้าเองนะเ้าคนกระดูกแข็ง เหตุใดเ้าถึงเป็เช่นนี้ไปได้!”
“แต่ เป็เ้าเองที่หวาดกลัวจนตายไป ไม่เกี่ยวกับข้า” มู่จื่อหลิงแย้มยิ้มไร้เดียงสา รอยยิ้มของนางงดงามสวยเด่นราวกับดอกไม้ไฟ
......
เมื่อทำเื่ไม่ดีลงไป แน่นอนว่าซากศพต้องถูกกวาดล้าง
มู่จื่อหลิงเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ายามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยแสงดาวพร้อมถอนหายใจยาว
จากนั้นมู่จื่อหลิงจึงเดินตรงเข้าไป
นางขูดใบหน้าของเฉิงอวี้ออกเป็ชิ้นๆ แล้วเทยาดำใส่นาง ย้อมเสื้อผ้าสีส้มบนร่างนางให้ดำสนิท
หลังจากจัดแจงอยู่พักหนึ่ง มู่จื่อหลิงก็ ‘แต่ง’ ศพของเฉิงอวี้ให้อยู่ในระดับที่แม้แต่มารดาก็ยังจำนางไม่ได้
ยามมองศพที่อยู่ในสภาพน่าสยดสยองตรงหน้า มู่จื่อหลิงปัดฝ่ามือไปมา ดวงตาใสกะพริบเบาๆ กลิ่นอายรอบตัวเย็นลงเรื่อยๆ
เยวี่ยหลิงหลงแห่งตำหนักหลงเยวี่ย! นางมู่จื่อหลิงจะจำไว้
ตัดสินเื่นี้เพียงเพราะนางไร้วรยุทธ์ แต่นางมีความสามารถเื่พิษ ทั้งยังมีระบบซิงเฉินที่ทรงพลัง และยังมีเสี่ยวไตกูตัวน้อยที่สามารถใช้พิษครองโลกได้ เหตุใดนางต้องกลัว?
มู่จื่อหลิงยืดกล้ามเนื้อเล็กน้อย สวมหน้ากากที่ย้อมสีดำ ในชั่วพริบตา ทั้งร่างของนางก็ดำคล้ำอีกครั้ง
จากนั้นนางก็คลำหาในความมืด ก้าวเดินอย่างระมัดระวัง เดินออกจากป่าทึบบนเขาโฮ่วซาน......
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] ทัณฑ์เลาะกระดูก (凌迟) เป็การจับนักโทษขึงกับแท่นหรือเสา จากนั้น นำมีดขนาดเล็ก มาแล่เนื้ออย่างช้าๆ ทีละนิด โดยที่เนื้อนั้นยังไม่ขาดจากร่างกาย เริ่มจากหน้าอกแล้วไล่ไปเรื่อยๆ จนถึงศีรษะ นักโทษจะยังคงมีชีวิตอยู่และได้รับความทุกข์ทรมานจนกว่าจะเสียชีวิตไปเอง
[2] เทพอสูรอาชูร่า (伏地修罗) เป็เทพอสูรที่ดุร้าย หนึ่งในแปดเทพอสูรัฟ้า นับเป็เทพผู้กระหายความรุนแรงที่น่าสะพรึงกลัว
[3] การรู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งก็ชนะทั้งร้อยครั้ง (知己知彼百战不殆) เป็ข้อคิดเชิงปรัชญาจากซุนวู ผู้เขียนตำราพิชัยา มีความหมายว่า ไม่ว่าการจะทำสิ่งใดก็ตามเราต้องเรียนรู้ที่จะรู้จักทั้งต่อตนเองและฝ่ายตรงข้ามให้เป็อย่างดี ไม่ว่าจะสถานการณ์ใดก็ไม่มีทางเสียท่าต่ออีกฝ่าย และเมื่อเรียนรู้ทั้งสองฝ่ายแล้วสามารถหาวิธีการให้บรรลุเป้าหมายได้โดยไม่ต้องออกแรงหรือสูญเสีย คือความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่
[4] ทหารอวดเก่งจึงย่อมต้องพ่ายแพ้ (正所谓骄兵必败) เป็วลี มีความหมายว่า คนที่คิดว่าตัวเองเก่งแล้วเลยไม่หมั่นฝึกฝน ทบทวน มักจะไม่ประสบผลสำเร็จ
[5] ตายทั้งตาเหลือกค้าง (死不瞑目) เป็สำนวน มีความหมายว่า ตายตาไม่หลับ หรือตายไปอย่างไม่เต็มใจด้วยยังมีความคับข้องใจบางอย่าง