ตัวอำเภอนั้นใหญ่กว่าค่ายบนูเามากนัก เมื่อผ่านประตูเมืองและถนนเฟิงเยว่มาแล้วก็จะถึงถนนซื่อชู
บนถนนซื่อชูนั้นอวลไปด้วยกลิ่นหมึกฟุ้งตลบ
เมื่อมองไปรอบๆ ก็เห็นตำราจัดเรียงไว้มากมาย
สีหน้าระเรื่อของเด็กหนุ่มดูเปลี่ยนไป เมื่อเสี่ยวอู่มองไปทางร้านจำหน่ายตำราพวกนั้นในหัวก็มีเพียงเสียงหึ่งๆ
ทว่านายท่านสามและอาสวินกลับตาเป็ประกายด้วยความหิวกระหาย
แม้รถเทียมวัวของพวกเขาจะเคลื่อนผ่านถนนซื่อชูมาระยะหนึ่งแล้ว นายท่านสามก็ยังไม่วายหันกลับไปมองอยู่หลายครา
“พวกเรายังมีเื่สำคัญต้องไปทำ จัดการเสร็จแล้วค่อยกลับมาก็แล้วกัน” นายท่านสามกล่าวขึ้นมาราวกับกำลังปลอบใจตัวเอง
อาสวินก็พยักหน้าตอบอย่างว่าง่าย “เช่นนั้นก็ดี”
ส่วนเฉินโย่วนั้นไม่ได้สนใจหนังสือถึงเพียงนั้น เพียงแต่อยากจะซื้อของขวัญกลับไปบนูเาเท่านั้น นางเห็นว่าท่านอาจารย์กัวดูจะชอบหนังสือ จึงคิดจะซื้อกลับไปให้เขาเล่มหนึ่ง
ดังนั้นนางจึงได้พยักหน้าเช่นกัน “ตกลง”
เด็กหญิงทำท่าทางจริงจังราวกับกำลังจะได้ทำเื่สนุกก็ไม่ปาน
ทว่าเมื่อถึงถนนเส้นต่อมา เด็กหญิงก็ไม่อาจอยู่นิ่งได้อย่างแท้จริง
ถนนเส้นนี้เต็มไปด้วยอาหารอร่อยมากมาย ช่างดูละลานตานัก
ชายชราตรงหัวมุมถนนกำลังถือลูกอมสีแดงขึ้นมาเชิญชวนให้คนเข้ามาซื้อ ลูกอมเ่าั้เมื่ออยู่ใต้แสงแดดก็ทำให้ยิ่งดูงดงาม
เฉินโย่วเมื่อเห็นเช่นนั้นก็ลืมธุระที่ต้องทำไปจนสิ้น แทบอยากจะะโลงจากรถทันที
กระทั่งเสี่ยวอู่เองก็ยังแอบกลืนน้ำลาย ด้วยนิสัยของเขานั้นรักการกินเหลือเกิน ไม่ว่าเห็นสิ่งใดก็ล้วนอยากกิน
ทว่ากับพวกน้ำตาลนั้นเขากลับไม่ได้สนใจเท่าใด กลับรู้สึกสนใจร้านที่สามด้านในที่ขายเกี๊ยวไส้เนื้อมากกว่า
ยามมองเกี๊ยวไส้เนื้อชิ้นโตที่ลอยอยู่ในน้ำแกงร้อนๆ พร้อมทั้งสูดกลิ่นหอมกรุ่นที่โชยมา ท้องของเสี่ยวอู่ก็อดจะร้องโครกครากขึ้นมาไม่ได้
อีกทั้งยามที่เพิ่งจะยกหม้อขึ้น เขาก็เห็นพ่อค้าหยิบต้นหอมขึ้นมาโรยอีกหยิบมือหนึ่ง ก่อนจะเทลงถ้วย เมื่อกลิ่นของเกี๊ยวไส้เนื้อร้อนๆ ผสานรวมกับกลิ่นต้นหอมซอยสดใหม่ก็ทำให้ยิ่งหอมตลบอบอวลยิ่งกว่าเดิม
เมื่อฐานะเริ่มดีขึ้น ยามอาลู่เข้าเมืองก็มักจะมาที่ร้านข้างทางแห่งนี้เพื่อซื้อเกี๊ยวน้ำกลับไป
ด้วยถ้าเทียบกับคนอื่นๆ แล้ว หน่วยลาดตระเวนก็นับว่าได้เข้าเมืองบ่อยที่สุด
ทว่าถึงอย่างไรเช้านี้พวกเขาก็ยังไม่ได้กินอะไร อาลู่จึงขอให้เหล่าปาช่วยหยุดรถแล้วจึงลงไปกินอาหารพร้อมกัน คาดว่าเมื่อเสร็จเื่เรียบร้อยแล้วก็คงถึงเวลาไปศาลาว่าการพอดี
เหล่าปาค่อยๆ ชะลอรถ จากนั้นอาลู่จึงเดินไปซื้อลูกกวาดมาสามไม้ แล้วแบ่งให้อาสวิน เสี่ยวอู่ และเฉินโย่วคนละไม้
เฉินโย่วรับลูกกวาดมาด้วยท่าทางตื่นเต้น
เสี่ยวอู่เองก็ดีใจ ด้วยเพราะหลังจากกินลูกกวาดเสร็จแล้วก็ยังได้กินเกี๊ยวไส้เนื้อต่อ
ส่วนอาสวินที่เพิ่งจะทำผมทรงใหม่นั้นก็เอาแต่กังวลว่ายามลมพัดนั้นจะพัดผมเขาไปโดนเข้ากับลูกกวาดหรือไม่ แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงยื่นมือไปรับลูกกวาดที่อาลู่แบ่งให้อย่างเท่าเทียม ในใจก็รู้สึกดีใจเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ใบหน้าที่เคร่งขรึมของเขาจึงแดงระเรื่อขึ้นมา
เขาลองกัดลงไปคำหนึ่ง ความหวานก็ค่อยๆ กำซาบขึ้นมา
ท่าทางยามลิ้มรสก็ดูพิถีพิถันนัก
อาลู่เมื่อเห็นภาพนั้นก็แสร้งทำเป็ไม่เห็น ทว่ามุมปากของเขาก็อดไม่ไหวที่จะยกขึ้นน้อยๆ
เดิมทีข้างทางนั้นก็มีเด็กรุมล้อมร้านลูกกวาดอยู่ไม่น้อย เมื่อเห็นมีคนซื้อไปทีเดียวถึงสามไม้เช่นนี้ก็รู้สึกอิจฉาไม่เบา
เสี่ยวอู่เมื่อได้ลูกกวาดมาก็ใส่เข้าปากทั้งไม้ทันที ทั้งยังเคี้ยวตุ้ยๆ เพียงอึดใจลูกกวาดเมื่อครู่ก็เหลือแค่ไม้ไว้ให้ดูต่างหน้า
เฉินโย่วลองลูกกวาดก้อนบนสุดก่อน รสชาติของมันช่างดีนัก ทว่าก็ยังไม่อาจสู้ขนมที่น้าหลัวของนางทำ เพียงแต่นางนั้นรู้สึกว่ายืนละเลียดลูกกวาดอยู่ข้างทางเช่นนี้ช่างสนุกนัก
ที่เหลืออีกสามก้อนนั้นนางวางแผนเรียบร้อยแล้วว่าจะมอบให้พี่ชายหนึ่งก้อน ท่านลุงสามหนึ่งก้อน และท่านอาปาหนึ่งก้อน
อาลู่นั้นเคยชินกับการที่น้องสาวแบ่งอาหารให้ตนอยู่แล้วจึงได้อ้าปากรอ
ส่วนเหล่าปาที่เพิ่งจะหยุดรถก็รีบเช็ดมือให้เรียบร้อยแล้วจึงยื่นมือมารับไป
นายท่านสามเมื่อรับลูกกวาดก้อนกลมของนางมาแล้ว ก็ยื่นก้อนทองขนาดเท่าเม็ดถั่วให้นาง
เฉินโย่วพลันเบิกบานขึ้นมา “ขอบคุณท่านลุงสามเ้าค่ะ”
กล้ามเนื้อบนใบหน้านายท่านสามระริกขึ้นทันใด เขานั้นย้ำกับเ้าเด็กนี่ไปจนคอแหบคอแห้งว่าต่อไปให้เรียกเขาว่าท่านลุงหวัง มิใช่ท่านลุงสาม
........
อาลู่นั้นไปยืนจองที่นั่งอยู่อีกด้านเรียบร้อยแล้ว
สีหน้าของพ่อค้ายามมองเด็กหนุ่มดูสนิทสนมอย่างยิ่ง
ดังนั้นในทุกถ้วยจึงอัดแน่นเกี๊ยวไส้เนื้อและน้ำแกงเต็มถ้วย
รสชาติของมันก็ช่างถึงอกถึงใจนัก
อาลู่สั่งมาให้หกถ้วยครบจำนวนคน
เมื่ออาหารมาถึงแล้วทุกคนก็ก้มหน้ากินด้วยความจริงจัง กระทั่งเฉินโย่วที่แม้จะดูตัวเล็ก แต่พื้นที่ในกระเพาะของนางนั้นกลับไม่เล็กตามตัว
มีเพียงอาสวินที่กินไปได้เพียงครึ่งชามก็ยกที่เหลือให้กับเสี่ยวอู่
ด้านข้างแผงขายเกี๊ยวนั้นยังมีธงเล็กๆ วาดรูปเกี๊ยวโบกสะบัดไปมาอยู่
ใต้ธงนั้นเหล่าคนที่นั่งซดน้ำแกงก็ล้วนแต่หน้าแดงไปตามกันด้วยความร้อนของมัน
เมื่ออิ่มหนำแล้ว ทุกคนก็ออกเดินทางต่อ
พวกเขาไม่ได้โอ้เอ้ที่ใดต่อ ตรงดิ่งไปยังศาลาว่าการทันที
จากอำเภอที่เคยเงียบเหงา บัดนี้กลับมีคนมากหน้าหลายตามาสัญจรจับจ่ายไปมา ดูแล้วช่างครึกครื้นนัก
ทว่าโดยส่วนใหญ่นั้นก็เดินทางมาเพื่อลงทะเบียนสำมะโนครัวเช่นกัน
เพราะว่า่นี้ไม่ว่าเดินทางไปที่ใดก็ล้วนต้องใช้ทะเบียนภูมิลำเนา ด้วยหากว่าไม่มีก็อาจจะยุ่งยากถึงขั้นโดนจับเพราะถูกเหมารวมว่าเป็คนเร่ร่อนได้
ไม่เพียงเท่านั้น วันดีคืนดีก็อาจจะถูกทางการมาเคาะประตูขอตรวจดูสมาชิกในครอบครัวได้ ยิ่งถ้าหากไม่มีทะเบียนภูมิลำเนาก็จะต้องถูกปรับเงิน
กระทั่งยามเดินบนถนนก็อาจโดนทางการขอตรวจได้ตลอดเวลา
ดังนั้นทุกคนจึงพากันมาจัดการเสียให้เรียบร้อย เพราะยิ่งเรียบร้อยเร็วเท่าไร ก็ยิ่งลดปัญหาที่จะตามมาได้เร็วเท่านั้น
ทว่าภายในก็ยังไม่อาจกำจัดความยุ่งยากได้เสียทีเดียว
ด้วยบางคราเหล่านายท่านนายน้อยผู้มีหน้ามีตาย่อมไม่อาจมาจัดการทะเบียนด้วยตนเอง ทางการเองก็ไม่ได้มีเ้าหน้าที่มากพอที่จะไปดูแลถึงที่ได้ ดังนั้นจึงได้ส่งคนมาทำหน้าที่เหล่านี้แทน
ส่วนหมู่บ้านห่างไกลก็สามารถให้ผู้ที่มีความเกี่ยวข้องมาจัดการแทนได้เช่นกัน
นายท่านสามก็มาจัดการธุระแทนลูกบ้านในฐานะผู้ใหญ่บ้านหมู่บ้านไป๋กู่ ทั้งในอำเภอนี้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับใต้เท้าซูก็ไม่เลว
ด้วยเพราะหมู่บ้านไป๋กู่นั้นเป็คนดูแลเส้นทางสายการค้าบนทุ่งหญ้า พวกเขาไม่เพียงคอยจัดการเหล่าโจรที่มาคอยดักชิงทรัพย์ ทั้งยังสามารถเก็บค่าผ่านทางได้อีกไม่น้อย อีกทั้งพวกเขายังส่งมอบเงินส่วนหนึ่งให้กับศาลาว่าการอำเภอ
ทว่าจำนวนเงินที่มอบให้แก่ศาลาว่าการอำเภอและใต้เท้าซูนั้นมีจำนวนมากเท่าใดนั้นไม่มีผู้ใดล่วงรู้
รู้เพียงว่าั้แ่มีด่านเก็บค่าผ่านทาง ตำแหน่งของใต้เท้าซูในศาลาว่าการนั้นก็เติบโตอย่างรวดเร็ว
ในอดีตยามสนทนากับจู่ปู้ก็ไม่เคยจะกล้าคัดค้านสิ่งใด ต่างกับบัดนี้ที่ไม่ว่าสิ่งใดก็สามารถกล่าวออกมาได้ทั้งสิ้น
ครั้งนี้ที่พวกเขาเดินทางมาลงทะเบียนสำมะโนครัวนั้น นายท่านสามก็ได้แจ้งใต้เท้าซูไว้ล่วงหน้าแล้ว ดังนั้นจึงขอเพียงให้เขาพาคนที่หน้าตาพอไปวัดไปวาได้มาออกหน้าสักสี่ห้าคนเพื่อลงบันทึก คนอื่นๆ ในหมู่บ้านเขาก็สามารถลงทะเบียนไปพร้อมกันได้เลย
แน่นอนว่านายท่านสามก็ได้เตรียมเงินไว้ล่วงหน้าสำหรับการลงทะเบียนแทนแล้ว จำนวนต่อคนนั้นต้องจ่ายเท่าไร เมื่อคำนวณเสร็จก็มอบให้ใต้เท้าซูเรียบร้อยแล้ว
แม้ใต้เท้าซูจะโลภมาก ทว่าเขากลับทำงานว่องไว เพียงจ่ายเงินให้ก็ดำเนินการทันที
ทางเข้าศาลาว่าการแผ่กลิ่นอายแห่งความน่าเกรงขามออกมา
แม้จะมีคนมากมากมาย แต่ก็ยังเป็ไปอย่างมีระเบียบ
ใต้เท้าซูเมื่อเห็นนายท่านสามมาพร้อมคนอีกกลุ่มหนึ่งก็พยักหน้าให้จากไกลๆ ทว่าก็ยังคงทำทีราวกับไม่รู้จักกัน
ต่อมาเขาจึงให้คนมาเพิ่มอีกกลุ่มหนึ่ง ครู่ต่อมาคนเ่าั้ก็มายื่นอยู่ตรงหน้านายท่านสาม
ส่วนทางใต้เท้าซูนั้นยังคงดูเหมือนกับยุ่งวุ่นวายกับงานตรงหน้าตน นายท่านสามจึงนั่งลงกรอกข้อมูล
ด้านข้างนั้นก็มีคนคอยรับลงทะเบียนโดยเฉพาะ
หากว่าเป็คนรู้หนังสือก็จะให้เขียนเอง หากว่าไม่รู้หนังสือก็ยื่นเหรียญทองแดงให้คนรับลงทะเบียนด้านข้างเสียหน่อย ไม่นานคนเ่าั้ก็จะมาช่วยเขียนให้เอง
ทว่าในกลุ่มตอนนี้นั้น นายท่านสามเป็ถึงบัณฑิต อาสวินนั้นเป็นักเรียนหัวกะทิ พวกเขาจึงไม่จำเป็ต้องยืมแรงคนอื่นแม้แต่น้อย
หน้าที่หลักของนายท่านสามในวันนี้คือการลงทะเบียนแทนชาวบ้าน
เหล่าปาที่ตามมาด้วยนั้น้าลงทะเบียนแบบเล่มเดี่ยว เงินในการลงทะเบียนที่จะต้องจ่ายเพิ่มเหล่าปาก็ได้เตรียมมาเรียบร้อยแล้ว บัดนี้ในทะเบียนนั้นเขามีสถานะเป็เ้าบ้าน สามารถใส่ลูกบ้านได้เพิ่มอีกสองคน ทว่าเขากลับไม่ได้ใส่ชื่อใคร เพียงเว้นว่างเอาไว้
อาลู่ยามยื่นมือไปรับสมุดทะเบียนภูมิลำเนามาก็รู้สึกตื่นเต้นนัก
ปกสมุดนั้นทำจากหนังวัวที่ย้อมจนเป็สีแดงเข้ม
ด้านในมีกระดาษแผ่นหนึ่ง
แม้จะเป็เพียงสมุดบางๆ เล่มหนึ่ง ทว่าดูแล้วช่างมีราคานัก
กระดาษนั้นนับว่าเป็สินค้าหายาก ยามนี้นำมาใช้ลงทะเบียนภูมิลำเนาเช่นนี้ ย่อมหมายความว่าทางการนั้นให้ความสำคัญกับเื่นี้
และแน่นอนว่าการลงทะเบียนเช่นนี้จะต้องมีค่าใช้จ่าย อาทิ หากกระดาษเกิดโดนน้ำจนบวมขึ้นมา ก็ต้องทำใหม่อีกครั้ง ทั้งการทำใหม่นั้นก็ต้องจ่ายเงินใหม่อีกรอบเช่นกัน
หากกว่าว่าเป็ครอบครัวเดียวกันก็ย่อมหมายถึงจะต้องมีแซ่เพียงแซ่เดียว
อาลู่นั้นเขียนชื่อหัวหน้าครอบครัวบนบรรทัดแรกของกระดาษด้วยท่าทีจริงจังว่า ‘ลู่เกอ’
ด้วยท่านพ่อท่านแม่ของเขานั้นเป็เพียงคนใช้ในตระกูลต้าปาซือ เดิมทีจึงไม่ได้มีแซ่อยู่แล้ว
เขาเองก็รู้เพียงว่าตนนั้นชื่ออาลู่ จึงอยากให้คำว่าลู่นั้นเป็แซ่ของตน อีกทั้งเขานั้นพี่ชายของเฉินโย่ว จึงตั้งชื่อแซ่ให้ตนเองว่าลู่เกอ
เมื่ออาลู่เขียนเสร็จก็เรียงตามลำดับอายุ ส่งพู่กันให้เสี่ยวอู่ต่อ
ในบรรทัดที่สองที่เสี่ยวอู่ต้องเขียน เมื่อพู่กันมาอยู่ในมือ เขาก็พลันรู้สึกประหม่าขึ้นมาจนแทบจะบีบพู่กันในมือนั้นให้แหลก เขาค่อยบรรจงเขียนลงไปในกระดาษ ‘ลู่อู่’
ตัวอักษรเพียงสองตัวทำเอาเสี่ยวอู่กว่าจะเขียนเสร็จก็ปรากฏเหงื่อผุดพรายเต็มใบหน้าเสียแล้ว รู้สึกเสียใจนักที่ปกติไม่ยอมตั้งใจเรียน ทว่าก็รู้สึกพอใจอยู่เล็กน้อยที่เขานั้นยังตั้งใจฝึกเขียนชื่อตัวเอง เพียงแต่แซ่ลู่ของพี่ลู่นั้นออกจะเขียนยากอยู่สักหน่อย ไม่สู้ตัวอักษรอู่ที่เขียนง่ายกว่ากันเป็กอง
เมื่อเขียนเสร็จเขาก็รีบส่งพู่กันให้อาสวินด้วยท่าทีกระตือรือร้น
ตัวอักษรของอาสวินนั้นดูดีที่สุด
เพียงแต่เพราะความตื่นเต้น จึงทำให้มือของเขาสั่นเทา
เขามีแซ่แล้ว
เขาเป็คนแซ่ลู่
มือสั่นเทานั้นจรดพู่กันเขียนคำว่าลู่สวิน ตัวอักษรของเขายังงดงามเช่นเคย แต่เขานั้นคิดว่าครั้งนี้คือครั้งที่เขาเขียนอักษรได้ดีที่สุด
ทว่าเมื่อมาถึงตาที่เฉินโย่วต้องเขียน
เด็กหญิงนั้นเดิมทีก็นับว่าหน้าตาพริ้มเพราอยู่แล้ว ทั้งบนศีรษะยังมีผมทรงชี้ๆ ที่ดูแสนจะน่ารัก เมื่อจับพู่กันด้วยท่าทางจริงจังขึ้นมาก็พลันดึงดูดคนรอบข้างให้ล้อมวงเข้ามาดู
เฉินโย่วหยิบพู่กันขึ้นมา ทว่ายังไม่ทันจะจรดลงก็กล่าวขึ้นเสียงดังว่า “ชื่อของของข้านั้นเขียนยากที่สุด มีตัวอักษรตั้งสามตัว แถมยังมีขีดอีก พี่ชาย เช่นนั้นข้าขอเปลี่ยนตัวอักษรสักตัวได้หรือไม่”
อาลู่ “...”
“ไม่ได้”
เฉินโย่วเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็คิดว่าเอาเถิด แล้วจึงเขียนชื่อตนลงไปในบรรทัดที่สี่อย่างว่าง่าย ‘ลู่เฉินโย่ว’ สามตัวอักษร
่นี้นั้นนางกำลังพยายามลอกเลียนลายมือของท่านอาจารย์กัวอยู่ บัดนี้จึงเขียนเหมือนถึงแปดส่วนแล้ว ชายชราที่ยืนอยู่ด้านข้างเมื่อเห็นตัวอักษรของนางก็พลันอ้าปากค้าง
เมื่อเขียนชื่อครบแล้ว อาลู่จึงส่งสมุดคืนให้กับเสมียนเพื่อประทับตรา
ทันใดก็มีเสียงหัวเราะเจือแววเสียดสีดังขึ้น “ทางการอนุญาตให้เด็กที่เพิ่งจะหย่านมมารดาเช่นนี้มาขึ้นทะเบียนได้ั้แ่เมื่อใด”
เมื่อหันไปมองก็เห็นชายหนุ่มในอาภรณ์หรูหราเคียงคู่มากับท่านจู่ปู้อู๋ พวกเขากำลังเดินทางที่อาลู่และน้องๆ